แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดเวลา ของประชาธิปัตย์



วันอังคาร ที่ 13 กรกฎาคม 2553

Posted by คมชัดลึก ,


กลายเป็นระเบิด เวลาสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว สำหรับคดียุบพรรค ล่าสุด มีข่าวว่า นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ลงนามในหนังสือแจ้งความเห็นของ กกต. ไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิ ปัตย์


คดีที่ว่านี้ เป็นคดีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหารับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ที่อาจเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 95 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550

นายอภิชาต ได้เซ็นหนังสือส่งแจ้งความเห็นของคณะทำงานร่วมไปให้ยังอัยการสูงสุดเพื่อ ดำเนินการร้องต่อไป สำหรับขั้นตอนในการดำเนินคดีครั้งนี้นั้น อัยการจะทำหน้าที่ดำเนินคดีตามที่กฎหมายกำหนด ต่างจากคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ที่ กกต.จะเป็นผู้ดำเนินการเอง

ขณะที่ นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ก็บอกว่า คดีนี้ คณะทำงานอัยการยื่นคำร้องครบถ้วนสมบูรณ์ 100% แล้ว จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์รวม 40 กว่าคน เป็นเวลา 5 ปี


คณะทำ งานอัยการเตรียมส่งให้ นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ อัยการสูงสุดลงนามภายในวันที่ 13 กรกฎาคม เพราะเป็นวันสุดท้ายที่กฎหมายกำหนด ยุ่งละสิพรรคประชาธิปัตย์ !เพราะ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน ผลที่ออกมา ไม่ใช่แค่ออกหัว ออกก้อย

1.อาจจะลุยกรรมการบริหารพรรคทั้ง 40 กว่าคน

2.เอา เฉพาะที่เกี่ยวพันและปรากฏในสำนวน

3.ไม่โดนเลยสักคน ประชาธิปัตย์พ้นพงหนาม


ถึงแม้จะเตรียมการณ์ไว้พรักพร้อม เริ่มจากเงินบริจาคจากทีพีไอ ที่จะยกเอาคดีทีพีไอ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยังสอบไม่เสร็จ ไม่มีการฟ้องร้องมาสู้ แล้วจะมาเรียกเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไร นั่นประเด็นหนึ่ง

ประเด็น ต่อมาก็คือ นายทะเบียนพรรคการเมืองเคยลงนามในคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ถึงจะพลิกไปใช้มติ กกต. ก็ยังคงมีคำถามว่า แล้วที่นายทะเบียนพรรคการเมืองลงนามไม่ฟ้องไปนั้น ถือเป็นเอกสารทางราชการ มีผลตามกฎหมายหรือไม่


แต่เอาเถอะ..!! ถ้ามันจะผิดจริงๆ ถามว่ามีหลักฐานอะไรมาชี้ว่า เงินจากทีพีไอ เข้าสู่ระบบบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกวันนี้ พรรคก็ยืนยันว่า ไม่ได้รับเงินดังกล่าวแม้แต่บาทเดียว

ที่สำคัญ ถ้าพิสูจน์ได้ว่า เม็ดเงินเข้ากระเป๋าคนคนหนึ่ง ก็ต้องถามว่า คนคนนั้น เป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ แล้วเอาเงินมาให้พรรคหรือไม่


ตรงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ตั้งแท่นไปสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งใครดูแล้ว ก็ต้องบอกว่า ...มีลุ้น!

แต่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อตั้งท่าสู้ขนาดนี้ ระดับปรมาจารย์กฎหมายที่ตรงไปตรงมา อย่าง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ทำไมถึงแสดงท่าทีหนักอกหนักใจกับคดีนี้ จะว่าเพราะบุคลิกเฉพาะตัวที่จะต้องรอบคอบถี่ถ้วน หรือก็ไม่น่าจะใช่ เพราะก่อนหน้านี้ก็ยืนยันอย่างเต็มที่ว่า..สู้ นั่นอาจเป็นเพราะถ้า พลาดครั้งนี้ เดิมพันด้วยเอกภาพของพรรคประชาธิปัตย์


ถึงแม้ นายชวน และคณะ จะมั่นใจ จนถึงขั้น "ทุบหม้อข้าวเข้าตีเมืองจันท์" แต่การต่อสู้กลับ โดดเดี่ยวเดียวดายซีกหนึ่งของพรรคกลับแสดงท่าทีถอดใจ ส่งทีมงานไปจดทะเบียนพรรคใหม่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน

"พรรคไทยเข้ม แข็ง" ฟังชื่อดูไพเราะเหมาะสมกับสิ่งที่กำลังอยากให้เป็น แต่จากการดอดไปจดหัวพรรคใหม่กลับผ่าประชาธิปัตย์ออกเป็นสองเสี่ยง


แม้ จะดูว่านี่คือ ความรอบคอบ แต่หากย้อนกลับไปดูความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง จากปัญหาโควตารัฐมนตรีที่ต้องหั่นไปให้พรรคร่วมรัฐบาลมาก และสำคัญจนเกินหน้าพรรคแกนนำ


ความขัดแย้งมาปะทุขึ้นอีกครั้งในวาระ พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ครั้งนี้ผู้นำ 2 พรรคตัวแปร ลงแรง-ออกหน้าเดินล็อบบี้ด้วยตนเอง และเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่นำสารจากพรรคร่วมมาแจ้งต่อที่ประชุม

บัญญัติ บรรทัดฐาน ผนึก ชวน หลีกภัย นำทีมตามมาด้วยระดับแกนนำพรรคอีกเป็นขบวน พาเหรดคัดค้าน "การขอขี่คอ" ของพรรคร่วมรัฐบาล หลังเหตุการณ์นั้น บางคนถึงกับนับถอยหลังกันไปแล้ว


แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ และความที่ยังพึงพอใจกับการเป็นรัฐบาล การกล้ำกลืนฝืนทนจึงทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าจะไม่เกิด...หากว่า ฟ้าถล่มศาลสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ !

สภาพ ที่ "กินใจ" กัน อาจระเบิดขึ้นในยามนั้นผู้ที่มี "หัวใหม่" ก็อาจไปตายเอาดาบหน้า ...แต่ถามว่า อย่างนายหัวชวน ผู้กุมหัวใจประชาธิปัตย์ กุมหัวใจคน 14 จังหวัดภาคใต้ จะทิ้งหลักการเดินตามไปด้วยกระนั้นหรือ

นี่ จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง


หากมี ปาฏิหาริย์ พรรคไม่ถูกยุบ ก็นับเป็นวาสนา แต่ก็ต้องเผชิญเคราะห์กรรมที่จะต้องเผชิญกับความแตกร้าวภายในพรรค ก่อนหน้านี้มี "กลุ่ม 10 มกรา" แล้วจากนี้ล่ะ จะมีกลุ่มอะไรที่จากไป ? ขยายปมร้อน


ศรายุทธ สายคำมี


.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน