แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประเทศไทยคงไม่มีการเลือกตั้งไปอีกนาน



นี่ เป็นโอกาสสุดท้าย ผ่านจากวันนี้ไปอีกเพียงไม่กี่เดือน คาดว่าประตูแห่งสันติภาพจะปิดลง ประตูของสงครามจะเปิดขึ้นทีละบาน ทีละบาน คราวนี้เราจะไม่เพียงเห็นข่าวร้ายจากสามจังหวัดภาคใต้ แต่มันจะเกิดขึ้นต่อหน้าเรา ข้างที่ทำงานเรา หน้าบ้านเรา..


โดย ชุมแพ มหาวิทยาลัยเที่ยงวัน
ที่มา : ไทยอีนิวส์



คำถามยอดนิยมตลอดช่วงสองเดือน ที่ผ่านมาก็คือ บ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ?

แม้อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีตและปัจจุบัน ศึกษาโครงสร้างของกลุ่มการเมืองที่ควบคุมอำนาจรัฐและกลุ่มการเมืองที่ต่อ ต้านคัดค้าน ย้อนดูประวัติศาสตร์การช่วงชิงอำนาจในประเทศ ก็พอจะประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้บ้าง

ความถูกต้องอาจมีไม่ถึง100% แต่ก็น่าจะเกิน70 %ขึ้นไป เป้าหมายของทั้งสองฝ่าย คือช่วงชิงอำนาจรัฐให้ได้โดยไม่สนใจวิธีการที่จะนำมาใช้ นี่คือการต่อสู้ระหว่างคนกับคน ไม่ใช่การเอาชนะธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องของการแบ่งสรรผลผลิตในสังคม

ภาพที่เห็นจึงมิใช่การ แย่งผลประโยชน์ของนักการเมืองสองกลุ่ม แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฎขึ้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้ คือคนชั้นล่างกำลังลุกขึ้นต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา นี่คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ก้าวต่อไป เป็นไปตามวัฏจักรการหมุนของกงล้อประวัติศาสตร์ การต่อสู้ครั้งนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น เป็นทางผ่านที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวได้ว่าเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยยุคที่สอง

บทวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์อนาคตระยะสั้นข้างหน้า เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์การล้อมปราบกลุ่มคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 นานพอจะมองเห็นเป้าหมายและการกระทำของทั้งฝ่ายกุมอำนาจรัฐและฝ่ายที่ต่อต้าน

1 .องค์ประกอบของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ

มีลักษณะเป็นการรวบอำนาจ แบบใหม่ ขอเรียกว่าประชาธิปไตยรวมศูนย์แบบบูรณาการ แต่ก็มีผู้ตั้งศัพท์ใหม่ว่า เป็นระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร บางคนก็เรียกสั้น ๆว่าเผด็จการซ่อนรูป

แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย ก็ถูกรวบไว้โดยคณะผู้บริหารประเทศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคงอำนาจของกลุ่มตัวเองด้วยเสาค้ำหลายเสา เป็นโครงสร้างที่อ้างได้ว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ(ที่ร่างขึ้นภายหลังการรัฐ ประหาร)และสามารถปฏิบัติการได้จริง โดยอาศัยอำนาจทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ

โครง สร้างเหล่านี้ประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งฝ่ายรัฐบาลแม้เดิมมีเสียงส.ส.ไม่ถึงครึ่ง แต่ก็สามารถดึงเสียงส.ส.ฝ่ายค้านให้โยกย้ายมาร่วมด้วย จนมีเสียงเกินครึ่ง มีวุฒิสภาซึ่งมีส.ว.ส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร มีนายกซึ่งมาจากพรรคการเมืองที่ไม่ได้มีเสียงมากที่สุดแต่ก็สามารถใช้วิธี การต่าง ๆ แม้ว่าจะต้องจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารก็ตาม มีองค์กรอิสระหลายองค์กร(หลายมาตรฐาน) มีศาลหลายศาลจนแม้ปัจจุบันประชาชนก็จำไม่ได้แล้วว่ามีศาลอะไรบ้าง มีกำลังทหารติดอาวุธหนุนหลัง มีสื่อมวลชนบางกลุ่มสนับสนุน มีกลุ่มมวลชนเป็นฐานสนับสนุนจำนวนหนึ่ง

ที่สำคัญยังมีกลุ่มทุนเก่า และอำนาจแฝง...ที่มองไม่เห็นสนับสนุนอยู่อย่างแข็งขัน ดูแล้วคล้ายแข็งแรงไม่มีวันล้มได้ง่าย ๆเหมือนปูซึ่งมีกระดองแข็งแกร่ง มีก้ามใหญ่สองก้าม ซึ่งชูก้ามวางอำนาจอวดเบ่งอย่างเต็มที่ ใช้อำนาจประกาศศักดาไปทั่ว ทุกวัน ทุกแห่ง มีขาหกขาซึ่งสามารถเคลื่อนที่บนบกหรือในโคลนได้อย่างรวดเร็ว และมีขาใบพายอีกหนึ่งคู่สำหรับใช้ในน้ำ ยามที่ปูคลานไป ทุกอย่างก็ดูสะดวกไปหมด แต่เวลาปูหงายท้องกลับไม่สามารถลุกขึ้นเองได้

2.ฝ่าย ต่อต้าน

เป็นองค์กรซึ่งรวมตัวกันอย่างหลวม ๆแบบแนวร่วม มีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันคือต่อต้านอำนาจรัฐซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นเผด็จการ แต่ในรายละเอียดอื่น ๆแล้วยังมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ ซึ่งทำให้มีรูปแบบและวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไปอีก

ก.กลุ่ม แรก เป็นกลุ่มทุนที่ได้รับผลกระทบจนเสียหายทางเศรษฐกิจ และเป็นกลุ่มนักการเมืองที่หมดอำนาจทางการเมืองหลังการรัฐประหารปี 2549 กลุ่มคนเหล่านี้ยึดติดกับการต่อสู้ทางรัฐสภา อยากเป็นส.ส. อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ อยากเป็นรัฐมนตรี กลุ่มนี้ไม่คัดค้านถ้าหากจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลบนท้องถนน

ข.กลุ่ม ที่สอง เป็นกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยหรือคัดค้านนโยบายหลาย อย่างของรัฐบาล แต่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้เสียกับอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่มีบางส่วนนิยมรัฐบาลเก่า นิยมนโยบายและตัวบุคคล กลุ่มนี้มีคนเป็นจำนวนมากมาจากหลายฐานะ หลายชนชั้น หลายอาชีพ การต่อสู้มีลักษณะเป็นการชุมนุมประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ

ค.กลุ่ม ที่สาม เป็นกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังเหตุการณ์การประท้วงในเดือนพฤษภาคม 2553 คนกลุ่มนี้ไม่เชื่อแล้วว่าการใช้วิถีทางรัฐสภากับการประท้วงบนท้องถนนจะ ประสบความสำเร็จ บวกกับมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเดือนเมษา – พฤษภา ที่ผ่านมาทำให้เกิดความคิดต้องการแก้แค้น และมีผู้เห็นด้วยว่าไม่มีทางเลือก นอกจากใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน

คือถ้ารัฐบาลชุดนี้สร้างอำนาจและ ค้ำจุนอำนาจด้วยกำลังอาวุธ พวกเขาก็จะใช้วิธีเดียวกัน จำนวนคนของคนกลุ่มที่สามมีไม่มากนัก แต่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นการเพิ่มที่ไม่มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจรัฐจะจับกุม

การสนับสนุนของฝ่ายต่อต้านไม่ ปรากฏชัดเจน ที่เห็นแน่นอนคือส่วนที่อยู่ในพรรคการเมือง นอกนั้นเป็นการสนับสนุนแบบลับ ๆ อาจกล่าวได้ว่ายังไม่สามารถจัดตั้งเป็นองค์กรการต่อสู้ที่เข็มแข็ง และยังจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

องค์ประกอบของส่วนนำก็เป็นเช่นเดียว กัน คือยังไม่มีความเข้มแข็ง

ดังนั้นการต่อสู้แบบรุนแรงหรือแบบ ธรรมดาจะยังไม่เกิดขึ้นจากฝ่ายต่อต้านในช่วงระยะเวลาสั้น ๆนี้ แต่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในโอกาสต่อ ๆไป

3.สถานการณ์ที่เกิด ขึ้นในปัจจุบัน

กลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐยังใช้ความได้เปรียบ ทำการรุกไล่ฝ่ายต่อต้าน โดยใช้เครื่องมือทางกฎหมาย ด้านการสื่อสาร กองกำลังติดอาวุธเข้ากระชับพื้นที่ไล่ล่า ขู่เข็ญบังคับจับไปคุมขัง เพื่อสกัดการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ ฝ่ายที่ต่อต้านก็พยายามหลบหลีกแม้มีปฏิกิริยาต่อสู้ก็เป็นเพียงเล็กน้อย

สภาพ รูปธรรมที่เห็นคือการไล่ล่าจับกุมแกนนำคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด การคุกคามและจับกุมคนที่จัดรายการวิทยุท้องถิ่น สภาพที่ประชาชนในหมู่บ้านได้เห็นก็คือมีกำลังของฝ่ายอำนาจรัฐเข้ามาในหมู่ บ้าน แกนนำคนเสื้อแดงจะต้องหลบออกจากหมู่บ้านไปก่อน คนเฒ่าคนแก่ คนที่เคยเคลื่อนไหวก็แสดงอาการหวาดกลัว โกรธและเกลียดชัง ทำให้นึกย้อนหลังไป 30-40 ปีที่แล้ว ในยุคปราบคอมมิวนิสต์ แต่ปัจจุบันมีการใช้อำนาจของพรก.ฉุกเฉิน,ดีเอสไอ , กำลังทหารและตำรวจทั้งเปิดเผยและลับเข้าปราบปรามในขอบเขตทั่วประเทศ

ขั้น ตอนต่าง ๆในกระบวนการยุติธรรม(สำหรับบางฝ่าย) คงถูกนำมาใช้และขยายไปเรื่อย ๆ นานเท่านานเท่าที่จะทำได้ มาร์คอสก็เคยทำอย่างนี้มาแล้วในฟิลิปปินส์

มี คำถามว่ารัฐไม่กลัวความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวบ้างหรือ

คำตอบก็คือ รัฐบาลคาดการณ์และรู้ว่าจะมีผลเสียหาย แต่ผู้กุมอำนาจที่ใหญ่มาก ๆหลายคน ตัดสินใจเลือกความมั่นคงของตัวเองมากกว่า พวกเขาไม่เคยเดือดร้อนเรื่องทำมาหากิน ความเดือดร้อนเหล่านั้นเป็นเรื่องของพ่อค้าประชาชนทั่วไป

ถ้ารัฐทำ อย่างนี้เรื่อย ๆไป สุดท้ายฝ่ายต่อต้านก็จะไม่สนใจกับอำนาจของพรก.เหล่านี้เช่นกัน ไหน ๆก็เป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่รัฐประกาศว่าจะเกิดความรุนแรง จะเกิดวินาศกรรมก็จะเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ยังไม่ใช่วันนี้ เพราะวันนี้คนส่วนใหญ่ยังหวังว่ารัฐจะทำการปรองดองและกลับมาเปิดโอกาสให้ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างธรรมดา ความจริงฝ่ายต่อต้านไม่มีความสามารถที่จะใช้กำลังก่อการร้ายใด ๆได้

หลัง จากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม จะเห็นว่าฝ่ายต่อต้านได้แต่หลบหนีอย่างเดียว คนที่มาชุมนุมก็เป็นคนธรรมดา วันนี้การต่อต้านที่พวกเขาทำอยู่ คือข้อเขียนที่แสดงผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆการร่วมทำบุญเพื่อพบปะชุมนุม การผูกผ้าแดง การประเมินเหตุการณ์ที่ร้ายแรงและรุนแรงเป็นการประเมินของฝ่ายรัฐทั้งสิ้น และฝ่ายรัฐนั่นแหละจะเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง

4.เหตุการณ์ ในอนาคต

เรื่องสำคัญของอนาคตในระยะใกล้ ๆคือ ความหวังเรื่องประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่หวังว่าจะมีการเลือกตั้ง จากนั้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้กุมอำนาจรัฐ คนกลุ่มนี้หัวขบวนจะเป็นนักเลือกตั้งและมีผู้สนับสนุน คือกลุ่มที่มีผลประโยชน์ผูกพันอยู่กับการเลือกตั้ง สังกัดอยู่กับพรรคการเมืองต่าง ๆทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน

การแสดง การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ได้หลายแบบ

1.แบบ ที่เกิดได้ยากที่สุดคือมีการยุบสภาก่อนหมดอายุตามวาระ กรณีนี้แทบ เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นมีอุบัติเหตุทางการเมืองที่ร้ายแรงจริง ๆ เพราะรัฐบาลชุดนี้กว่าจะตั้งขึ้นมาได้ ต้องลงทุนมากมาย ทั้งชุมนุมเดินขบวน รัฐประหาร ตุลาการภิวัฒน์ เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า คนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ถูกยิงตายนับร้อย บาดเจ็บนับพัน ดังนั้นช่องทางนี้คนที่คิดหวังไว้ถือว่าเพ้อพก ฝันกลางวัน

2.โอกาส ที่สอง คือการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อสภาหมดอายุตามวาระ ส.ส.และ ประชาชนทั่วทั้งประเทศก็คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ทั้งยังหวังด้วยว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว จะเป็นหนทางนำพาประเทศไปสู่หนทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ทีมงานวิเคราะห์เห็นว่า หนทางในข้อนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

3.โอกาส ที่สาม การเลือกตั้งที่เกือบจะเกิดขึ้น เพราะเมื่อสภาหมดอายุตาม วาระ มีประกาศเลือกตั้งใหม่ ถ้าฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐรู้ว่าตัวเองมีโอกาสแพ้ค่อนข้างสูง ก็จะใช้กลไกต่าง ๆที่มีอยู่ในมือเลื่อนการเลือกตั้งออกไป มีคำถามว่าเขาจะปฏิวัติเพื่อการนี้เลยหรือ คำตอบคือไม่จำเป็น เพราะในระหว่างการดำเนินการหาเสียงเลือกตั้ง อาจมีความรุนแรงเกิดขึ้น มีการต่อสู้กันจนกระทั่งมีผู้เสียชีวิต หรืออ้างได้ว่าคุมสถานการณ์ลำบาก เท่านี้การเลือกตั้งก็จะต้องเลื่อนออกไป จะเลื่อนไปอีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ได้

เส้นทางสู่ประชาธิปไตยในอนาคต ทั้งข้อหนึ่งและข้อสองถือว่าเป็นเส้นทางปฏิรูป ที่พอจะทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองสงบลงได้ สำหรับฝ่ายต่อต้านแล้ว ถ้าอดทนรอคอยแล้วเกิดขึ้นก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าพวกเขาอดทนรอคอยแล้ว ก็ต้องพบกับพรก.ฉุกเฉินไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่อำนาจเผด็จการ ความคิดของคนกลุ่มที่สาม ซึ่งต้องการใช้ความรุนแรงเปลี่ยนแปลงอบย่างรวดเร็วก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูก ต้อง คำพูดที่ว่า ‘บอกแล้วไม่เชื่อ งาช้างจะงอกออกจากปากหมาได้อย่างไร’ก็จะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก

หน ทางปฏิวัติโดยใช้ความรุนแรงก็จะเป็นที่ยอมรับ แต่เนื่องจากการนำของกลุ่มต่อต้านไม่เป็นเอกภาพ ก็จะเกิดการต่อสู้หลากหลายขึ้น มีทั้งกลุ่มที่ยังต่อสู้ทางรัฐสภา กลุ่มที่ต่อสู้ด้วยการประท้วงอย่างสันติ และกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงหลายกลุ่ม ซึ่งไม่มีใครคุมใครได้ ถึงวันนั้นพรก.ฉุกเฉินก็ไม่มีความหมายแล้ว และไม่สามารถเจรจากับคนที่เราไม่รู้จักได้ด้วย ความวุ่นวายจะกลับมาอย่างรวดเร็ว

คำถาม จะเหมือนกับสามจังหวัดภาคใต้หรือไม่

คำตอบ อาจจะพอคล้าย ๆแต่ไม่เหมือนทีเดียว เพราะจากพื้นฐานของบุคคล ประวัติศาสตร์และเป้าหมายในเชิงอุดมการณ์ต่างกัน ในสามจังหวัดภาคใต้ เหตุร้ายแรงเกิดตรงไหนก็ได้ ใครจะเจ็บใครจะตายไม่สนใจ แต่คาดว่าการต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านในยุคใหม่จะมีเป้าหมายชัดเจน ไปที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐมีความยากลำบากในการทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัว ทั้งตนเองและครอบครัว

จุดอ่อนอีกอันหนึ่งก็คือการนำที่ไม่เป็นเอกภาพ ของกลุ่มต่อต้าน ทำให้อาจมีคนปฏิบัติการตามความชอบความชังส่วนตัว เป้าหมายอาจไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แต่ถูกเล่นงานเพราะความหมั่นไส้ เกลียด ฯลฯ กรณีนี้เป้าหมายอาจขยายไปถึงสื่อและบุคคลที่ปรากฏในโทรทัศน์หรือหนังสือ พิมพ์ก็ได้

5.ความเสียหายต่าง ๆจะมีผลรุนแรงแค่ไหน

ขึ้น อยู่กับการต่อสู้ การปะทะ ขยายตัวไปในทิศทางใด ถ้าเหตุเกิดในเขตท่องเที่ยวบ่อย ๆ เช่นกรุงเทพ ฯ ภูเก็ต สนามบิน ฯลฯ จะมีผลกระทบโดยตรงทันที แม้เกิดขึ้นไม่บ่อยมาก แค่เดือนสองเดือนเกิดครั้งสองครั้งก็แย่แล้ว ถ้าปัญหาเกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรม ก็จะส่งผลกระทบต่อการผลิต และทำให้นักลงทุนไม่กล้ามาลงทุนเช่นกัน

6.วิธีแก้ไข

วิธี แก้ไขที่ง่ายที่สุดคือต้องป้องกันความขัดแย้งไม่ให้ขยายตัวไปถึงจุดนั้น ต้องหาเวทีให้ฝ่ายต่อต้านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ต้องเปิดเกมการต่อสู้ทางประชาธิปไตย ให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะทำให้คนส่วนใหญ่หันมาสู้ในกรอบเดิม ๆเป็นแนวทางปฏิรูปที่ไม่ทำให้ใครเจ็บตัว

ประเทศสามารถเดินต่อไปได้ แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ถ้าปล่อยให้หลุดเลยไปจนถึงจุดปะทะจะไม่สามารถป้องกันได้ เพราะคนไม่กี่คนสามารถสร้างผลสะเทือนและความเสียหายกับระบบต่าง ๆได้ เหมือนร่างกายคน เมื่อเกิดบาดแผลเล็ก ๆที่เส้นเลือดหรือจุดสำคัญก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้ ข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้ง การต่อสู้ การทำลายล้างแพร่ไปได้เร็วและมีขอบเขตกว้างไกล ไม่มีใครควบคุมได้

สิ่ง ที่ทุกคนหวั่นเกรงว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ในวันนี้ก็ยังมีเวลาป้องกัน เพียงแต่ต้องรีบทำ นี่เป็นโอกาสสุดท้าย ผ่านจากวันนี้ไปอีกเพียงไม่กี่เดือน คาดว่าประตูแห่งสันติภาพจะปิดลง ประตูของสงครามจะเปิดขึ้นทีละบาน ทีละบาน คราวนี้เราจะไม่เพียงเห็นข่าวร้ายจากสามจังหวัดภาคใต้ แต่มันจะเกิดขึ้นต่อหน้าเรา ข้างที่ทำงานเรา หน้าบ้านเรา หรือแม้แต่ที่ที่ลูกหลานเราไปอยู่

หวังว่าทุกฝ่ายคงจะมีจิตสำนึกและ ให้โอกาสประชาชนตาดำ ๆ ซึ่งต้องเป็นผู้ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ให้มีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ภายใต้โลกแห่งสันติภาพ

คำเตือนสุด ท้าย

ไม่มีใครหมุนโลกให้ย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป การปรับตัวเข้ากับโลกใหม่จะทำให้มีโอกาสอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน