tag:blogger.com,1999:blog-86412081575526340482024-03-13T07:46:56.486+07:00แดงเชียงใหม่รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชนUnknownnoreply@blogger.comBlogger4297125tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-23879536027304723172014-07-08T19:08:00.000+07:002014-07-08T19:08:17.929+07:00แถลงการณ์ของ แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.)<span class="userContent"></span><br />
<span class="userContent"></span><br />
<span class="userContent"><div class="text_exposed_root text_exposed">
<br />
<a href="https://www.facebook.com/?ref=tn_tnmn#!/allianceNSD?fref=ts">https://www.facebook.com/?ref=tn_tnmn#!/allianceNSD?fref=ts</a><br />
<br />
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-LFUtDSKTCI0/U7vevjylYaI/AAAAAAAAPaQ/vVCwGAqWtRs/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%8A..jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-LFUtDSKTCI0/U7vevjylYaI/AAAAAAAAPaQ/vVCwGAqWtRs/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%8A..jpg" height="320" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="text_exposed_root text_exposed">
<br />
<br />
<br />
<strong>แถลงการณ์ของ แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.)</strong><br />
<br />
<strong>เรื่องการหยุดคุกคามและข่มขู่ประชาชนในทุกรูปแบบ</strong><br />
<br />
<br />
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ได้ปรากฎหลักฐานมากมาย ที่ได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำผิด โดยการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อปร<span class="text_exposed_hide">...</span><span class="text_exposed_show">ะชาชนในหลายกรณี ซึ่งเป็นความผิดต่อหลักกฎหมายสากลและสนธิสัญญาหลายฉบับที่รัฐไทยได้ลงนามไว้ <br /> <br /> ดังนั้นแนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.) ขอชี้แจงถึงสถานการณ์ดังต่อไปนี้<br /> <br /> 1. ในสถานการณ์เฉพาะหน้า ขอให้ประชาชน ผู้ประสบเหตุดังกล่าว จดชื่อ เจ้าหน้าที่ ทะเบียนรถ หรือ ถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ พร้อมบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น วัน เวลา ที่เกิดเหตุ แล้วส่งไปที่ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ตามที่อยู่ด้านล่าง หรือส่งมาหลังไมค์ถึง ฝ่ายรับเรื่องร้องทุกข์ แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.) โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งชื่อจริงใดๆ แต่ขอข้อมูลที่เกิดขึ้นเท่านั้น พร้อมหลักฐานประกอบ<br /> <br /> 2. แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.) กำลังผลักดันให้มีฝ่ายหรือส่วนงาน ที่เรียกว่า อัยการประชาชน ขององค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อทำหน้าที่่รวบรวมหลักฐานการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ในกรณีต่างๆ และดำเนินการเอาผิดต่อไปในทุกกรณี และจะรับสมัครอาสาอัยการประชาชน ทั่วประเทศ เพื่อสอดส่องเอาผิดเจ้าหน้าที่ ที่กระทำการละเมิดังกล่าว<br /> <br /> 3. การกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ทุกกรณีในช่วงเวลานี้ จะไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ของรัฐรายใด ที่กระทำความผิดต่อประชาชน จะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป ทั้งในประเทศไทย ในกรณีเมื่อฝ่ายประชาชนได้รับชัยชนะ และหรือ เมื่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเดินทางออกนอกเขตแดนประเทศไทย เข้าสู่เขตอำนาจตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในพื้นที่ของประเทศต่างๆที่เซ็นรับรองพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศ<br /> <br /> 4.ขอให้เจ้าหน้าที่่ของรัฐไทย ที่ได้รับคำสั่งให้กระทำตามคำสั่งที่ผิดกฎหมายของเผด็จการทหาร ให้หลีกเลี่ยงหรือ เพิกเฉยต่อคำสั่งดังกล่าวเสีย มิฉะนั้น พวกท่านจะต้องรับผิดต่อการกระทำของตนต่อไป<br /> <br /> แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นสช.) จะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้โดยประสานกับรัฐบาลนานาชาติ อย่างถึงที่สุด ให้เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างเคร่งครัด<br /> <br /> ประกาศ ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2557<br /> </span></div>
</span><br />Unknownnoreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-85859606244947497992014-07-08T18:40:00.001+07:002014-07-08T18:40:22.942+07:00จัดตั้ง “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” โค่นระบอบเผด็จการ
<br />
<section class="block block-block clearfix" id="block-block-113">
<div class="content">
</div>
</section>
<section class="block block-block clearfix" id="block-block-52">
<div class="content">
<br />
</div>
</section>
<h1 class="title" id="page-title">
ตั้ง 'เสรีไทย' 2557 ต้านรัฐประหารฟื้นประชาธิปไตย – จารุพงศ์นั่งเลขาธิการ</h1>
<div class="submitted">
<time datetime="2014-06-24T07:34:1525200">Tue, 2014-06-24 07:34<br /><br /></time></div>
<div class="content">
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ -จักรภพ เพ็ญแข อ่านแถลงการณ์ตั้งกลุ่ม
“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” ประณาม คสช.ทำรัฐประหาร
ทำให้ไทยกลับสู่ “ระบอบเผด็จการสุดขั้ว”
พร้อมประกาศปฏิเสธอำนาจและผลพวงของการทำรัฐประหาร
ชูแนวทางสิทธิมนุษยชน-ประชาธิปไตย โค่นระบอบเผด็จการ<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: darkorange;"><strong><img alt="" src="https://farm4.staticflickr.com/3892/14492186442_e320a62705_z.jpg" style="height: 315px; width: 560px;" /></strong></span></div>
<br />
<br />
<span style="color: darkorange;"><strong>ภาพจากวิดีโอคลิปที่นายจารุพงศ์
เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและอดีต รมว.มหาดไทย อ่านแถลงการณ์
"องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" เผยแพร่เมื่อเวลา 05.50 น.
วันที่ 24 มิ.ย. ประณามการรัฐประหาร คสช. และตั้งองค์กรต้านรัฐประหาร
(ที่มา: เพจองค์กรเสรีไทย)</strong></span><br />
<br />
24 มิ.ย. 2557 - เวลาประมาณ 05.50 น. ในเพจ “องค์กรเสรีไทย” มีการเผยแพร่ <a href="https://www.facebook.com/photo.php?v=738926136166460">วิดีโอคลิป</a>
อ่านแถลงการณ์ของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ในนามเลขาธิการ “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิไตย” (The
Organization of Free Thais for Human Rights and Democracy – FT-HD)
โดยเป็นการได้อ่านแถลงการณ์
“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย”
ทั้งนี้ไม่มีการระบุสถานที่อ่านแถลงการณ์ดังกล่าว<br />
<br />
ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ซึ่งนายจารุพงศ์ใช้เวลาอ่าน 8 นาทีเศษ
ได้ประณามการทำรัฐประหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นำโดย
พล.อ.ประยุทธร์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. โดยระบุว่าประเทศไทยได้กลับคืนสู่
“ระบอบเผด็จการสุดขั้ว”<br />
<br />
โดยตอนหนึ่งของแถลงการณ์ยังกล่าวว่า<br />
<br />
“การกระทำของคณะรัฐประหารและเครือข่ายดังกล่าวนี้จึงถือเป็นอาชญากรรมที่ได้
สร้างความแปดเปื้อนในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย
เราขอประณามการละเมิดสิทธิและเสรีภาพประชาชนไทยและชาวต่างประเทศที่กำลัง
เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
จนประเทศไทยขณะนี้ได้กลายเป็นอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว
แม้ในอนาคตอันใกล้คณะทหารจะถ่ายโอนอำนาจไปสู่หุ่นเชิดในรูปแบบใดๆ ก็ตาม
แต่กลไกที่ทำลายความก้าวหน้าของประเทศชาติและวงจรอุบาทว์นี้ก็ยังคงกดทับ
ย่ำยีอำนาจอธิปไตยของประชาชนอยู่ต่อไป
เราจึงต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะ
นี้เพื่อทวงคืนสิทธิเสรีภาพ
และระบอบประชาธิปไตยให้กลับมาเป็นรากฐานของสังคมไทยต่อไป”<br />
<br />
ทั้งนี้มีการระบุวัตถุประสงค์ของการตั้งกลุ่มขึ้นมา 6 ข้อได้แก่ หนึ่ง
ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและเครือข่ายอำมาตย์
เพื่อให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน สอง
ฟื้นฟูและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยให้มีความถาวรและเป็นเสาหลักของสังคม
ไทย สาม เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค เสรีภาพและสันติภาพ สี่
ส่งเสริมระบอบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม ห้า
ปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้สอดรับกับระบอบประชาธิปไตย และ หก
พัฒนาคุณภาพประชาชนไทยสู่ความเป็นสากล<br />
<br />
ตอนท้ายของแถลงการณ์ระบุว่า “นับแต่นี้ไป ให้ถือว่า
"องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เพื่อเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ของประชาชนทุกฝ่ายที่ยึดมั่นในอุดมการณ์สิทธิ
มนุษยชน ประชาธิปไตย และโค่นล้มระบอบเผด็จการ”
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์อยู่แนบท้ายข่าว<br />
<br />
นอกจากนี้ในเพจ “องค์กรเสรีไทย”
ยังมีการเผยแพร่คลิปอ่านแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษของ จักรภพ เพ็ญแข
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตแกนนำ
นปช.<br />
<br />
สำหรับความเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์ก่อนหน้านี้นั้น เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. <a href="http://www.ptp.or.th/news/detail.aspx?news_id=7166">เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย</a>
รายงานว่า ชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
นายจารุพงศ์ ได้ส่งจดหมายยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 แต่พรรคได้รับหนังสือในวันที่ 16
มิ.ย. 2557 พรรคจึงได้ทำหนังสือแจ้ง การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
กรณีหัวหน้าพรรคลาออกจากตำแหน่ง ต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 17
มิ.ย. 2557
โดยเมื่อหัวหน้าพรรคได้ลาออกจากตำแหน่งตามข้อบังคับพรรคได้กำหนดให้มีผู้
รักษาการ
ซึ่งคณะกรรมการบริหารได้เคยให้ความเห็นชอบไว้ตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 50 คือ
รองหัวหน้าพรรค เป็นผู้รักษาการแทน ได้แก่ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์
และนายปลอดประสพ สุรัสวดี ตามลำดับ<br />
<br />
ในวันที่ 21 มิ.ย. เช่นเดียวกัน นายจารุพงศ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค <a href="http://www.facebook.com/CharupongOfficial">CharupongOfficial </a>ว่า
“เรียน พี่น้องชาวไทยที่เคารพ ผมลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เพื่อไปเรียกร้องประชาธิปไตย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ “อย่างอิสระเสรี”<br />
<br />
ต่อมาในวันที่ 22 มิ.ย. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“ผมขอเชิญทุกท่านร่วมติดตามความเคลื่อนไหว
และข่าวสารสำคัญของเครือข่ายประชาธิปไตย ได้ที่เพจใหม่ของผม
ผมจะไม่สยบยอมต่ออำนาจเผด็จการทหาร
และจะยืนหยัดสู้เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย
และจนกว่าเผด็จการทหารจะคืนอำนาจที่แท้จริงให้แก่ประชาชนไทยทุกคน”<br />
<br />
อนึ่งนายจารุพงศ์ ถูกศาลทหารออกหมายจับเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.
ภายหลังไม่ยอมมารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 1/2557 ลงวันที่ 22 พ.ค.
2557 และ คำสั่ง คสช. 57/2557 วันที่ 10 มิ.ย. 2557<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: darkorange;"><strong>000</strong></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
<strong>แถลงการณ์องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย</strong></div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
ขณะนี้ประเทศไทยของเราได้คืนสู่ระบอบเผด็จ
การสุดขั้วอีกครั้ง ระบอบทหารที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
หรือ คสช.นำโดย พลเอกประยุทธร์ จันทร์โอชา
ได้ใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายไทยและกฎหมายสากลเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน
จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างอุกอาจ
โดยปฏิบัติไม่ต่างจากโจรที่เข้ามาปล้นทรัยพ์
ต่างแต่ว่าทรัพย์นั้นคืออำนาจอธิปไตยและสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
ในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นทรัพย์ที่มีค่าสูงสุดของความเป็นมนุษย์
การกระทำครั้งนี้จึงถือว่าละเมิดหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หลักประชาธิปไตย
และยังทำลายย่ำยีสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นับเป็นอาชญากรรมอันใหญ่หลวงต่อประชาชนชาวไทย</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
การโฆษณาว่า
พวกเขาต้องกระทำการยึดอำนาจโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
และคำสัญญาว่าจะคืนความเป็นปกติสุขให้กัสังคมไทย แท้จริงแล้วก็คือ
การโกหกหลอกลวงขนานใหญ่เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นชอบ
เห็นปีศาจอสุรกายเป็นเทวดาอารักษ์จนท้ายที่สุดก็หวังให้เห็นว่า
ระบอบเผด็จการดีกว่าระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้นำเผด็จการของโลกและของไทยพยายามปลูกฝังแต่ประสบความ
ล้มเหลวเรื่อยมา</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
ประชาชนไทยได้ตาสว่างและยึดมั่นในแนวทาง
ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนตามหลักสากล และยอมรับในวิวัฒนาการทางสังคม
จึงต้องประกาศปฏิเสธอำนาจของคณะรัฐประหารตลอดจนผลพวงใดๆ
ของการรัฐประหารในครั้งนี้โดยสิ้นเชิง คณะ
คสช.ที่ร่วมมือกับเผด็จการซ่อนรูปอื่นๆ ในประเทศไทยขณะนี้
ไม่มีความชอบธรมใดๆ ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ที่จะนำพาประเทศไปสู่สันติสุขและความปรองดองได้เลย
เพราะพวกเขานั่นเองที่ได้ร่วมกันสมคบคิด วางแผนก่อความวุ่นวายไปทั่วประเทศ
และลักลอบสนับสนุนขบวนการโค่นล้มทำลายรัฐบาลที่มาจากประชาชนตั้งแต่ต้น
เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในสภาพรัฐล้มเหลว วงจรประชาธิปไตยหยุดชะงัก
และใช้ผลพวงที่พวกเขาได้วางแผนกระทำมาตลอด
เป็นเงื่อนไขประกาศการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน
การกระทำของคณะรัฐประหารและเครือข่ายดังกล่าวนี้จึงถือเป็นอาชญากรรมที่ได้
สร้างความแปดเปื้อนในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย
เราขอประณามการละเมิดสิทธิและเสรีภาพประชาชนไทยและชาวต่างประเทศที่กำลัง
เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
จนประเทศไทยขณะนี้ได้กลายเป็นอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว
แม้ในอนาคตอันใกล้คณะทหารจะถ่ายโอนอำนาจไปสู่หุ่นเชิดในรูปแบบใดๆ ก็ตาม
แต่กลไกที่ทำลายความก้าวหน้าของประเทศชาติและวงจรอุบาทว์นี้ก็ยังคงกดทับ
ย่ำยีอำนาจอธิปไตยของประชาชนอยู่ต่อไป
เราจึงต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะ
นี้เพื่อทวงคืนสิทธิเสรีภาพ
และระบอบประชาธิปไตยให้กลับมาเป็นรากฐานของสังคมไทยต่อไป</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
เพื่อให้เจตนารมณ์ของประชาชนไทยที่จะล้มล้าง
อำนาจอันชั่วร้ายให้หมดสิ้น แล้วสถาปนาระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ
เป็นผู้ใช้ และเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างสมบูรณ์ให้เป็นจริงให้จงได้
ดังนั้นเราจึงขอปฏิเสธอำนาจเผด็จการของคณะ คสช.และผลพวงทั้งปวงที่จะตามมา
และขอประกาศจัดตั้ง "องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" "The
Organization of Free Thais for Human Rights and Democracy (FT-HD)"
ขึ้นในเวลาย่ำรุ่งของวันอังคารที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2557</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
เพื่อให้องค์กรนี้รองรับแนวความคิดและ
ปฏิบัติการทุกชนิดของผู้ที่มีความมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ประชาธิปไตยจากทั่วทุก
มุมโลกร่วมกันโดยที่แนวความคิดและการปฏิบัติการนั้นๆ
ต้องไม่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมายสากล
และหลักการไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ</div>
<div style="margin-left: 40px;">
"เสรีไทย"
เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งในสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความใฝ่เสรีภาพ
การรักศักดิ์ศรีของสามัญชนไทยได้เป็นอย่างดี จึงถือเป็นชื่อมงคล
เหมาะแก่การทำหน้าที่ประสานการต่อสู้เพื่อทวงคืนสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
ของประชาชนไทยจากทุกมุมโลก ดังที่บรรพบุรุษของไทยได้เคยกระทำการมาแล้ว</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งใน
ประเทศและทั่วโลก
จึงได้มีมติร่วมกันในการจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและ
ประชาธิปไตย โดยมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการก่อตั้ง ดังต่อไปนี้</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
1. ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและเครือข่ายอำมาตย์ เพื่อให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน<br />2. ฟื้นฟูและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยให้มีความถาวรและเป็นเสาหลักของสังคมไทย<br />3. เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค เสรีภาพและสันติภาพ<br />4. ส่งเสริมระบอบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม<br />5. ปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้สอดรับกับระบอบประชาธิปไตย<br />6. พัฒนาคุณภาพประชาชนไทยสู่ความเป็นสากล</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
นับแต่นี้ไป ให้ถือว่า
"องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เพื่อเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ของประชาชนทุกฝ่ายที่ยึดมั่นในอุดมการณ์สิทธิ
มนุษยชน ประชาธิปไตย และโค่นล้มระบอบเผด็จการ</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
ประกาศ ณ ย่ำรุ่ง วันอังคารที่ 24 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2557</div>
<div style="margin-left: 40px;">
<br /></div>
<div style="margin-left: 40px;">
นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ<br /> เลขาธิการ</div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-26230372178046488402014-01-27T20:57:00.001+07:002014-01-27T20:57:17.876+07:00อวสานพรรคประชาธิปัตย์
<div class="pushdown_ads">
<span style="font-size: large;">อวสานพรรคประชาธิปัตย์ โดย วีรพงษ์ รามางกูร</span></div>
<div class="pushdown_ads">
<div class="updated">
<br /></div>
<div class="updated">
<br /></div>
<div class="author">
คอลัมน์ คนเดินตรอก</div>
<div class="author">
<br /></div>
<div class="author">
27 ม.ค. 2557 </div>
<span style="font-size: large;"> </span></div>
<div class="pushdown_ads">
<a href="http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1390812383"><span style="font-size: x-small;">http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1390812383 </span></a>
</div>
<div id="article_thumbnail">
<div class="wrap">
<div class="slider">
<ul style="width: 204px;">
<li class="first last"><a href="http://www.prachachat.net/online/2014/01/13908123831390812399l.jpg" rel="lightbox[roadtrip]" title="คลิกเพื่อขยายภาพ"><img border="0" height="304" src="http://www.prachachat.net/online/2014/01/13908123831390812399m.jpg" width="400" /></a></li>
</ul>
</div>
<div class="controls">
<a class="prev-slide" href="https://www.blogger.com/null"></a><br />
</div>
<div class="control_help">
<br />
</div>
</div>
</div>
<br />
<span style="font-family: Tahoma,; font-size: small;"><b>อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิ
ปัตย์ นายชวน
หลีกภัย เคยประกาศว่า "ผมเชื่อในระบอบรัฐสภา" ก็เลยเชื่อว่า
พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคที่เชื่อมั่น
เคารพ และศรัทธาในประชาธิปไตย
และเป็นสถาบันการเมืองที่จะพาประเทศชาติสู่ความเป็นชาติผู้นำประชาธิปไตย
อย่างสมบูรณ์ชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเป็นระบบการเมือง
พรรคใหญ่2พรรค
เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเคยฝันหวานว่า
เราจะมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคอนุรักษนิยม
ตัวแทนของคนชั้นกลางและคนชั้นสูง
ขณะเดียวกันก็มีพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เป็นตัวแทนของฝ่ายก้าวหน้า
และจะเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางระดับล่างและคนในระดับรากหญ้าที่ต่างช่วยกันนำ
ความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศชาติทั้ง2พรรคจะต่อสู้
แข่งขันกัน ในกรอบของประชาธิปไตย ในสนามเลือกตั้ง ผลัดกันแพ้เป็นฝ่ายค้าน
ผลัดกันชนะเป็นรัฐบาล
ตามแต่กระแสโลกาภิวัตน์ของสังคมโลก</b><br /><br />การเป็นพรรคอนุรักษนิยมไม่ได้เสียหายอะไร
เพราะคนจำนวนมากที่เป็นคนชั้นกลางในเมืองทุกแห่งในโลกก็มีความเป็นอนุรักษนิยมเป็นจำนวนมาก
ไม่แต่คนในเมือง คนต่างจังหวัดก็มีจำนวนไม่น้อยไปกว่าพวกหัวก้าวหน้าที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
แต่จิตวิญญาณของนักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายต้องเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น<span style="font-size: small;"> </span><b>แต่บัดนี้
พรรคประชาธิปัตย์ได้ล้มเลิกความคิด วิสัยทัศน์ ทัศนคติ วาทกรรม และการกระทำ กลายเป็นพรรคที่สนับสนุนทหาร
สนับสนุนรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและต่อต้านประชาธิปไตยไปเสียหมด</b> <br /><br /><b>เริ่มจากเป็นพรรคนำ
พรรคแรกของการเป็นพรรคภูมิภาคหรือพรรคภูมิภาคนิยม หาเสียงในภาคใต้โจมตีคู่ต่อสู้<span style="font-size: small;">
</span>โดยการปลุกเร้าภูมิภาคนิยม ดูถูกดูหมิ่นคู่แข่งทางภาคอีสานและเหนือว่าเป็น "ลาว"
ดูถูกหัวหน้าพรรคชาติไทยว่าเป็นจีนเกิดในเมืองจีน ดูถูกว่าหัวหน้าพรรคความหวังใหม่เป็น "ลาว"
ใช้การดูหมิ่น "เชื้อชาติ" เป็นยุทธวิธีในการหาเสียง
</b><br /><br />เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ทำสำเร็จเป็นพรรคของคนภาคใต้
พรรคเพื่อไทยก็ทำตามและทำได้สำเร็จเป็นพรรคภาคอีสานและภาคเหนือ พรรคชาติไทยเป็นพรรคภาคกลาง
ซึ่งเป็นอันตรายต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง<br /><br />ความที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งมาโดยตลอด30ปี
และแพ้หนักมากในยุคนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค
ทั้งที่มีกองทัพและอำนาจเก่ารวมทั้งสื่อมวลชนหลักในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
เป็นตัวช่วยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเอาชนะในการเลือกตั้งไม่ได้สักที
เพราะความเป็นอนุรักษนิยมของกลุ่มผู้นำพรรคที่ล้าสมัย
ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานจริงมาก่อนประชาธิปัตย์จึงกลัวการเลือกตั้ง
<br /><br />การเป็นพรรคการเมืองที่กลัวการเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็น Paradoxy
เมื่อกลัวการเลือกตั้งก็ตั้งป้อมหาเรื่องติเตียนประณามการเลือกตั้ง
เห็นการเลือกตั้งเป็นศัตรูของพรรค<br /><br />พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์จึง
เป็นพฤติกรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งอย่างที่สุดเมื่อต่อต้านหลีก
เลี่ยงประณามการเลือกตั้งตนก็ไม่มีทางเลือก
ต้องทำตัวไปสู่การเป็นผู้สนับสนุนระบอบการปกครองที่ใช้การแต่งตั้ง
หรือไม่ก็ใช้วิธีสรรหา
ซึ่งเป็นลูกเล่นอย่างหนึ่งของระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
หันไปสู่การสนับสนุนทหาร
พูดจาสนับสนุนองค์กรอิสระที่ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วว่า
องค์กรอิสระเหล่านี้มีที่มาจากการรัฐประหารของทหาร
หรือกระแสกลุ่มอำนาจเดิมซึ่งไม่ต้องการประชาธิปไตยแทนที่จะปฏิรูปตัวเองที่
เป็นพรรคอนุรักษนิยม
แต่ขณะเดียวกันก็ก้าวหน้าได้ ด้วยการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลก
ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของคนในต่างจังหวัด เลิกใช้วาทกรรมบิดเบือน
กล่าวเท็จในเรื่องข้อกฎหมายและหลักการรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีตัวอย่างให้ยกมาเทียบเคียงได้มากมาย
หากต้องการ<br /><br /><b>ทำไปทำมา "ศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปไตย" นั่นเอง หนังสือพิมพ์
Washington Post ของอเมริกาพาดหัวตัวใหญ่ว่า "The Enemy of the Democrat party of Thailand is
Democracy</b>" ซึ่งเป็นความจริง
แม้ว่าแฟนคลับของประชาธิปัตย์อย่างหนังสือพิมพ์กลุ่มเดอะเนชั่นจะออกมาแก้ตัวให้ก็ตาม<br /><br />การที่พรรคประชาธิปัตย์จัดชุมนุมใหญ่ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยโดยวิธีฉ้อฉลของพรรคเพื่อไทยใคร
ๆ ก็เห็นด้วยจนรัฐบาลต้องถอย แต่กลับฉกฉวยโอกาสชุมนุมขับไล่รัฐบาลต่อ
โดยอ้างประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯว่าเป็น "มวลมหาประชาชน"
ขับไล่รัฐบาลโดยอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ซึ่งไม่จริง<span style="font-size: small;">
</span>ผู้ชุมนุมบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ ขโมยสิ่งของของราชการ บังคับขู่เข็ญไม่ให้ข้าราชการทำงาน
ตัดน้ำตัดไฟสถานที่ทำการ ข่มขู่ คุกคาม ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
เสนอตั้งองค์กรทางการเมืองที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายและกรอบของประชาธิปไตย สร้างสถานการณ์รุนแรง
ยั่วยุให้มีความรุนแรงเพื่อกรุยทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหาร<br /><br />การดำเนินการชุมนุมครั้งนี้
พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้เลย เพราะดำเนินการโดยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ว่าจะเป็นสุเทพ ชวน อภิสิทธิ์ ชินวร ถาวร และผู้นำพรรคคนอื่นที่ยึด "ข้างถนน" เป็นเวทีอภิปราย
โจมตีด้วยคำหยาบคายกักขฬะ ใช้วาทกรรมที่โกหกมดเท็จซ้ำ ๆ ซาก
ๆปั้นน้ำเป็นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิได้เกรงใจสมาชิกประชาธิปัตย์ที่เขาเป็น "ผู้ดี"
มีจิตใจเป็นธรรมและเป็นนักประชาธิปไตยแม้แต่น้อย<br /><br /><b>การที่ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์เกรงกลัวการ
"เลือกตั้ง" และยอมรับว่า "ศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์คือประชาธิปไตย"</b>
อย่างที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์พาดหัวข่าว ประชาธิปัตย์ไม่อาจแก้ตัวได้เลย
พฤติกรรมที่แสดงว่ากลัวการเลือกตั้งซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็คือการประกาศ "คว่ำบาตร" การเลือกตั้งปฏิรูปอย่างไร
ถ้าประชาชนเขาไม่เลือก ประชาธิปัตย์ก็แพ้อยู่ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการเลือกตั้ง
หรือกฎหมายเลือกตั้ง <br /><br />ปัญหาอยู่ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเขาไม่เลือกมากกว่า
จะให้แก้กฎหมายเลือกตั้งอย่างไรก็ยังแพ้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังถูกเกาะกุมโดยกลุ่มผู้นำเก่าที่ล้าสมัย
ยังคิดแบบเดิม ๆ ยังใช้วิธีเดิม ๆ ในการแข่งขัน ที่สำคัญ เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลโดยการช่วยเหลือของกองทัพ
ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็น เป็นแค่ทำความเสียหาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ ทั้งกับเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ
ภาพพจน์ของประเทศเสียหายเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
<br /><br />พรรคการเมืองนั้นต้องเอาดีในกรอบของระบอบประชาธิปไตย
เงื่อนไขสำคัญของระบอบประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้ง การมีการเลือกตั้งอาจจะไม่เป็นประชาธิปไตย
แต่การไม่มีการเลือกตั้งนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย
เป็นของแท้ถ้าประชาธิปัตย์เห็นการเลือกตั้งเป็นศัตรูและพยายามต่อสู้ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง
โดยการออกตัวไปเป็น "เครื่องมือรับใช้สนับสนุนฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" แต่มีอำนาจแฝง เช่น กองทัพ
องค์กรอิสระ รวมทั้งการได้ขายจิตวิญญาณประชาธิปไตย เพื่อแลกกับการได้เป็นนายกรัฐมนตรีในระยะเวลาสั้น ๆ
ที่ไม่สง่างาม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ทำลายพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้วในระยะยาว<br /><br />การ "คว่ำบาตร"
การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ เป็นการบังคับตัวเองให้ต่อต้านการเลือกตั้ง
ซึ่งถูกประณามไปทั่วโลก จะมีชมเชยบ้างก็สื่อมวลชนที่ล้าหลังภายในประเทศการที่พรรคคว่ำบาตร
ทำให้ผู้นำพรรคก็ดี สมาชิกที่ภักดีต่อพรรคก็ดี ถูก "บังคับ"
ให้ทำตัวเป็นนักต่อต้านประชาธิปไตยไปโดยปริยาย ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมต่อต้านการเลือกตั้ง
ต่อต้านประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
วาทกรรมดังกล่าวอย่างไรเสียก็ต้องเป็นวาทกรรมที่เป็นเท็จทั้งในด้านหลักวิชาและข้อเท็จจริง </span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma,; font-size: small;">ที่สำคัญก็คือบังคับตัวเองให้ขัดขวางต่อต้านองค์กรที่จัดเลือกตั้งคือ กกต.และกลุ่มชุมนุมต่าง ๆ
ให้ต่อต้านขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการต่อต้านประชาธิปไตยโดยตรง แม้จะพยายามหาเหตุผลมาบิดเบือน
อย่างไรก็ตามถ้า กกต.เกิดถูกบังคับ จะโดยกฎหมาย
หรือความกดดันจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่อย่างหนักจนต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ได้
ก็จะไม่มีประชาธิปัตย์อยู่ในสภา จะมีพรรคอื่นมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านแทน และถ้าฝ่ายค้านนั้นมีวิสัยทัศน์
มีทัศนคติ มีวาทกรรมที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย อยู่ในกรอบของประชาธิปไตย เลือกตั้งคราวต่อไป
อย่างน้อยคนกรุงเทพฯอาจจะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อีกเลยก็ได้
ถึงเมื่อนั้นประชาธิปัตย์อาจจะกลายเป็นพรรคต่ำสิบไปก็ได้<br /><br />ถ้ายังยืนกรานไม่เปลี่ยนตัวผู้นำในพรรคที่เกาะกุมอำนาจในพรรคมากว่า40ปี
ยังมีความคิดเดิม ๆ ทำงานไม่เป็นเหมือนเดิมคิดอะไรไม่เป็นเหมือนเดิม
เอาแต่คิดว่าจะพูดจาถากถางเหน็บแนมปั้นน้ำเป็นตัวทำลายผู้อื่นเพื่อให้ถูกใจแฟนคลับ
ซึ่งแก่ตัวอายุมากขึ้นทุกวัน ก็เชื่อได้ว่าเลือกตั้งอีกไม่กี่ครั้ง
นอกจากจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วผู้นำฝ่ายค้านก็อาจจะไม่ได้เป็น<br /><br />ถ้ายังเป็นพรรคที่เชื่อในตัวบุคคล
หรือลัทธิบุคลาธิษฐานอยู่ ไม่ได้เชื่อในระบบ เหมือน ๆ กับพรรคเพื่อไทย
ซึ่งสังคมไทยในขณะนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ แต่ในอนาคตข้างหน้า สังคมไทยน่าจะกำลังเปลี่ยนไป
อีกไม่นานความเชื่อในลัทธิบุคลาธิษฐานจะคลายความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ เพราะบุคคลไม่อาจดำรงคงอยู่ตลอดกาล
และเมื่อถึงจุดนั้น การชูบุคคลเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็น่าจะลดความสำคัญลง
พรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้ว ควรจะคิดถึงเรื่องนี้ไว้เสียแต่เนิ่น
ๆ<br /><br /><b>การใช้กลเม็ดในการหาเสียงหรือดำเนินการทางการเมืองด้วยการไม่ลงแข่งขันเลือกตั้ง
เป็นยุทธวิธีนอกกรอบประชาธิปไตย นอกระบบพรรคการเมือง เท่ากับเป็นการต่อต้านพลวัตทางการเมือง<span style="font-size: small;"> </span>เพราะการเลือกตั้งเป็นบทเรียนและประสบการณ์ของพรรคการเมือง เป็นวิธีการรับ
"ความรู้สึก"
ของประชาชนฐานเสียงของตัวเองอย่างแท้จริงว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร</b><br /><br /><b>แล้วอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร</b></span>
<br />
Unknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-81119155141031934642014-01-02T17:15:00.001+07:002014-01-02T17:28:46.547+07:00เลี่ยงสงครามกลางเมืองด้วยการเลือกตั้ง<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://pichitlk.blogspot.com/2013/12/blog-post_20.html">เลี่ยงสงครามกลางเมืองด้วยการเลือกตั้ง</a>
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div style="font-size: 14px;">
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์<br />
<a href="http://pichitlk.blogspot.com/">http://pichitlk.blogspot.com/</a>ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”</div>
<div style="font-size: 14px;">
ฉบับวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556<br />
<br /></div>
<br />
<img src="https://lh5.googleusercontent.com/--d8GnLaB_8U/UrP0-fc95mE/AAAAAAAAAeY/DDMUD9-x40A/s144-c/20December2013.jpg" style="float: left; margin-right: 15px;" width="160px" /><span style="font-size: large;"><b>การ</b></span>รุกครั้งล่าสุดของพวกเผด็จการที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดูจากภายนอกแล้ว ก็ยังคงดำเนินไปตาม “สูตรเดิม” คือ
มีกองหน้าประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง
ซึ่งคราวนี้ได้ผัดหน้าทาแป้งใหม่เป็น
“คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (กปปส.)
และเปลี่ยนตัวผู้นำขบวนมาเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์<br />
<br />
ส่วนแนวรบในสภาผู้แทนราษฎร
พรรคประชาธิปัตย์ได้สั่งสส.ทั้งหมดของตนลาออกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556
เพี่อตัดหนทางมิให้พรรคเพื่อไทยสามารถใช้กลไกทางสภาได้
รวมทั้งเป็นการกดดันให้นายกรัฐมนตรียอมยุบสภา<br />
<br />
ตระกูลชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยยังคงเดินแนวทางประนีประนอมกับพวก
จารีตนิยม แม้จะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้
ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งถึงขั้นทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย
แต่เมื่อได้รับ “คำสัญญา” ว่า จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
นายกรัฐมนตรีก็ได้ยอมต่อแรงกดดัน ประกาศยุบสภา
กลายเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีรัฐสภาและไร้อำนาจบริหาร
รอความหวังแต่เพียงว่า พวกจารีตนิยมจะรักษาคำมั่นสัญญา และหวังว่า
แรงกดดันจากนานาชาติจะทำให้ฝ่ายเผด็จการยอมให้มีการเลือกตั้งในที่สุด<br />
<br />
<b>นาทีนี้ จึงเหลือแต่จังหวะเวลาที่ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการ
ปปช. และท้ายสุดคือ แรงกดดันจากกองทัพ
เพื่อจัดการกับตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น</b><br />
<br />
การรุกครั้งล่าสุดของพวกจารีตนิยมแม้จะดำเนินตาม “สูตรเดิม” เหมือนปี
2549 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และปี 2551
ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แต่ในครั้งนี้
ก็มีลักษณะพิเศษกว่าสองครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด<br />
<br />
<b>ประการแรก</b> การรุกครั้งนี้มีลักษณะปฏิกิริยาถอยหลังอย่างชัดเจน
มุ่งที่จะล้มเลิกการเมืองแบบเลือกตั้ง
นี่เป็นการเปลี่ยนไปจากแนวทางเดิมที่พวกจารีตนิยมเคยใช้มาตั้งแต่รัฐประหาร
2549 ซึ่งในเวลานั้น
พวกเขายังต้องการใช้เปลือกนอกของระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550
มาเคลือบคลุมเนื้อในที่เป็นเผด็จการของตนไว้ แต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2550
และ 2554 พิสูจน์ว่า ทั้งรัฐธรรมนูญ 2550
และกลไกตุลาการอันบิดเบี้ยวที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้น
ก็ยังไม่ช่วยให้สามารถเอาชนะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในสนามเลือกตั้ง
แล้วจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นหุ่นเชิดของพวกเขาได้
แต่กลับได้มาซึ่งรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ซึ่งสามารถฉวยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ 2550
มาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบ่อนเซาะอำนาจของพวกเขาอีกด้วย<br />
<br />
นัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้กลายเป็น “หอกทมิฬแทงทมิฬ” สำหรับพวกจารีตนิยมไปเสียแล้ว! <b>การ
เคลื่อนไหวของเผด็จการในวันนี้จึงมีเป้าหมายที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญ
2550 ซึ่งก็คือ
แทนที่สภาผู้แทนฯและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยฝ่ายนิติบัญญัติและ
รัฐบาลที่แต่งตั้งโดยพวกจารีตนิยม!</b><br />
<br />
<b>ประการที่สอง</b>
การรุกของพวกต่อต้านประชาธิปไตยครั้งนี้ได้เผยธาตุแท้ที่เป็นเผด็จการล้า
หลังออกมาจนหมดสิ้น สะท้อนออกมาเป็นการเคลื่อนไหวของ กปปส.
ที่ชูธงนำทางความคิดว่าด้วย “สภาประชาชน” และ “นายกฯคนกลาง”
ที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นเอกภาพพร้อมกันถึง 4 กลุ่มคือ กปปส.
กลุ่มอธิการบดีมหาวิทยาลัย กลุ่มนักวิชาการที่นิยมกษัตริย์และนิยมทหาร
แล้วโหมกระพือให้เป็นกระแสสังคมคนชั้นกลางด้วยสื่อมวลชนกระแสหลักที่เลือก
ข้างเผด็จการ<br />
<br />
ทั้งหมดนี้ได้รวบยอดขึ้นเป็นวาทกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย”
ปลุกปั่นกระแสปฏิเสธการเลือกตั้ง เรียกร้องให้ “ปฏิรูปก่อน
เลือกตั้งทีหลัง” ไม่เอาการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยอ้างว่า ถ้าไม่
“ปฏิรูป” แล้วรีบเลือกตั้ง “ระบอบทักษิณ” ก็จะหวนกลับมาเถลิงอำนาจอีกอยู่ดี
ฉะนั้น จึงต้อง “ปฏิรูปก่อน” ซึ่งก็คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550
ทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย
ปราบปรามประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดสิ้นก่อน
แล้วปกครองด้วยเผด็จการอย่างเปิดเผยอยู่ระยะหนึ่ง
ก่อนที่จะหวนคืนสู่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งอีกครั้ง<br />
<br />
<b>การโหมกระแส “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง”
จึงเป็นยุทธวิธีที่มุ่งขัดขวางไม่ให้มีเลือกตั้ง
และเปิดช่องให้ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญโดยผ่านตุลาการและทหาร
เพื่อนำเอาระบอบเผด็จการเข้ามานั่นเอง</b><br />
<br />
ประการที่สาม ในการรุกของพวกจารีตนิยมครั้งนี้ ดารานักร้องนักแสดง
นักเคลื่อนไหวเอ็นจีโอ นักวิชาการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ปัญญาชนทุกแขนง
สื่อมวลชนกระแสหลัก
ล้วนได้เผยระบบความคิดที่เป็นอุดมการศักดินานิยมออกมาอย่างหมดเปลือก
ซึ่งก็คือ ความคิดพื้นฐานที่ว่า “คนเราเกิดมา ไม่เท่ากัน”
มีชนชั้นศักดินาที่ “เหนือคน เหนือเทวดา” ผูกขาดทั้งอำนาจ โภคทรัพย์
ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชั้นสูง กับชนชั้นไพร่ที่ “ต่ำชั้นกว่า” ทั้งโภคทรัพย์
ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ความคิดนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในหมู่ผู้ปกครองไทย
และได้ถูกมอมเมา
แพร่ระบาดไปยังชนชั้นกลางในเมืองที่เป็นหางเครื่องศักดินาในปัจจุบัน<br />
<br />
ก่อนหน้านี้
ความคิดศักดินาดังกล่าวถูกแสดงออกโดยดารานักแสดงนักร้องตัวตลกที่ปราศจาก
สมองมนุษย์ ซึ่งผรุสวาทออกมาแล้วก็เป็นที่สมเพชของสังคม
แต่ในการรุกครั้งล่าสุด
ชนชั้นกลางในเมืองจำนวนหนึ่งได้ประสานเสียงร่วมกันแพร่ความคิดดังกล่าวออกมา
อย่างเป็นระบบ ในรูป <b>“คนชนบทนั้นโง่และไร้การศึกษา
ไม่ควรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง คนเหนือ-อีสาน ลาวนั้นโง่ เลว
ซื้อสิทธิ์ขายเสียง”</b>
ไปถึงขนาดผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักวิชาการใหญ่ที่นิยมกษัตริย์-นิยมทหาร
เอาความคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ ปั้นแต่งอุปโลกน์ให้เป็น “ข้อคิดทางวิชาการ”
อภิปรายกันเป็นคุ้งเป็นแควบนเวทีเสวนาในหอประชุมอันทรงเกียรติ์<br />
<br />
ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิชาการ
และชนชั้นกลางในเมืองที่ช่วยกันสำแดงความคิดดังกล่าวออกมานั้น
ลืมรากเง่ากำพืดของตัวเองเสียสิ้นว่า
ถ้าย้อนหลังเวลาไปสักร้อยหรือสองร้อยปี ต้นตระกูลของคนพวกนี้
ทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ ก็ล้วนเป็นไพร่เลกไร้ศึกษา ถูกสักข้อมือ
ขูดรีดเกณฑ์แรงงานโดยพวกศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น
แม้แต่คนชั้นกลางกรุงเทพฯที่มีเชื้อสายจีนและมีการศึกษาสูงในวันนี้
ก็สืบมาจากไพร่ชาวนาที่ยากจนบนแผ่นดินจีน
จากกรรมกรจับกังทำงานแบกหามตามโกดังและโรงสีริมแม่น้ำเจ้าพระยา
หรือคนจีนอันต่ำต้อยที่ค้าขายเบ็ดเตล็ดอยู่ทั่วไปในกรุงเทพและหัวเมืองใน
อดีต เพียงแต่คนชั้นกลางรุ่นปัจจุบันที่เป็นลูกหลานได้รับการศึกษา
อาชีพการงาน สถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการอุ้มชูโดยพวกศักดินา
ก็ทำให้คนพวกนี้ลืมกำพืดเดิมของตัวเอง
ยกตนเทียบชั้นเป็นศักดินาเสียเองในวันนี้! กระทั่งหลายคนยังลืมไปว่า
บรรพบุรุษของตนก็มีเชื้อสายคนเหนือ อีสาน ลาว เขมร ปะปนกันมาทั้งสิ้น<br />
<br />
การรุกของพวกเผด็จการที่มีคนชั้นกลางในเมืองเป็นหางเครื่องครั้งนี้จึง
เป็นอันตรายที่คุกคามต่อฝ่ายประชาธิปไตยมากที่สุดนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
แต่ก็เป็นการรุกในสภาพที่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้มแข็งเติบใหญ่ทั่ว
ประเทศ และได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากเพื่อนมิตรนานาประเทศทั่วโลก
ซึ่งจะไม่ยอมให้พวกจารีตนิยมหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จอีก
หากพวกจารีตนิยมจะดันทุรังไม่ให้มีเลือกตั้ง ก็สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่
“สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือด” ในที่สุด<br />
<br />
<b>ฝ่ายประชาธิปไตยมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดได้ ซึ่งก็คือ เคลื่อนไหวมวลชนทั่วประเทศ ประสานกับเพื่อนมิตรนานาชาติ
ก่อกระแสรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดให้จงได้
รวมทั้งปรามตุลาการและทหาร เพื่อสกัดแผนการของพวกเผด็จการที่จะอ้าง
“การปฏิรูป” มาทำลายขบวนประชาธิปไตย</b><br />
<br />
<b>........................... </b>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-60723673053217076352013-12-31T10:34:00.001+07:002013-12-31T10:54:56.364+07:00"ข้อเสนอต่อประเทศไทย"(ตอนที่ 7) : เราจะออกจากกับดักความขัดแย้ง แล้วเดินหน้าต่อกันอย่างไร<b>"ข้อเสนอต่อประเทศไทย"(ตอนที่ 7) : เราจะออกจากกับดักความขัดแย้ง แล้วเดินหน้าต่อกันอย่างไร</b><br />
<br />
<span style="color: blue;"><i>“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</i></span> <br />
<br />
<br />
ทั้ง
6 ตอนที่ผ่านมา ผมพยายามเรียบเรียงที่มา
พัฒนาการของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา
จนกระทั่งนำมาสู่ความขัดแย้งรุนแรง การแตกแยกเป็นสองขั้วอย่างชัดแจ้ง
ด้วยความหวังว่า
ความเข้าอกเข้าใจถึงรากฐานปัญหา โดยเฉพาะเข้าใจถึงความคิดของฝั่งตรงข้าม
จะช่วยนำมาซึ่งกระบวนการแก้ปัญหาที่ถาวรอย่างสงบสุข<br />
<br />
ความ
รู้ ความเข้าใจของผมอาจจะไม่ครบถ้วน อาจจะไม่รอบด้าน หรือแม้อาจไม่เป็นกลาง
แต่เป็นการพยายามมองปัญหาอย่างไร้อคติ ไร้เจตนาร้ายต่อสังคมฝ่ายใด
(อย่างน้อยก็ในความคิดของผม)<br />
<br />
ถึงวันนี้ถึงนาทีนี้
ผมคิดว่าเรายังไร้ทางออกที่สงบสุขแท้จริง ความขัดแย้งยังคงอยู่
และถ้ากระบวนการแก้ไขไม่ราบรื่น ย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงได้ทุก
เมื่อ หรือแม้ถ้าฝ่ายรัฐบาลจะยอมถอยสุดซอย คือยอมลาออก ไม่รักษาการณ์
ให้ตั้งรัฐบาลรักษาการม.7 แต่สุดท้ายก็ยังต้องมีการเลือกตั้ง
(ถ้าตามรธน.ก็ใน 60 วัน) หรือไม่ก็ยังอาจมีมวลชนของอีกฝ่ายลุกมาขับไล่ รัฐ
ม.7 ได้ทุกเมื่อ<br />
<br />
ผมไม่มีข้อเสนอทางออกในระยะสั้นหรอกครับ
ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ ...ที่จะเสนอ
เป็นเรื่องการแก้ไขโครงสร้างในระยะยาว
เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความสงบสุขกลับคืนมาเสียก่อน
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นผู้บริหารประเทศ
ก็น่าจะเริ่มกระบวนการได้อย่างจริงจัง
ถ้ามีความจริงใจในการแก้ปัญหาประเทศไทย<br />
<br />
มีคำสำคัญอยู่ 5
คำ 1. ความเหลื่อมลำ้. 2. พรรคพวกนิยม. 3. คอร์รัปชั่น 4.
ผลิตภาพที่แท้จริง 5.บทบาทอำนาจรัฐ เป้าหมายของข้อเสนอผมมีง่ายๆครับ ข้อ1.
ข้อ2. ข้อ3. จะต้องลดต้องขจัดให้ลดน้อย จนถึงหมดไป(ข้อ3.) ให้ได้ ส่วนข้อ4.
จะต้องหาทางเพิ่มให้ได้ ส่วนข้อ 5. นั้นจะต้องปรับให้เหมาะสม
เพิ่มบางเรื่อง ลดบางเรื่อง กระจายเสียให้มาก หาสมดุลให้ได้<br />
<br />
ฟัง
ดูเหมือนง่ายๆ แต่ทั้งห้าเรื่อง มีเงื่อนไข มีพัฒนาการ
มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง
ไม่สามารถแก้เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยละเลยด้านอื่นๆ
เหมือนที่ผมคิดว่าคุณทักษิณ อาจมีเจตนาดี
ต้องการแก้เรื่องความเหลื่อมลำ้ แต่ดันใช้ระบบพรรคพวกนิยม ยอมให้มีโกงกิน
และมุ่งแต่จะใช้อำนาจรัฐ ทรัพยากรรัฐ ละเลย
ไม่ได้ทุ่มเทที่จะปรับปรุงผลิตภาพที่แท้จริง ก็เลยมาสะดุด<br />
<br />
แล้ว
เราจะไปถึงจุดนั้น จุดที่สังคมสงบสุข มีพัฒนาการอย่างยั่งยืน
มีการกระจายที่ดีตามควร อยู่ร่วมกันได้ มีความเป็นธรรมสูง เป็นสังคมอารยะ
ได้อย่างไร<br />
<br />
มันไม่มีทางเลือกหรอกครับ
เราต้องเริ่มจากจุดที่เป็นอยู่จริง ...มันไม่มีทางลัดหรอกครับ
มันต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน...มันไม่มีทางมีอัศวินคนเดียวกลุ่มเดียว
ขี่ม้าขาวมาบันดาลให้หรอกครับ มันต้องมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน
อย่างน้อยก็จากคนส่วนใหญ่ของประเทศ
....มันไม่มีทางได้มาจากชัยชนะในการต่อสู้ของสองฝ่ายหรอกครับ
มันต้องมาจากการทำความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่าย แล้วปรับเข้าหากัน
....มันไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยความเกลียดชังหรอกครับ มันต้องมาจากความรัก
ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน<br />
<br />
จุดเริ่มต้น....สังคมจะ
ต้องรับรู้ถึงปัญหาว่ามันคืออะไรกันแน่ อย่าเริ่มที่อคติความเกลียดชัง
ในที่นี้ผมขอเสนอว่า รากฐานของปัญหาที่ลึกที่สุดคือ "ความเหลื่อมลำ้" และ
ระบบศก.โดยรวมมีผลิตภาพตำ่<br />
<br />
...ขั้นที่สอง
มาหาสาเหตุที่มาของของปัญหา ซึ่งในทางศก. ก็ย่อมได้แก่
ไม่มีการปรับปรุงผลิตภาพ
แถมมีภาคส่วนที่เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการกระจายทรัพยากร กระจายโอกาส
ทั้งนี้มีระบบพรรคพวกนิยม กับการคอร์รัปชั่น
เป็นแกนของความบิดเบือนทั้งมวล<br />
<br />
...ขั้นที่สาม
มาสรุปแนวทางหลัก ที่จะใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งต้องมาวิเคราะห์ว่า
แนวเดิมที่เคยใช้ ไม่ว่าในระบอบทักษิณ ระบอบ Buffet Cabinet มันไม่ดี ไม่
work ยังไง การเพิ่มบทบาทอำนาจรัฐ ไม่น่าจะตอบโจทย์ได้
ประชานิยมที่ไม่ช่วยเพิ่มผลิตภาพก็ช่วยไม่ได้ แถมสิ้นเปลืองบิดเบือน
จนนำไปสู่หายนะในอนาคต และแน่นอน การทำลาย การสร้างกลไกไม่ให้ พรรคพวกนิยม
ไม่ให้คอร์รัปชั่น ดำรงอยู่ได้ เป็นวาระสำคัญ เร่งด่วนที่สุด<br />
<br />
...ขั้น
ที่สี่ ถึงจะมาวางกลยุทธรายละเอียด ในแต่ละเรื่อง
ว่าการลดการปราบโกงจะทำอย่างไร การไม่ให้คนชั้นบนเอาเปรียบทำอย่างไร
การกระจายอำนาจ การกระจายทรัพยากร การกระจายบริการพื้นฐานนั้นทำอย่างไร
เวลาเราพูดถึงคำว่ากระจาย ก็แปลตรงๆอยู่แล้วว่า
เอาของกลุ่มหนึ่งไปให้อีกกลุ่มหนึ่ง (Redistribution) ดังนั้น แผนการต้องดี
ชัดเจน ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ฝ่ายที่ต้องให้เข้าใจและรับได้
แผนต้องสอดคล้องบูรณาการกัน<br />
<br />
ที่จริง ขั้นตอนที่ผมนำเสนอ ก็แค่เป็นการน้อมนำแนวทาง "อริยะสัจ 4" ของพระพุทธองค์มาเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร<br />
<br />
และ
แน่นอนครับ... ที่ผมวิเคราะห์ นำเสนอ ย่อมยังไม่ครบ ไม่รอบด้านทุกอย่าง
มันเป็นเพียงแนวที่จะดำเนินการ โดยมุ่งเน้นในเรื่องเป็นไปได้
และไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย จนเกิดการหยุดชะงัก เสียหายหลายสิบปี
ยังต้องมีกระบวนการศึกษา กระบวนการวางแผน กระบวนการดำเนินการอีกมากมาย<br />
<br />
ใน
ความเห็นของผม... ทั้งหมดนี่ ถ้าจะให้ดี มันต้องเริ่มที่
"มวลมหาประชาชน"นี่เองแหละครับ พวกเราต้องสำนึกก่อนว่า
เราเป็นกลุ่มคนที่โชคดี ได้โอกาสที่ดี เริ่มตั้งแต่ ได้เกิดมา
ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้โอกาสรับการศึกษาที่ดี อยู่ในสังคมที่ดี
ได้เข้าถึงทรัพยากร ได้มีชีวิตที่ดี (ผมค่อนข้างแน่ใจ
ว่าคนที่ชั่วโดยสันดาน คนขี้ฉ้อขี้โกง ไม่มี หรือมีอยู่น้อย
ในกลุ่มผู้ที่ออกไปอยู่บนท้องถนนนะครับ)<br />
<br />
ที่สำคัญ...เรา
ต้องมองเห็นผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา อย่างเข้าอกเข้าใจ อย่างเห็นใจ
ถึงแม้เขาจะไม่ชอบ จะเกลียดชังเรา เราก็ต้องรู้จักอภัย
และเราต้องมีความคาดหวังให้เขาดีขึ้น ต้องยอมให้มีการกระจายทรัพยากร
กระจายความมั่งคั่งให้เขา ถ้าไม่อย่างนั้น
เขาก็จะถูกพวกที่ไม่ได้หวังดีจริง ไปหลอกไปลวง ด้วยอกุศโลบาย และอามิสต่างๆ
จนพวกเราเองเดือดร้อนในที่สุด<br />
<br />
ในข้อเสนอบนเวที
ผมเห็นด้วยหลายอย่าง เช่น การกระจายอำนาจ ทั้งผู้ว่าฯ ตำรวจ การปราบโกง
ซึ่งผมเชื่อว่าต้องเกิดต่อไปอย่างแน่นอน (ความจริงในข้อเสนอของ กก.ปฏิรูป
ชุดท่านอานันท์ ยังมีที่ดีอีกหลายข้อ ค่อยๆนำมาปฏิบัติได้<br />
<br />
ส่วน
ในระยะสั้น ...ถามว่า ผมมีข้อเสนออะไร ที่เราจะออกจากวิกฤติครั้งนี้
ผมยอมรับว่า ไม่มีแนวคิดวิเศษอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากบอกว่า
ถึงแม้จะต้องมีการเลือกตั้งตามกำหนด ถึงแม้พรรคเดิมจะได้เป็นรัฐบาล
แต่ประเทศเราจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่มีทางที่ใครจะทำอะไรตามใจโดยไร้หลักการ ไร้เหตุผล
ไร้คุณธรรมได้เหมือนเดิมอีกแล้ว กระบวนการปฏิรูปโดยประชาชนได้เริ่มขึ้นแล้ว
และจะไม่หยุด (ไม่ได้หมายถึง และไม่เคยเห็นด้วยกับคณะคุณบรรหารนะครับ
คณะนั้นควรยุบถาวร)<br />
<br />
เรามาจัดตั้งกระบวนการปฏิรูปคู่ขนาน
ที่คอยกระทุ้ง คอยกำกับ คอยเป่านกหวีด
ให้ใครก็ตามที่ได้รับเลือกมาบริหารประเทศต้องอยู่ในกรอบ ที่จะต้องทำให้
ทุกอย่างดำเนินไปสู่ประโยชน์สุขอย่างทั่วถึง อย่างยั่งยืน
ไม่ดีกว่าหรือครับ ยังมีกลไกอื่นๆ
ที่ถึงแม้ไม่ได้ระบุกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายใดๆ
แต่สามารถมีพลังร่วมสร้างสรรค์สังคมได้โดยไม่ต้องมีความรุนแรง (เช่น
สถาบันวิจัยสร้างสรรค์และตรวจสอบนโยบายสาธารณะ สื่อมวลชนที่ดีมีคุณภาพ
ภาคประชาสังคม) มาร่วมทำร่วมสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิด
ดีกว่าจะมารบกันเยอะครับ<br />
<br />
ผมพยายามวิเคราะห์ปัญหาโดย
ละเอียด พยายามเสนอทางออกอย่างเต็มที่
เท่าที่ความรู้ความสามารถของผมจะทำได้
เพียงหวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นเพียง"ไทยเฉย"
เพราะออกไปเป่านกหวีดแค่สองครั้ง ไปอนุสาวรีย์แค่ 2 ครั้ง
ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเลิก พรบ.เหมาเข่ง พอเขาเลิก ก็ไม่ไปอีกเลย<br />
<br />
ขอจบบทความเรื่องนี้แค่นี้นะครับ และหวังว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี<br />
<br />
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%<br />
<br />
<br />
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/4.html"><span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 6) เจาะวิเคราะห์"ระบอบทักษิณ" ...ข้อดี..ข้อด้อย..จุดรุ่งเรือง..จุดเสื่อมถอย..จุดตกต่ำ</span></span></a></h3>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-39208297386277814102013-12-31T10:31:00.000+07:002013-12-31T10:54:43.038+07:00“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 6) เจาะวิเคราะห์"ระบอบทักษิณ" ...ข้อดี..ข้อด้อย..จุดรุ่งเรือง..จุดเสื่อมถอย..จุดตกต่ำ<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 6)<b> เจาะวิเคราะห์"ระบอบทักษิณ" ...ข้อดี..ข้อด้อย..จุดรุ่งเรือง..จุดเสื่อมถอย..จุดตกต่ำ</b></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<b> </b></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<span style="font-size: small; font-weight: normal;"> <span style="color: blue;"><i>“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</i></span></span></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<span style="font-weight: normal;"><span style="color: blue;"><i> </i></span></span></h3>
<br />
ผมปูพื้นมาเยอะ(ตั้ง 5 ตอนยาวๆ) จะขอวิเคราะห์จับประเด็น"ระบอบทักษิณ" (Thaksinocracy) เป็นข้อๆ นะครับ<br />
<br />
1.
ถ้ามองเจตนา (อย่างน้อยที่ประกาศออกมา)
ในทางการบริหารเศรษฐกิจในภาพรวมของคุณทักษิณ ก็คือ จะเร่งสร้างการเติบโต
และทำให้มีการกระจายลงสู่ชนชั้นรากหญ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทั้งคู่
แต่อย่าลืมว่า ในความเป็นจริงจะต้องมีสมดุลในทุกมิติตลอดเวลา
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เพราะทรัพยากรที่จะกระจายมีจำกัด ถ้าโตน้อย
แต่กระจายเร็วไป ก็ต้องมีคนเดือดร้อน
หรือถ้าจะไปเอาทรัพยากรอนาคตมากระจาย(ผ่านหนี้สาธารณะ) ก็จะเป็นภาระลูกหลาน
และมีขีดจำกัดอยู่ดี การเติบโตที่ถาวรยั่งยืนมีทางเดียว
คือต้องเพิ่มผลิตภาพ(Productivity) โดนรวม ของระบบศก.ให้ได้
แต่ที่ผ่านมามีเรื่องพวกนี้น้อย มีเพียงการใช้เทคนิคการบริหาร
ยักย้ายถ่ายเท ลูบหน้าปะจมูก ซึ่งจะได้ผลก็แต่ระยะต้นเท่านั้น<br />
<br />
2.
การใช้ระบบ "พรรคพวกนิยม"อย่างเข้มข้น ในที่สุดจะเป็น"จุดตาย"ของระบอบเอง
ลองนึกดูว่า ต้องการให้รากหญ้า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ดีขึ้น ลืมตาอ้าปากได้
แต่ใช้"พรรคพวกนิยม"คือ ถ้าใครเป็นพรรคพวก ก็ต้องได้ดีต้องได้เปรียบ
ต้องรำ่รวยสุดๆ เท่ากับว่า ใช้สองระบบปนกัน พวกบนสุดใช้Crony Capitalism
เต็มที่ ส่วนข้างล่าง ใช้"กึ่งสังคมนิยม" สองอย่างมันสุดขั้วกัน
"เข้ากันไม่ได้" เดินไปเรื่อยๆ "ข้างบนที่ไม่ใช่พวก" กับ "ตรงกลาง"
ย่อมลำบาก ย่อมตายเกลี้ยง และถึงจะรวมแล้วไม่ได้เป็น"เสียงข้างมาก"
แต่ถ้า"ถูกต้อน"ให้รวมตัวกันได้ ย่อมมีพลังมหาศาล
เพียงพอที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย
หรืออย่างน้อยก็ทำให้รัฐอยู่ในภาวะ"พิการ" ไม่สามารถบริหารได้
(ผมอยากจะพูดว่า"มวลมหาประชาชน"ทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกจัดตั้งโดยท่านกำนัน
หรือเกิดเพราะ พรบ.เหมาเข่ง หรอกครับ แต่"ระบอบทักษิณ"ต่างหาก
สร้างเงื่อนไขจนสุกงอม กำนันไม่ทำก็จะเกิดขึ้นเองสักวันอยู่แล้ว)<br />
<br />
คุณ
ทักษิณเคยพูดว่า "จะไปยากอะไร อยากรุ่งเรืองก็มาเป็นพวกผม"
แต่เชื่อเถอะครับ นั่นขัดกับหลักการ"พรรคพวกนิยม"อย่างมาก อย่างที่ผมเคยบอก
ถ้าทุกคนเป็น"พวก" ก็ช่วยใครไม่ได้ อำนาจก็ไม่มีประโยชน์ Cronyism
จะต้องพยายามให้มีสมาชิกน้อย จะได้เอาเปรียบได้มาก
การเข้า"วงใน"เป็นเรื่องไม่ง่าย ไหนจะต้องแก่งแย่งเอาหน้า ไหนจะถูกกีดกัน
กระบวนการใส่ร้ายป้ายสีเต็มไปหมด ยิ่งอำนาจรวมศูนย์ยิ่งยากเย็นทวีคูณ
คนดีๆเค้าไม่สามารถกระเสือกกระสนได้ขนาดนั้น
แมวขาวย่อมถูกกำจัดไม่ก็กลายพันธุ์ไป
(ผมไม่ได้กำลังกล่าวหาว่าคนแวดล้อมท่านทุกคนเป็นคนไม่ดีนะครับ
...แต่ก็กล้าพูดว่า..มีไม่น้อย)<br />
<br />
3. การ"คอร์รัปชั่น"
ย่อมเบ่งบานตาม"พรรคพวกนิยม".. คุณทักษิณ เคยยืนยันว่า ท่านมั่งมีเหลือล้น
แถมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย อย่างมากก็ชอบนาฬิกาดี กับไวน์ดีๆ มันไม่กี่ตังค์
จะเข้ามากอบมาโกยอีกทำไม ผมค่อนข้างเชื่อครับ(เชื่อคนง่ายน่ะ)
ตอนแรกเจตนาดีมากจริง อย่างมากก็เพื่อปกป้องอาณาจักรธุรกิจ
...แต่พอตัดสินใจใช้ระบบ"พรรคพวกนิยม" พอตัดสินใจยอมใช้แมวดำ
ก็หนีไม่พ้นต้องยอมให้มีการคอร์รัปชั่นบ้าง
ไม่งั้นไม่มีทางเป็นที่นิยมของ"พรรคพวก"ไปได้<br />
<br />
แถมการ
เมืองแบบที่ท่านใช้ หนีไม่พ้นต้องใช้ทุนมหาศาล(อย่างน้อยตอนเริ่มต้น)
คุณทักษิณเคยพูดว่า"การเมือง...ใช้เงินน้อยกว่าที่เคยคิด"(ท่านว่า...เตรียม
ที่จะเสียสละน่ะ) นั่นก็เป็นเพราะ คนอื่นเค้าจ่ายแทนน่ะครับ
แต่เชื่อเถอะครับ ..เรื่องอย่างนี้ ไม่มีการลงขันการกุศล
คนจ่ายเพื่อหาทั้งนั้น แล้วมีหรือที่จะไม่ค้ากำไร ทุกคนเอากำไร
สิบเท่าร้อยเท่าทั้งนั้น
ความคิดที่ว่า"จะควบคุมให้โกงกินได้ตามสมควรเท่านั้น" เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
ไม่มีทางสร้าง"ดุลยภาพ แห่งคอร์รัปชั่น"ขึ้นมาได้<br />
<br />
ดัง
นั้น ต่อให้ท่านไม่โกง ก็ต้องยอมให้คนอื่นโกง (ผมมั่นใจพันเปอร์เซ็น
ว่าท่านก็รู้) ทีนี้ คำว่า"คนอื่น"มันมีแวดวงแค่ไหน ใกล้ไกลตัวขนาดไหน
เป็นเรื่องที่ยากกำหนด ผมไม่แน่ใจว่า
คุณทักษิณมีแผนอะไรที่จะลดจะกำจัด"การโกง"ในกระบวนการคัดพันธ์ุแมวของท่าน
ถ้าไม่มี ระบอบนี้ก็จะต้องกินตัวเองจนล้มอยู่แล้วในที่สุด
(ประเทศอาจล้มไปด้วยอย่างที่คุณ Marcos เคยทำ...ที่น่ากลัวมากคือ
พรรคพวกเก่าของคุณmarcosดันไม่ล้มไปด้วย ยังมั่งคั่งมหาศาลจนทุกวันนี้)<br />
<br />
ผม
ไม่ได้บอกว่า ถ้าคุณทักษิณไม่ขึ้นมา จะไม่มีการโกงนะครับ
แต่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีการโกงกิน มากขึ้นเยอะ
อย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้<br />
<br />
4. ความเป็นนักบริหารแบบ CEO
ซึ่งหมายความว่า ต้องการควบคุมปัจจัยทุกอย่างให้มากที่สุด
ต้องการให้มีความไม่แน่นอนตำ่ที่สุด บวกกับความเก่ง
ความมีประสิทธิผล(Effectiveness)
ทำให้คุณทักษิณพยายามเข้าครอบงำองค์กรและกลไกคานอำนาจอิสสระที่ถูกออกแบบไว้
ในรัฐธรรมนูญ 2540 และก็ทำได้ไม่น้อย วุฒิสภาแทบตกอยู่ในอาณัติ
ทำให้องค์กรที่ตั้งโดยวุฒิสภาแทบจะถูก"สั่งได้"หมด (เหลือเพียงด้านศาล
ที่มีคนบอกว่า ถ้าให้เวลาอีกสักพัก ท่านน่าจะ"เอาอยู่"ิ) ...นี่แหละครับ
สุดยอด CEO ตัวจริง<br />
<br />
แต่อย่างสุภาษิตที่Baron Acton
ว่าไว้ตั้งแต่ปี1887 แล้วว่า ""Power tends to corrupt, and absolute power
corrupts absolutely. Great men are almost always bad men."
อำนาจนั้นทำลายคนเสมอ เริ่มตั้งใจไว้ดีอย่างไร พอเดินไป อำนาจเข้ามาเกี่ยว
ก็เบี่ยงเบนไปหมด<br />
<br />
5. จริงๆแล้ว
ผมเห็นว่า"พรรคการเมือง"ภายใต้คุณทักษิณ เป็นแค่การปรับจากระบบเดิม
ที่รัฐบาลผสมมาจาก "พรรคร่วม"ต่างๆ เพียงแต่คุณทักษิณรวบเอาพรรค
เอามุ้งต่างๆมารวมไว้ที่เดียว แล้วเริ่มบั่นทอนความสำคัญของหัวหน้ามุ้ง
หัวหน้าก๊วน ให้มารวมศูนย์ที่ตน ยามตนแข็งแรง มุ้ง ก๊วน ต่างๆก็ศิโรราบ
พออ่อนแอก็มีการแข็งเมืองบ้าง (ตอนปฏิวัติก็หายไปกลุ่มใหญ่
ตอนคุณสมชายโดนโละก็ไปอีกพวก) แต่ด้วยความเก่ง
ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ...อย่างคนที่เคยพูดว่า "มันจบแล้วนาย"
มาวันนี้ท่านก็พิสูจน์แล้วว่า "มึงน่ะสิจบ..ไปทำทีมบอลไป๊"<br />
<br />
เผด็จ
การรวมศูนย์ในพรรคอย่างนี้ ยิ่งกว่าระบบ Authoritarian
ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสียอีก ระบบแบบนี้ คนที่นั่งอยู่บนยอดปิรามิด
ต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ซึ่งย่อมแน่นอนว่า หาตัวแทนไม่ได้
ระบบถูกออกแบบไว้สำหรับคนๆเดียว ไม่มีทางถ่ายทอดให้รุ่นต่อไปได้ (ลองนึกภาพ
คุณโอ้คมานั่งบริหารแทนสิครับ
หรือแม้จะเอาสุดยอดฉลาดอย่างคุณโพคินก็ไม่น่าจะได้)
เป็นระบบที่ไม่มีทางจะดำรงอยู่ได้นานอยู่แล้ว<br />
<br />
6.
ในตอนท้ายของรัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ต้นปี 2549 ถึงแม้จะมีเสียงในสภาท่วมท้น
แต่การบริหารเริ่มยุ่งยาก มีการต่อต้าน จลาจลวุ่นวาย ต้องยุบสภา
เลือกใหม่ก็ถูกboycott จนเป็นโมฆะ ผมคิดว่าคุณทักษิณก็รู้ตัวแล้ว
ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ (ที่ผมห่วงอย่างหนึ่งคือ
บอกว่าจะไม่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวแล้ว ต้องแบ่งให้ท่านสุพรรณบ้าง
ท่านโคราชบ้าง เดี๋ยวถูกรุม) ถึงกับให้สัญญาณว่า จะถอยไม่เป็นนายกฯ
แต่ยังไม่ได้ทันทำอะไรก็ถูกปฏิวัติเสียก่อน และน่าแปลก ที่โพล 84%
(สวนดุสิต)ออกมาว่าปชช.ยอมรับการปฏิวัติ (สงสัยเป็นโพลเสื้อเหลือง)<br />
<br />
ผม
คิดว่า การปฏิวัติ 2549 เป็นเรื่องแย่มาก
ทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิด จะพัฒนาขึ้นต้องหยุดชะงัก
คณะปฏิวัติ และรัฐบาล ก็ไม่ได้ทำอะไรเรื่องโครงสร้างใหญ่แต่อย่างใด
สนช.ที่แต่งตั้งโดยคมช. ถึงจะเร่งออกกฎหมายเยอะแยะ
แต่ก็ไม่มีเรื่องการปรับโครงสร้างใหญ่แต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสนอง
Wish List ของชนชั้นบน
กับมีเรื่องรากหญ้าบ้างก็เป็นภาคสวัสดิการประชาสังคมของรองนายกไพบูลย์
วัฒนศิริธรรมเท่านั้น<br />
<br />
ในแง่ของคุณทักษิณ ที่ถูกดำเนินคดี
ย่อมคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ความเห็นผมเองก็เห็นใจไม่น้อย
อย่างเรื่องคดีที่ดินรัชดาที่ถูกจำคุก
ความจริงเป็นการซื้อการประมูลอย่างเปิดเผย ที่มีเรื่องเทคนิค
ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ซื้อจะขอความร่วมมือกับผู้ขาย
ทีผู้ขาย(ธนาคารแห่งประเทศไทย) ทำไมไม่มีความผิด ทั้งๆที่รู้ทุกอย่าง
ร่วมดำเนินการทุกอย่างตั้งแต่ต้น<br />
<br />
คดียึดทรัพย์เพราะเหตุรำ
่รวยจากกรณีภาษีสรรพสามิตก็เหมือนกัน
ไปตีความว่าลดส่วนแบ่งรายได้ให้ ทั้งๆที่คนจ่ายจ่ายเท่าเดิม
แล้วไปเทียบมูลค่าหุ้นก่อนเข้าเป็นนายก กับตอนขาย ยึดทรัพย์ไป 46,000
ล้านบาท ผมยิ่งว่าทะแม่ง เพราะตอนแรกเข้า SET Index แค่ 300
แต่ตอนขายหุ้นให้ TAMASEK ดัชนีปาเข้าไปเกือบ 800
ถ้าเรื่องนี้ได้ประโยชน์มิชอบ ทำไมไม่ยึดของผู้ถือหุ้นอื่น อย่างDTAC หรือ
TRUE ด้วย (ผมก็ตะแบงเหมือนกัน)<br />
<br />
7. พอหลังปฏิวัติ
ระบอบทักษิณ ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ความเป็นนักสู้กับความเก่งอย่างเหลือเชื่อของคุณทักษิณ
ทำให้ยังกุมอำนาจอยู่ได้ จะถูกยุบพรรคกี่ครั้ง
ก็ยังกุมอำนาจรัฐกุมหัวใจชาวรากหญ้า และ organize พรรคพวกเดิมอยู่ได้<br />
<br />
แต่เชื่อเถอะครับ การบริหารประเทศ การบริหารพรรคพวกจะยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทางตันในที่สุด<br />
การ"บริหาร
ทางไกล"ในเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง กับเรื่องที่มีพลวัตอยู่ตลอดเวลา
เป็นเรื่องที่"เป็นไปไม่ได้" ข้อมูลข่าวสารที่ได้ ยากที่จะครบถ้วน
ยากที่จะถูกต้อง ยากที่จะทันเวลา คนที่ตะเกียกตะกายไปหา
ไปรายงานก็ย่อมเป็นพวกที่มี Agenda ทั้งนั้น ทุกเรื่องมีวาระแฝง
มีโอกาสถูกบิดเบือนได้สูง<br />
<br />
ทั้ง 7 ข้อ
เป็นการพยายามเรียบเรียง พยายามวิเคราะห์ เพื่อเข้าใจคำว่า"ระบอบทักษิณ"
โดยพยายามมองจากมุมที่เป็นกลาง ไม่ได้ตั้งอยู่บนอคติใดๆ
ทั้งนี้เป็นไปตามข้อจำกัดความรู้ความเข้าใจของผมนะครับ<br />
<br />
ถึง
ตอนนี้...ผมขอสรุปว่า "ระบอบทักษิณ" หาได้เป็นลัทธิใดๆไม่
เป็นเพียงกระบวนการที่สร้างขึ้นมาเพื่อบริหารการเมือง
และก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และผมก็เชื่อว่า มาถึงจุดปัจจุบัน
ก็ไม่สามารถเดินต่อแบบเดิมได้อีก ถ้าจะดันทุรังไป ถึงจะมีชัยชนะได้
ก็จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
มีความสุ่มเสี่ยงมากว่าจะนำไปสู่ความวุ่นวายใหญ่หลวง<br />
<br />
ใคร
ก็ตามที่มีส่วนร่วมอยู่ในระบอบนี้ โดยที่มีเจตนาดี ต่อบ้านเมือง
ต่อรากหญ้าแท้จริง น่าจะตระหนักในความจริงนี้ และพร้อมที่จะปรับ
จะหันมาร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ
ทิ้งให้พวกที่เข้ามาสู่ระบอบนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวอันมิชอบต้องถูกโดด
เดี่ยวเถอะครับ (แต่ตามข้อเท็จจริง พวกหลังมักจะชิ่งก่อนได้ทุกที)<br />
<br />
ใคร
ก็ตามที่ต่อต้านระบบนี้ ก็ขอให้ต้านด้วยความเข้าใจ
อย่าเพียงต้านด้วยอคติท่าเดียว อย่าลืมว่ามีคนหลายสิบล้านที่ยังชื่นชม
จะต้องประสานกันเท่านั้นจึงจะสู่เป้าหมายโดยสงบสุขได้<br />
<br />
ส่วน
ข้อเสนอของผมว่า ควรจะทำอย่างไร จะอยู่ในตอนต่อไปนะครับ
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเสนอที่เฉียบคมอะไร
ไม่ใช่กระบวนการวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทันใด ไม่ใช่แก้ได้วันนี้พรุ่งนี้
ไม่ถึงกับพูดได้ว่า เบ็ดเสร็จเป็นบูรณาการ แถมอาจไม่ถูกต้องใช้ได้ไปทั้งหมด
แต่ผมก็หวังว่า จะมีส่วนที่เป็นประโยชน์บ้างแม้เล็กน้อยสำหรับอนาคต
แค่นั้นก็ภูมิใจสุดๆแล้วครับ<br />
<br />
แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่า
จะเป็นข้อเสนอที่กลับไปสู่สังคมเอาเปรียบ ไม่เห็นใจชาวรากหญ้า
กลับไปสู่สังคมอำมาตย์ กลับไปสู่ระบบ Buffet Cabinet ที่คุ้นเคย<br />
<br />
และก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ทันการด้วยครับ เพราะพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ใครชนะ เรื่องนี้ยังไม่จบแน่นอน ยังต้องฟัดกันอีกนานหลายยก<br />
<br />
นอกจากจะเกิดสงครามกลางเมือง....ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ข้อเสนอใดๆก็ไม่มีประโยชน์แล้วครับ<br />
<br />
....................................................<br />
<br />
<br />
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/5-2.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 5: สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมรู้พลั้ง (2)</span></span></a><span style="font-size: small;"> </span></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/7.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">"ข้อเสนอต่อประเทศไทย"(ตอนที่ 7) : เราจะออกจากกับดักความขัดแย้ง แล้วเดินหน้าต่อกันอย่างไร</span></span></a></h3>
<br />
<br />
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-16087207205325768212013-12-31T10:27:00.001+07:002013-12-31T10:50:52.433+07:00“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 5: สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมรู้พลั้ง (2)<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyoungs-proposal-5/">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 5: สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมรู้พลั้ง (2)</a></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"> </span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;">ที่มา: ไทยพับลิก้า</span></span></h1>
<div class="pf-content">
<blockquote>
<span style="color: blue;"><i>“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</i></span></blockquote>
<br />
ในตอนที่4 ได้วิเคราะห์ข้อผิด ข้อพลาด ต้นทุน ผลกระทบทางลบ ที่มาจากสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ (Thaksinocracy)”<br />
<br />
ในตอนที่5 วิเคราะห์”ระบอบทักษิณ”คืออะไร…มีจริงหรือไม่…พัฒนามาอย่างไร<br />
<br />
คุณนพดล ปัทมะ นักกฎหมายทุนอานันท์ฯ ที่ได้เนติบัณฑิตอังกฤษ บอกว่า
“ระบอบทักษิณ” ไม่มีจริง…ถ้าอย่างนั้น “มวลมหาประชาชน”
ก็คงกำลังต่อสู้อยู่กับลม กับเงา กับ Image Illusion อยู่น่ะสิครับ<br />
อ.เกษียร เตชะพีระ เคยให้นิยาม “ระบอบทักษิณ” ว่าเป็น
“อาญาสิทธิ์ทุนนิยมจากการเลือกตั้ง” ( Elected Capitalist Absolutism)
และมีนิยามอื่นๆ อีกมาก ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่ในสังคมประชาธิปไตยไทย
เพราะเป็นครั้งแรกที่มีพรรคการเมือง (ที่ไม่อิงกับอำนาจเผด็จการ)
ชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากเด็ดขาด กำหนดนโยบายได้เต็มที่ และที่สำคัญ
เป็นพรรคที่มีคนคนเดียว กุมอำนาจอย่างค่อนข้างเบ็ดเสร็จ และอันว่าอำนาจนั้น
ย่อมเหมือนกันหมด เมื่อมีมากเกินไปไม่มีการถ่วงดุล
ย่อมนำไปสู่การใช้จนเกินเลยได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะตั้งใจดีเพียงใด<br />
<br />
สำหรับผม “ระบอบทักษิณ” เป็นแค่วิธีการ เป็นแค่กระบวนการ
ที่คุณทักษิณใช้ในการบริหารประเทศ ในการบริหารการเมือง และไม่ได้มีระบอบ
ไม่มีทฤษฎีที่ตายตัว ไม่มีแม้แต่ปรัชญาที่เป็นแก่นเสียด้วยซ้ำ
ทุกอย่างถูกปรับเปลี่ยนไปตามบริบท ตามสภาพสิ่งแวดล้อม
ตามอำนาจต่อรองของฝ่ายต่างๆ ตลอดจนตามพลวัตรของโลก<br />
<br />
<b>แกนหลักของ “กลไกทักษิณ” ก็ผูกโยงอยู่กับ
อำนาจ-การได้มาซึ่งอำนาจ-พรรคพวกนิยม-การกระจายรายได้สู่รากหญ้า-การชนะ
เลือกตั้ง-อำนาจ วนเวียนอยู่อย่างนี้ โดยเจตนาดีที่อาจมีก็คือ
ใช้ทุนนิยมโลกาภิวัตน์เข้ามากระตุ้น
หวังให้เกิดความเจริญพัฒนาของประเทศตามนิยามสากล</b><br />
<br />
ผมจะลองไล่ที่มา และพัฒนาการของสิ่งที่ผมจะขอเรียกว่า <b>“กลไกแบบทักษิณ”</b> ตามความเข้าใจของผมนะครับ<br />
<br />
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นับเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จสูงมาก ความจริงท่านก่อร่างสร้างตัวมาจากระบบ <b>“พรรคพวกนิยม” ล้วนๆ</b>
คือเริ่มต้นจาก บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ซึ่ง เป็นตัวกลางขาย IBM
ให้กับหน่วยงานรัฐ (IBM ไม่ขายตรงให้รัฐ ต้องมีคนกลางมาประสานงาน
จัดการตรงกลาง…ไม่รู้เพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐพูดปะกิดไม่ได้หรือไร)
ต่อมาก็เริ่มได้สัมปทาน เช่น เพจเจอร์ติดตามตัวก่อน ตามมาด้วยโทรมือถือ
เคเบิลทีวี (จากน้าเหลิม) ดาวเทียม สายการบิน ฯลฯ จะเห็นได้ว่า
ธุรกิจหลักที่สำเร็จยิ่งยวดจะมาจากสองปัจจัย คือ เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ
สัมปทานรัฐ ใบอนุญาตพิเศษจากรัฐ (ซึ่งก็คือการซื้อ การเช่า Monopoly หรือ
Oligopoly นั่นเอง) กับมักจะเป็นเรื่องก้าวหน้า เป็นเรื่องวิสัยทัศน์อนาคต
เป็นของใหม่ เทคโนโลยีใหม่สำหรับไทย (ข้อนี้เป็นคุณสมบัติดีของคุณทักษิณ
ซึ่งภายหลังก็ได้นำมาใช้ในทางการเมืองเยอะ กล้าคิด กล้าทำ กล้า create
สิ่งใหม่)<br />
<br />
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_63262" style="width: 470px;">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/thaksin-shinawatra-_789121c.jpg" rel="lightbox"><img alt="ที่มาภาพ :http://i.telegraph.co.uk " class="size-full wp-image-63262" height="288" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/thaksin-shinawatra-_789121c.jpg" width="460" /></a><br />
<div class="wp-caption-text">
ที่มาภาพ :http://i.telegraph.co.uk</div>
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
</div>
ถึงแม้ธุรกิจทุกอย่างจะเป็นเรื่องสัมปทาน เป็นเรื่อง “พรรคพวกนิยม”
แต่คุณทักษิณ ไม่ได้แค่่ใช้ความได้เปรียบที่ซื้อหามาเท่านั้น
ยังให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ผลิตภาพ
องค์กรธุรกิจของท่านทุกอันมีการบริหารสมัยใหม่ มีการพัฒนาคุณภาพตลอดเวลา
ถือว่าเป็นองค์กรมาตรฐานสากล เทียบชั้นโลกาภิวัตน์ได้ทีเดียว
พอนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2533 ก็นับเป็นมหาเศรษฐีไทยคนหนึ่งตลอดมา<br />
คุณทักษิณเริ่มเข้าสู่การเมืองในปี 2537 โดยเป็น รมต.ต่างประเทศ
สังกัดพรรคพลังธรรม ในสมัยรัฐบาลชวน 1 (ชวน หลีกภัย) แล้วก็มาเป็นรองนายกฯ
สมัยคุณบรรหาร ศิลปอาชา กับมาเป็นรองนายกฯ ช่วงสั้นๆ ท้ายสมัย พล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ หลังวิกฤติเศรษฐกิจ 2540<br />
<br />
ผมเดาว่า แรกเริ่ม คุณทักษิณอาจแค่ต้องการทำการเมือง เพื่อพิทักษ์
เพื่อขยายอาณาจักรธุรกิจ
เพราะทุกอย่างที่ต้องอาศัยอำนาจรัฐย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องต่อรองกับการเมือง
การเข้ากุมอำนาจรัฐเสียเอง ย่อมทำให้ปลอดภัยไร้กังวล<br />
<br />
ในช่วงที่เข้าเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต หลังวิกฤติ (15 ส.ค. –
6 พ.ย. 2540) ผมได้มีโอกาสเจอ คุณทักษิณบ่นมาก
ค่อนข้างหงุดหงิดกับวิธีแก้ปัญหาที่เชื่องช้า ไม่มียุทธศาสตร์
ท่านบ่นกับผมว่า “ถ้าให้ผมแก้ ใช้วิธี CEO พักเดียวก็จะดีขึ้นได้” ดังนั้น
เมื่อ พล.อ.ชวลิตลาออก รัฐบาลชวน 2 เข้ามาแก้ปัญหา รัฐธรรมนูญ 2540
มีผลใช้บังคับ พอกลางปี 2541 คุณทักษิณก็ตั้งพรรค “ไทยรักไทย”
เพื่อเตรียมลงเลือกตั้ง<br />
<br />
เคยมีผู้ใหญ่ที่ร่วมก่อตั้งพรรคเล่าให้ฟังว่า ตอนเริ่มต้น
คุณทักษิณตั้งใจจะตั้ง “พรรคการเมืองคุณภาพ” โดยใช้พื้นฐาน”พรรคพลังธรรม”
ที่ได้รับมรดกจากมหาจำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) ร่วมกับคณะ “คนดี”
ที่เคยยอมเสียสละเข้าป่าเพื่อพัฒนาชาติไทย
(หลายท่านยังช่วยอยู่จนทุกวันนี้) แต่หลังจากประเมินดูแล้ว
ทำอย่างนั้นคงไม่มีโอกาสได้บริหารประเทศแน่ หรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานมาก
ก็เลยเปลี่ยนวิธี หันไปใช้กลยุทธของท่าน เติ้ง เสี่ยว ผิง ที่ว่า “แมวขาว
แมวดำ ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน เอาไว้จับหนู เสร็จแล้วค่อยคัดพันธุ์ ค่อยๆ
กลายให้ขาวทีหลัง” (การกลายกลับเป็นว่า แมวขาวตายเกือบเกลี้ยง) <br />
จะสังเกตได้ว่า ครม. ชุดแรกๆ ยังมีสมาชิกที่สังคมชื่นชมว่า “เป็นคนดี”
อยู่ไม่น้อย แต่หลายท่านก็ค่อยๆ ทยอยจากไป เช่น ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย,
รตอ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์, ศ.นพ.กระแส ชนะวงศ์ ฯลฯ
คุณทักษิณเองก็เคยบ่นว่า พวกคนดีมักเปราะ นิดหน่อยก็ไม่อดทน
สู้นักการเมืองอาชีพไม่ได้ อดทนได้ทุกอย่าง จะย้าย จะลดตำแหน่ง ลดบทบาท
ก็ยังทนได้เสมอ อันนี้ตรงกับสุภาษิตจีนโบราณที่ว่า “พอมีอำนาจ
คนดีมักจะถอยห่าง คนชั่วเข้าประชิด เพื่อเกาะกินอำนาจอันหอมหวานนั้น”<br />
<br />
<div class="wp-caption-text">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3.jpg" rel="lightbox" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt=" ที่มาภาพ : http://thaingo.org/" class="size-full wp-image-63261" height="640" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3.jpg" width="480" /></a> </div>
<div class="wp-caption-text">
ที่มาภาพ : http://thaingo.org/</div>
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_63261" style="width: 250px;">
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
</div>
ช่วงปี 2542-2543 พรรคไทยรักไทยสามารถรวบรวม ส.ส. แชมป์เก่า
จากพรรคต่างๆ ได้ถึงกว่า 130 คน พอเลือกตั้งต้นปี 2544 เลยชนะถล่มทลาย ได้
ส.ส. ถึง 256 คน แถมตั้งรัฐบาล 324 เสียง ฝ่ายค้านพิการ
อภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่ได้เลย<br />
<br />
พอเป็นรัฐบาล คุณทักษิณก็ใช้ฝีมือในการบริหาร มีการกระจายทรัพยากรได้ดี
ประชานิยมที่ดี ที่เฉยๆ และที่ห่วย ระดม ทยอยกันออกมา มีฝีมือ
ขยายระบบนอกงบประมาณ ทำให้เงินสะพัด แปรรูป ปตท. ตลาดทุนเลยคึก เศรษฐียาจก
happy ถ้วนหน้า ความหวังเบ่งบานทั้งสังคม (รายละเอียดอธิบายในตอนก่อนๆ
แล้วครับ)<br />
<br />
หลังครบสี่ปี เลือกตั้งใหม่ 2548 “ไทยรักไทย” ยิ่งชนะถล่มทะลาย ได้ ส.ส.
376 คน (ปชป. ได้แค่ 96) แม้ในกรุงเทพฯ ยังกวาดเกือบเกลี้ยง
เลยตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แต่ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด โดนประท้วงมากในเรื่องคอร์รัปชัน เรื่องรวบอำนาจ
เรื่องทำลายองค์กรอิสระ รวมไปถึงความไม่จงรักภักดี แล้วเลยต้องยุบสภา
พอเลือกตั้ง เม.ย. 2549 เลยถูกบอยคอต ไม่มีใครลงสมัคร แล้วก็เลยเป็นโมฆะ
แก้เกมไม่ทันเสร็จ 19 กันยายน 2549 ก็ถูกปฏิวัติ แล้วก็เลยโดนคดีเป็นพรวน
ถึงแม้พรรคที่ตั้งใหม่ยังชนะเลือกตั้งได้ทุกครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถบริหารประเทศได้ราบรื่น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้<br />
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นที่รับรู้ทั่วไป
ผมนำมาเรียบเรียงใหม่เพียงเพื่อประกอบการวิเคราะห์ พัฒนาการของ
“ระบอบทักษิณ” ซึ่งผมจะขอยกยอดไปเริ่มในตอนต่อไปนะครับ</div>
<h1 class="title">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;">....................................</span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: small; font-weight: normal;"> </span></h1>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/4-1.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 4): สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมมีพลั้ง (1)</span></span></a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/4.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 6) เจาะวิเคราะห์"ระบอบทักษิณ" ...ข้อดี..ข้อด้อย..จุดรุ่งเรือง..จุดเสื่อมถอย..จุดตกต่ำ</span></span></a></h3>
<h1 class="title">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;"> </span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;"> </span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;"> </span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-weight: normal;"> </span></span></h1>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-68832107697702251932013-12-31T10:23:00.003+07:002013-12-31T14:46:55.325+07:00“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 4): สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมมีพลั้ง (1)<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-4/">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 4): สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมมีพลั้ง (1)</a></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">ที่มา: ไทยพับลิก้า</span></span></h1>
<div class="pf-content">
<blockquote>
<span style="color: blue;"><i>“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</i></span></blockquote>
<br />
วิเคราะห์ข้อผิด ข้อพลาด ต้นทุน ผลกระทบทางลบ ที่มาจากสิ่งที่เรียกว่า
“ระบอบทักษิณ (Thaksinocracy)” ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า
ผมคิดหนักก่อนที่จะเขียนบทความนี้ ใน<a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-1/">ตอนที่1</a> ผมก็ได้เกริ่นไว้ว่า “น่าจะขาดทุนเป็นแน่” ผิดวิสัยนักธุรกิจ ที่ทำอะไรต้องคำนวณผลได้ผลเสียที่จะตกแก่ตน<br />
<br />
ความจริงผมและพรรคพวกที่<a href="http://www.phatrasecurities.com/th/"> “ภัทร”</a>
เป็นมิตรกับทุกคนทุกฝ่ายมาตลอด ผมเป็นมิตรกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร
และคณะมานาน เพราะเราได้โอกาสให้บริการทางธุรกิจมาตั้งแต่กว่า 25 ปีก่อน
พอๆ กับที่เป็นมิตรกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณกรณ์ จาติกวณิชย์ และคณะ<br />
<br />
พวกเราไม่มีฝักมีฝ่าย เราพยายามสร้างประโยชน์ตลอดมา เราถือคติที่ว่า <b>“ใครก็ตาม ถ้าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่เราเห็นด้วย และมีศักยภาพที่จะช่วยได้ เราจะรับใช้ทั้งนั้น” </b>เรา
ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโดยรวม คนคนนั้น คณะนั้นๆ เป็นคนดีหรือไม่
ขอให้สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่เรามั่นใจว่าดี เป็นประโยชน์ชาติ เราถือคติว่า <b>“เราอาจจะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ทั้งหมด แต่เราทำให้มันดีขึ้นได้” </b>ถ้า
เป็นกิจกรรมด้านเศรษฐกิจหรือตลาดทุน เรารับใช้รับงานมาทุกรัฐบาล
ทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับค่าจ้าง และเราก็มั่นใจว่า
เราได้งานด้วยความสามารถ ไม่ใช่ด้วยเส้นสาย งานที่เราทำมีประโยชน์ต่อชาติ
และที่สำคัญ เราไม่เคยต้อง <b>“ทอนเงิน”</b> ให้ใครเลยสักบาท<br />
<br />
ที่เกริ่นมายืดยาว ไม่ใช่ว่าจะกลัวอำนาจ หรือกลัวผู้มีอำนาจ
แต่เนื่องด้วยเราทำตัวเป็น “กัลยาณมิตร” กับทุกฝ่ายตลอดมา
เมื่อใดที่เราคิดว่ามีข้อบกพร่อง มีข้อกังวล เกี่ยวกับนโยบายใด
เราจะเข้าไปเตือน ไปแสดงความคิดเห็นโดยตรง (และแน่นอน ที่ไม่มีใครเชื่อ
หรือทำตามเราทุกครั้ง…หลายครั้ง แม้จะเห็นด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดอื่นๆ
ที่ทำให้ทำไม่ได้ คนทำกับคนแค่พูด…มันไม่เหมือนกันครับ)
เราไม่ได้เอาแต่ประจบสอพลอ ไม่ได้เข้าไปเยินยอใดๆ
แต่เรามักไม่มาวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะนอกจากเหลืออดจริงๆ (เช่น
จ.น.ข.)<br />
<br />
ที่ครั้งนี้ ผมต้องมานั่งวิเคราะห์อย่างค่อนข้างเปิดเผยต่อสาธารณะ ก็เป็นเพราะ <b>ผม
คิดว่าอาจเป็นประโยชน์ ให้ผู้ที่แตกแยกทั้งสองฝ่าย ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง
ให้สาธารณะ เข้าใจถึงรากแก่นของปัญหา
เผื่อจะช่วยบรรเทาความโกรธเกรี้ยวเข้าใส่กัน และนำไปสู่ “ทางออกประเทศไทย”
ในที่สุด</b> (ก็หวังเพ้อเจ้อไปก่อนน่ะ)<br />
<br />
ที่ต้องมีการออกตัวยืดยาวนี้
เพราะผมกลัวว่าจะเป็นเรื่องเสียมารยาทที่มาวิจารณ์ “มิตร”
ในที่แจ้งเท่านั้นครับ ไม่ใช่กลัวภัยอื่น
ถ้าล่วงเกินก็ต้องขอโทษมิตรทั้งหลายด้วยนะครับ<br />
ขอเข้าเรื่องเสียที เลียบค่ายอยู่ตั้งนาน…<br />
<br />
ใน<a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-2/">ตอนที่ 2</a> กับ <a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-3/">ตอนที่ 3</a>
ผมพยายามอธิบายสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะ “ชาวรากหญ้า”
ชื่นชมได้ประโยชน์ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ในตอนนี้จะพยายามอธิบายถึงอีกกลุ่มหนึ่งที่เกลียดชัง “ระบอบทักษิณ” บ้าง
โดยจะแยกเป็นข้อๆ นะครับ<br />
<br />
1. เป็นเรื่องการกระจายรายได้อีกแหละครับ คือ ในด้านของ Income Side
ของ GDP ซึ่งประกอบด้วย เงินเดือนค่าจ้าง (wages) ดอกเบี้ย (interest)
ค่าเช่า (rental) กำไรบริษัท (corporate profit ) และ
กำไรรายได้ผู้ประกอบการย่อยซึ่งรวมนอกระบบด้วย (Proprietor’s Income)<br />
<br />
อย่างที่บอกแล้ว ในช่วงหลังวิกฤติ เกษตรกรดีขึ้น คนทำงานทักษะสูงดีขึ้น
ข้าราชการ ครู ดีขึ้น แต่ที่ดีมากที่สุดคือ ธุรกิจเอกชน corporate profit
เฉลี่ยเติบโตกว่า 20% ต่อปีตลอดมาหลังวิกฤติ จนทำให้สัดส่วนสูงขึ้นมาก
จากไม่ถึง 20% ของ GDP เป็นกว่า 30% และแน่นอน ย่อมกินส่วนจากภาคส่วนอื่นๆ
ไม่น้อย (ส่วนนี้ตกเป็นของคนจำนวนไม่เกิน 1% ของประชากร
กับพวกนักลงทุนต่างชาติ) แต่ถ้าไปดูรายละเอียดจะพบว่า
พวกที่กำไรเพิ่มมากจะเป็นบรรษัทใหญ่ๆ บรรษัทต่างชาติ
บรรษัทที่มีการคุ้มครอง เช่น ได้สัมปทาน พวกสถาบันการเงิน ฯลฯ
พวกที่ทำธุรกิจ Non-tradables (เพราะกระตุ้นการบริโภค)
กับพวกที่เข้าถึงระบบ “พรรคพวกนิยม” ของผู้มีอำนาจ ส่วนพวกอื่นๆ
โดยเฉพาะพวกที่ทำ Tradables ช่วงแรกดีเพราะค่าเงินอ่อน
แต่ต่อมาค่าเงินแข็งขึ้น การปรับปรุงผลิตภาพ (TFP) มีไม่พอ
ค่อนข้างลำบากกันทั่ว โดยเฉพาะมาขึ้นค่าแรงพรวดพราด เจ๊งระนาว<br />
<br />
<b>ไม่มีอะไรหล่นลงมาจากฟ้า…เศรษฐกิจรวมโตแค่ 5%
เลยมีคนได้และมีคนเสีย ที่เสียแน่คือพวกที่มีรายได้จากเงินออม
เพราะดอกเบี้ยและค่าเช่าต่ำเตี้ย ดอกเบี้ยแท้จริงติดลบด้วยซ้ำ
(เงินเฟ้อสูงกว่า) สำหรับคนทำงานทักษะกลางๆ (พวกชั้นกลางระดับล่าง)
พวกนี้ไม่ดีขึ้น ทรงตัวหรือแย่ลง </b><br />
<br />
ความจริงพวกแรงงานทักษะต่ำและนอกระบบ ดีขึ้นระยะต้นเท่านั้น
รายได้แท้จริงไม่เพิ่มเท่าไหร่ เพราะผลิตภาพไม่ได้เพิ่ม แต่ที่รู้สึกดี
เพราะการเกื้อหนุนจากครอบครัวเกษตร และจากประชานิยม อย่างตอนหลังปฏิวัติ
2549 รัฐบาลสุรยุทธ์ดันปิดก๊อกประชานิยม แถมราคาสินค้าเกษตรไม่ดี
คนกลุ่มนี้เลยยิ่งคิดถึง “ท่านทักษิณ” เข้าไปใหญ่ พอเลือกตั้ง
ก็อย่างที่เห็นแหละครับ ขนาดหาเสียงอยู่ดูไบ พรรคพลังประชาชนยังชนะถล่มทลาย<br />
<br />
(การวิเคราะห์ในข้อนี้ หลายส่วนมาจากการสังเกตคาดคะเนนะครับ
หวังว่าจะมีการศึกษาต่อ การวิจัยเรื่องความเหลื่อมล้ำในไทยยังต้องทำอีกเยอะ
อย่างงานศึกษาของ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล จาก MIT ที่เสนอใน BOT Symposium
ก็น่าขยายผลลงลึกไปอีก)<br />
<br />
2. เรื่องของ “พรรคพวกนิยม” แบบไทยๆ …<b>เราเป็นระบบ “ทุนนิยมพรรคพวก”</b>
(Crony Capitalism) มาแต่ไหนแต่ไร และก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ
ที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง จากระบบเจ้านายกับขุนนาง มาเป็นพรรคพวกคณะราษฎร
มาเป็นพวกเผด็จการ กึ่งเผด็จการ จนมาเป็นพรรคพวกแบบนักการเมืองอาชีพแบบ
Buffet Cabinet จนมาเป็นระบบอาญาสิทธิ์ทุนนิยม (Elected Capitalist
Absolutism)ในปัจจุบัน ตามนิยามของ อ.เกษียร เตชะพีระ หรือก็คือ
“ระบอบทักษิณ” (Thaksinocracy)<br />
<br />
ลองมาดูพัฒนาการของ “พรรคพวกนิยมไทย” ใน 25 ปีหลังบ้าง ก่อนหน้านั้น
เราเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ อำนาจยังอยู่ในมือขุนศึก
ที่ให้เทคโนเครตบริหารเศรษฐกิจ (ถ้าสังเกตให้ดี เมื่อยี่สิบปีก่อน ธนาคาร
บรรษัทใหญ่ๆ รัฐวิสาหกิจสำคัญ จะต้องมีประธาน
มีกรรมการติดยศพลเอกนั่งอยู่แทบทุกแห่ง)
รัฐบาลผสมนั้นมักจะสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ไปมา ไม่มีใครได้คุมอะไรถาวร<br />
<br />
พอมาปี 2531 ป๋าเปรม(พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)วางมือ น้าชาติ พล.อ.ชาติชาย
ชุณหะวัณ ขึ้นนายกฯ (ความจริงท่านเลิกเป็นทหารมานานแล้ว
ยศสุดท้ายพลจัตวาเอง มาเป็นนักการเมืองอาชีพ
แต่พอเป็นใหญ่พวกสอพลอก็ขอยศให้) ท่านเลิกใช้พวกเทคโนแครต คุณประมวล สภาวสุ
เป็นนักการเมืองอาชีพคนแรกที่เป็น รมต.คลัง ต่อด้วยคุณบรรหาร ศิลปอาชา
นักการเมืองเข้าคุมสมบูรณ์ขึ้น แต่ยังไงก็เป็นรัฐบาลผสม
ต่อรองย้ายแยกกันคุมกระทรวงสำคัญผลัดกันไปมา เป็นอย่างนี้ 12 ปี
เรียกได้ว่าเป็นระบบ Buffet Cabinet ถึงจะมีท่านอานันท์มาสลับสองช่วงสั้นๆ
ก็เป็นแค่พักยก กินของหวานกาแฟ ไม่มีการเปลี่ยนด้านโครงสร้างมากนัก<br />
<br />
ด้านนักธุรกิจ โดยเฉพาะพวกที่ค้าขายกับรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และพวกที่ต้องใช้อำนาจรัฐ (เช่น ที่ต้องใช้สัมปทาน ใช้ใบอนุญาตต่างๆ )
ก็ต้องปรับตัวพัฒนาตามการเปลี่ยนลักษณะอำนาจและขั้วอำนาจ เมื่อห้าสิบปีก่อน
การลงทุนต่างๆ จะเกิดกับผู้ที่ใกล้ชิดเผด็จการ และผู้ที่เข้าถึงอำนาจเงิน
ซึ่งก็คือนายธนาคารเท่านั้น <b>จะเห็นได้ว่า ก่อนปี 2530 การลงทุนใหญ่ๆ ทำได้อยู่ไม่กี่ตระกูล หรือไม่ก็ต้องรอฝรั่ง รอญี่ปุ่น รอ FDI (Foreign Direct Investment)</b><br />
<br />
พอมาเป็นระบบ Buffet Cabinet ข้อดีก็คือ “ระบบพรรคพวก”
ไม่ถูกผูกขาดอีกต่อไป มีพ่อค้านักธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่เข้าถึงอำนาจรัฐ
อำนาจรัฐหาซื้อได้ง่ายขึ้น ประกอบกับตลาดทุนคึกคัก บริษัทเงินทุนก็เติบโต
ไม่ต้องพึ่งแต่เงินนายแบงก์ที่มีไม่กี่แห่งอีกต่อไป
ช่วงสิบปีก่อนเกิดวิกฤติ มีการลงทุนโดยนักธุรกิจใหม่ๆ เยอะ
ทุกหน่วยราชการเร่งออกสัมปทาน เช่น โทรคมนาคม
(ที่มีคุณทักษิณเป็นเจ้าใหญ่สุด) คุณเฉลิม อยู่บำรุง
ได้ดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ดูแล อสมท. ก็ออกสัมปทานเคเบิลทีวี
(ก็ได้คุณทักษิณอีกแหละ) ทั้ง ทศท. กสท. ก็เร่งใหญ่ออกใบ monopoly
ไปแบ่งขายกันเบิกบาน (จนตอนหลังตัวเองเจ๊ง เพราะห่วยเกินจะแข่ง)
ส่วนรัฐวิสาหกิจทั้งหลายก็ขยายตัวกันสุดชีวิต
เพราะเศรษฐกิจขยายตัวดีกว่าปีละ 10% ต้องขยายสาธารณูปโภครองรับ
พ่อค้าทั้งหลายก็ happy เข้าช่องเข้าหาศูนย์อำนาจที่ดูแล ซื้อใบเบิกทาง
เป็นที่สำราญเบ่งบาน<br />
<br />
พอคึกคะนองมากๆ หาเงินได้ง่าย ลงทุนเกินตัว ก็เลยมี “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
ในปี 2540 วุ่นวายแก้ไขกันอยู่พักใหญ่ จนเลือกตั้งต้นปี 2544 “ไทยรักไทย”
ชนะขาด และอยู่ยืนกว่าห้าปี ด้วยความที่มีความเชี่ยวชาญการบริหาร
ก็เลยมีการ organize ระบบพรรคพวกนิยมใหม่ ไม่ใช่ระบบ mini auction
แบบแต่ก่อน เพราะทำอย่างนั้น ประโยชน์ที่เกิดมันไปตกกับพ่อค้ามากไป
ไม่มีประสิทธิภาพพอ เลยกลายเป็นมีลักษณะสองอย่าง อย่างหนึ่งคือ
เกิดมีระบบสมาชิกถาวรระยะยาวใหม่ (เพราะมีอำนาจต่อเนื่อง) และ เป็นระบบที่
systemic มากขึ้น
ไม่มั่วซั่วเวลามีการเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนคนเหมือนอย่างแต่ก่อน<br />
<b>ดร.ทักษิณเป็นคนที่เข้าใจระบบ “พรรคพวกนิยม” อย่างลึกซึ้ง
เพราะเติบโตมาด้วยระบบนั้น และเป็นคนที่รักพรรค รักพวก
สามารถบริหารจัดการนักการเมืองทุกๆ กลุ่ม ทุกๆ แบบ ได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์
(นักการเมืองล้วนเป็นสุดยอดมนุษย์กันทั้งนั้นครับ)
และเป็นคนที่ใช้ระบบนี้ได้เก่งที่สุด</b><br />
<br />
ปัญหามันคือ <b>อันว่า “พรรคพวกนิยม” นั้น มีนิยามความหมายว่า
“ใช้อำนาจช่วยให้พรรคพวกเราได้เปรียบเหนือคนที่ไม่ได้เป็นพวก”
ซึ่งแน่นอนว่านานเข้าจะมีศัตรูมากกว่ามิตร</b>
เพราะถ้าทุกคนเป็นพวกก็ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ใดให้ได้
(จะไปเอาเปรียบใครล่ะครับ) หรือแม้มีมิตรมากกว่าศัตรู
พรรคพวกก็จะได้ประโยชน์คนละน้อย ไม่หนำใจ ไม่คุ้มเป็นพวก
จะให้ได้ประโยชน์มากต้องให้มีพวกน้อยราย และใช้อำนาจมากๆ เอาเปรียบคนอื่นๆ
ให้แรงๆ พอทำอย่างนี้นานเข้า
คนที่ถูกเอาเปรียบเลยมีจำนวนมากกว่าคนที่ได้เปรียบเยอะ พ่อค้าที่ทนไม่ไหว
เลยมีมากกว่าพ่อค้าที่เทิดทูน (ก็เวลาช่วย พวกท่านก็ไม่ได้ให้เปล่านี่ครับ
แถมราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ) ยิ่งข้าราชการ ยิ่งมีคนที่ถูกเอาเปรียบ
ถูกข้ามอย่างไม่เป็นธรรม (เพราะถ้าเป็นธรรมก็ไม่ได้ใช้อำนาจช่วยใคร)
เยอะแยะมาก แถมคนที่เป็นพวก หากจะได้รับเกื้อหนุน ส่วนใหญ่ก็ต้อง
“จ่ายราคา” ด้วยกันทั้งนั้น<br />
<br />
<b>สรุปว่า “พรรคพวกนิยม” นั้น
ในที่สุดก็สร้างศัตรูจำนวนมากกว่าสร้างมิตร เห็นจำนวนพ่อค้า
จำนวนข้าราชการที่ไปเป็น “มวลมหาประชาชน” ไหมครับ</b><br />
<br />
3. เรื่องของ “คอร์รัปชัน” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของคู่กันกับ “พรรคพวกนิยม”
การโกงไม่ได้เพิ่งเกิดเพิ่งมี มันน่าจะเริ่มตั้งแต่เรามีประเทศเลยก็ว่าได้
แต่รูปแบบ ความกว้าง ความรุนแรงมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และก็เช่นกันครับ
พัฒนาการมันย่อมเป็นไปตามบริบทที่เปลี่ยนไป อย่างยุคแรกของการโกง
ก็มักจะเอาจากทรัพย์สินจากภาษีรัฐโดยตรง
หรือไม่ก็โกงจากเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
หรือไม่ก็ออกกฎออกระเบียบให้การบริการประชาชนไม่สะดวกไม่คล่องตัว
เปิดให้มีการใช้ดุลพินิจ จนคนต้องจ่ายเงินหล่อลื่นเพื่อซื้อความสะดวก
ต่อมาก็ไปช่วยเอกชนให้ไม่ต้องแข่งขัน (เช่น ล็อกเสป็กให้ จัดซื้อพิเศษ ฯลฯ)
พอวิวัฒนาการมากขึ้นอีกก็เป็นเรื่องขายความได้เปรียบระยะยาว เช่น
พวกสัมปทาน Monopoly หรือ Oligopoly ต่างๆ (หลายครั้งถูกเรียกว่า
คอร์รัปชันทางนโยบาย)<br />
<br />
ถ้าจะเอาให้แฟร์ ความจริงคอร์รัปชันมันมีวิวัฒนาการของมัน
และเบ่งบานเพิ่มขึ้น นวัตกรรมมากขึ้นตลอดมา แม้ในยุคที่ คุณอภิสิทธิ์แห่ง
ปชป. เป็นนายกฯ ก็ไม่เห็นจะลดลง (อาจจะโทษพรรคร่วม แต่เอ๊ะ เรื่องโรงพัก
เรื่องถุงยังชีพ มันพรรคท่านเองนี่นา) แม้ยุค พล. อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ก็ยังมีโกงกันไม่น้อย ถึงแม้คนใน ครม. ส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวก็ตาม<br />
<br />
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คอร์รัปชันในยุคของระบอบทักษิณ ถือว่าเบ่งบาน
เป็นปัญหาใหญ่หลวงขึ้นทุกที จนกระทั่งประเทศไทยถอยหลัง จากอันดับ 60
ของประเทศที่ดีที่สุดในปี 2000 มาเป็นอันดับ 102 ในปี 2013 ใน Corruption
Perception Index ที่เพิ่งประกาศไปไม่กี่วันนี้
มันน่าเอาปี๊บคลุมหัวด้วยความอับอาย
และพรรคของท่านก็บริหารประเทศถึงร่วมสิบปีในช่วงเวลานี้
ซึ่งถ้าพวกท่านไม่ทำเอง
ก็ต้องโดนข้อหาว่าปล่อยให้มีการโกงกินมโหฬารในทุกด้าน
และไม่เคยตั้งใจดำเนินการให้จริงจังได้ผลเลย ทั้งในด้านการปราบปราม
และการป้องกัน<br />
<br />
คอร์รัปชันทุกวันนี้ ลุกลามกว้างขวาง และพัฒนาการลึกซึ้งขึ้นทุกที
เรียกว่าเป็น Systemic Corruption กันไปทั่ว บางอุตสาหกรรม
เรียกได้ว่าเป็นระบบจนเรียกได้ว่าไม่เหลือธุรกิจดีอยู่เลยก็ว่าได้ เช่น
การก่อสร้างภาครัฐ มีคนบอกว่า โครงการ IT ภาครัฐ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
แถมมีเปอร์เซ็นต์สูงลิ่วกว่าสามสิบทั้งนั้น ซึ่งผมยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
เพราะระบบพวกนี้ต้องใช้ระบบหลักจากบริษัท IT ชั้นนำของอเมริกาทั้งนั้น
ซึ่งเขามีกฎหมาย Foreign Corrupt Practices Act ซึ่งลงโทษรุนแรง
ถึงแม้ร่วมมือเพียงเล็กน้อย (น่าเรียกร้องให้ Department of Justice
ของไอ้กันมาสอบสวนดูนะครับ)<br />
<br />
เมื่อก่อน เวลาเปลี่ยนขั้วอำนาจการเมือง
มักจะต้องลงไปรื้อไปโยกย้ายข้าราชการเพื่อให้ “เข้าขา”
แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องเลยครับ ทุกอย่างเป็นระบบ มีวิธีการ มีกลไก
มีนวัตกรรมไว้พร้อม ใครเข้ามาก็แค่กดสวิทช์แล้วรอรับ ยกตัวอย่าง
ปลัดกระทรวงใหญ่แห่งหนึ่ง ขุนสร้างมาโดยท่านจากสุพรรณ
แต่งตั้งโดยท่านจากบุรีรัมย์ เปลี่ยนขั้วไป ท่านจากดอนเมืองก็ยังใช้บริการ
ความมาแตกเอาตอนโจรขึ้นบ้าน แล้วตู้เสื้อผ้าแตก โจรตกตะลึง
บอกว่ามีเป็นพันล้าน ขนไม่ไหว (แต่ท่านบอกมีแค่สิบ โจรน่าจะโกหกเวอร์)<br />
เรื่องคอร์รัปชันนี้ หนีไม่พ้นที่จะถูกโจมตีว่าเป็นจุดอ่อนใหญ่ของ
“ระบอบทักษิณ” ถ้าจะบริหารประเทศต่อ มีทางเดียวต้องแก้จุดนี้ให้ได้
ต้องแสดงความจริงใจอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องเริ่มทำให้เห็นเป็นรูปธรรมให้ได้<br />
<br />
ความจริงยังมีเรื่อง มีเหตุการณ์อีกหลายอย่าง ที่ทำให้ความแตกแยกลุกลาม
ต้องขอยกไปตอนหน้าอีกสักตอนนะครับ ผมอยากวิเคาะห์ทุกอย่างให้ละเอียด
ก่อนที่จะเสนอแนวคิด ว่าเราควรจะเดินยังไงต่อไป<br />
<br />
วันนี้ (เขียนเมื่อ 2 ธ.ค. 2556) เขียนยาวที่สุดเป็นประวัติการ พบกันตอนหน้าครับ<br />
.....................................................<br />
<br />
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/3.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 3: สภาพสังคม-เศรษฐกินที่เปลี้ยนไป๋ </span></span></a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/5-2.html"><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 5: สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมรู้พลั้ง (2)</span></span></a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
</h3>
</div>
<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"> </span></h1>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-70434890693396299332013-12-31T10:19:00.003+07:002013-12-31T10:46:53.805+07:00“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 3: สภาพสังคม-เศรษฐกินที่เปลี้ยนไป๋<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-3/">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” ตอนที่ 3: สภาพสังคม-เศรษฐกินที่เปลี้ยนไป๋</a></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"> </span><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">ที่มา: ไทยพับลิก้า<span style="background-color: white;"></span></span></span></h1>
<div class="pf-content">
<blockquote>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: small;"><i><span style="color: blue;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</span></i></span></span></blockquote>
<br />
ในตอน 2 ผมพยายามสรุปว่า ทำไมคนกลุ่มใหญ่ หรือก็คือรากหญ้า ถึงได้ชื่นชม<b> “ระบอบทักษิณ” </b>ทั้ง
เรื่องที่คุณทักษิณทำ และเรื่องที่เกิดเองโดยกระบวนการ
หลายเรื่องก็เกี่ยวพันกัน เช่น โครงการ 30 บาทฯ
ที่ทำให้คนจนลดห่วงเรื่องสุขภาพ ประกอบกับรายได้ดีขึ้น
สามารถทุ่มทรัพยากรทั้งหลายไปให้กับการศึกษาบุตรธิดา
คนจนชนบทส่งลูกหลานเข้าเรียนในเมือง
เสร็จแล้วเยาวชนเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะยอมกลับบ้าน (อาจจะติดแสงสีเสียง
หรือความสนุก ความสะดวกของเมือง) แต่แปรสภาพเป็น <b>“คนจนเมือง”</b><br />
<br />
เมื่อสองเดือนก่อน ผมได้ไปนั่งฟังการเสนองานวิจัยของโรเบิร์ต ทาวน์เซนด์
(Robert Townsend) แห่ง MIT (เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชนบท
ที่มีชื่อเสียงมากของโลก มาทำวิจัยในชนบทไทยกว่า 15 ปี…แต่แปลกใจมาก
ที่วันที่ผมไปฟังที่จุฬาฯ มีคนฟัง 10 กว่าคนเอง) ผลที่ได้ทำให้ผมแปลกใจ
นั่นคือ เกษตรกรไทยมีรายได้ดีขึ้นมาตลอด มีทุนและความมั่งคั่งสะสมดีทีเดียว
มีระบบการเงินแบบไม่เป็นทางการ (informal) ที่ค่อนข้างดี สรุปว่า
ดีขึ้นตลอด เรียกได้ว่า <b>“คนจนชนบท”</b> แทบจะหมดไป<br />
<br />
เรื่องนี้ ถ้าพิจารณาจากผลิตผลเกษตรที่เพิ่มขึ้นตลอดมา ราคาที่ดีขึ้น ทั้งราคาตลาดโลก ทั้งจากการแทรกแซงของรัฐ <b>ขณะที่จำนวนแรงงานในภาคเกษตรที่คงที่ที่ 14.5 ล้านคนมาร่วม 15 ปี ย่อมแปลได้ว่าผลิตภาพดีขึ้น รายได้ดีขึ้น</b> (นี่เป็นเพียงข้อสังเกตของผม อยากให้มีการวิจัยละเอียดเยอะๆครับ)<br />
<br />
ทีนี้ แรงงานที่เพิ่มเกือบ 9 ล้านคน ในช่วง 15 ปีนี้ไปไหน ทำอะไร
เป็นอยู่อย่างไร แถมมีแรงงานทะลักเข้าจากเพื่อนบ้านอีก (ประมาณว่ากว่า 4
ล้าน) คำตอบง่ายๆ คือ เข้าเมือง และส่วนใหญ่แปรสภาพเป็น “คนจนเมือง”
นั่นคือ มาทำงานที่ไร้ทักษะ เช่น ก่อสร้าง พนักงานขาย งานบริการ ร้านอาหาร
โรงแรม หรือโรงงานประเภททักษะต่ำ (labor intensive)
และอีกจำนวนมากไปทำงานอิสระนอกระบบ เช่น แผงขายของ หาบเร่
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ …<b>ลองหลับตากลับไปนึกภาพกรุงเทพฯ เมื่อ 20
ปีก่อนดูสิครับ ถ้าอยากซื้อสินค้าแผงราคาถูก ก็ต้องบากบั่นไปซอยละลายทรัพย์
หลังแบงก์กรุงเทพ สีลม เท่านั้น หาบเร่แผงลอยก็มีจำกัด
เทศกิจโผล่มาทีก็หอบแผงวิ่งหนีจ้าละหวั่น มาวันนี้
แหล่งแผงขายสินค้าราคาถูกมีเป็นพันแหล่ง
หาบเร่มีมากกว่าเจ้าหน้าที่เทศกิจเป็นพันเท่า ถ้าจะจับหาบเร่
รับรองต้องขยายคุกอีก 10 เท่า</b><br />
<br />
<br />
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_63012" style="width: 630px;">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2.jpg" rel="lightbox"><img alt="หาบเร่แผงลอย ที่มาภาพ : http://board.postjung.com/data" class="size-medium wp-image-63012" height="465" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2-620x465.jpg" width="620" /></a><br />
<div class="wp-caption-text">
หาบเร่แผงลอย ที่มาภาพ : http://board.postjung.com/data</div>
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
</div>
สรุปง่ายๆ สังคมคนจนได้เปลี่ยนได้ย้ายจาก<b> “จนชนบท” มาเป็น “จนเมือง”</b>
แต่พอจะอนุมานได้ว่า ความสัมพันธ์ยังใกล้ชิดกัน การเกื้อหนุนยังสูง
(ก็เพิ่งเกิดใน generation นี้) เพียงแต่ค่อนข้างกลับข้าง
จากการที่แต่ก่อนคนหนุ่มสาวเข้าเมือง หางานทำเพื่อหาเงิน
ส่งกลับไปเจือจุนครอบครัวยากไร้ในชนบท
เปลี่ยนเป็นคนหนุ่มสาวเข้าเมืองเพื่อการศึกษา เพื่อสร้างเพื่อหาโอกาสที่ดี
(ที่คว้าไม่เจอเสียที) ในระหว่างนั้น ครอบครัวชนบทก็ช่วยลงทุนให้
ช่วยเกื้อหนุนส่วนที่ขาด (ซึ่งรวมไปถึงค่ามือถือ iPhone iPad เที่ยวเตร่
เหล้ายา ตลอดไปจนถึงยาบ้า)<br />
<br />
ขณะเดียวกัน การพัฒนาด้านการศึกษาก็ล้มเหลว ไม่ตอบโจทย์
ลงทุนเข้ามาเรียนแสนแพง จบไปไม่ได้คุณภาพ ไม่มีผลิตภาพ ความฝันไปไม่ถึง
(แต่อย่างน้อยก็เรียนรู้ที่จะเรียกร้องสิทธิ์
เรียนรู้ที่จะสร้างอำนาจต่อรองสาธารณะ)<br />
<br />
ที่แย่กว่านั้น ถ้าไปดูค่าตอบแทน ซึ่งผมใช้ <b>“ค่าแรงขั้นต่ำ”</b>
เป็นฐานหลักสำหรับคนจนเมือง เพราะถ้าต่ำเกิน ก็จะขาดแรงงาน ถ้าสูงเกิน
พวกนอกระบบก็จะไหลเข้ามาล้นเกิน เกิดว่างงานมาก แต่นี่อัตราว่างงานต่ำ
ถือได้ว่าสมดุลมาตลอด ถ้าจะหาปัญหาพื้นฐานจริงๆ <b>
ผมว่าเป็นเพราะเราไม่ได้มุ่งพัฒนาผลิตภาพซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการ
พัฒนาผลิตภาพรวม หรือ Total Factor Productivity (TFP)
ของเราเพิ่มช้าและน้อยมาก ทำให้ถึงแม้รายได้จะเพิ่ม
จึงไม่สามารถไหลลงสู่ชนรากหญ้าได้</b><br />
<br />
<b>ค่าแรงขั้นต่ำตลอด 14 ปีหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540
ในอัตราแท้จริง (ปรับเงินเฟ้อ) กลับติดลบถึง 1.4% ขณะที่ GDP แท้จริงโตถึง
73% และ GDP ต่อหัวเพิ่ม 53%
แล้วความเติบโตกับความมั่งคั่งมันหายไปไหนหมดล่ะ “คนจนเมือง” ถึงไม่ได้เลย</b><br />
<b> </b> <br />
คำตอบง่ายมากครับ ก็พวกเกษตรกรดีขึ้นบ้าง (ตามที่กล่าวแล้ว)
ที่เหลือพวกเศรษฐี พวกอำมาตย์ พวกคนชั้นกลาง ได้รับไปแบ่งกัน
รายได้ของลูกจ้างทักษะสูง เช่น ทำงานธนาคาร งานการตลาด งานคอมพิวเตอร์
ตลอดไปถึงข้าราชการ ครู มีอัตราเพิ่มที่ดีตลอดมา<b>
ส่วนที่เพิ่มมากสุดเป็นกำไรกิจการ (Corporate Profit) ที่เพิ่มถึง 254%
(ส่วนนี้ตกเป็นของคนไม่กี่แสนคน ไม่ถึง 1% ของประชากร
กับพวกต่างชาติที่มาลงทุน)</b> ส่วนที่คนจนเมืองรู้สึกดีขึ้นบ้าง ก็เพราะได้เกื้อหนุนจากพ่อแม่ในภาคเกษตร และโครงการประชานิยมต่างๆ นี่แหละครับ<br />
<br />
สภาพความเป็นมา การเปลี่ยนแปลง อันเริ่มจากการฟื้นตัวหลังวิกฤติ
ผลจากรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งหมดนี้
ผมเคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” เมื่อ 22 มิ.ย. 2556
ไปดูรายละเอียดได้นะครับ<br />
ความจริงการเปลี่ยนแปลงนี้ ผมคิดว่านักวิชาการ นักพัฒนาต่างๆ
ก็หลงทางกันเยอะ พอพูดถึง “คนจน” ก็มุ่งไปที่ชนบท ที่เกษตรกรก่อน
ช่วงปลายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมเคยถูกเรียกเข้าไประดมสมอง
ก็เริ่มด้วยการพูดว่า จะแก้ปัญหาความยากจนชนบท ผมเลยเสนอบทวิเคราะห์ที่ว่า
และขอให้กลับมาเน้นที่ <b>“คนจนเมือง”</b> ซึ่งถ้าพิจารณา <b>“โครงการประชาภิวัฒน์”</b>
ปลายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเห็นว่ามุ่งตอบโจทย์คนจนเมือง แต่อย่างว่า
รู้ช้า ทำได้ช้า ข้อจำกัดเยอะ เลยเข้าทำนอง “ช้าไปต๋อย”
พอเลือกตั้งก็เลยแพ้ยับ พรรคเพื่อไทยระดมเสนอโครงการสร้างความหวัง
แจกกระจาย เช่น ข้าวตันละหมื่นห้า ค่าแรงพุ่งพรวด ทำได้ไม่ได้ลุยไปก่อน
เอาอำนาจมาให้ได้ ฉิบหายระยะยาวช่างมัน
พอเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็เลยแพ้ยับ<br />
<br />
เรื่องปัญหา “คนจนเมือง” ต่างจากปัญหา “คนจนชนบท” เยอะ
โดยเฉพาะแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความรุนแรง
ความแตกต่างทางชนชั้นสามารถนำไปสู่สงครามได้ง่าย
ทฤษฎีการปฏิวัติชนชั้นของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ก็มีพื้นฐานมาจาก
“คนจนเมือง” นี่แหละครับ จากการวิจัยปัญหาการจลาจลของ “คนดำ” ในเมืองใหญ่ๆ
ของสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ 1960 เช่น ในดีทรอยต์, พิตตส์เบิร์ก, ชิคาโก,
นิวยอร์ก ต่างก็ระบุชัดว่า<b>
เรื่องตัวเลขความแตกต่างของรายได้ไม่ใช่ปัญหาเดียว แต่การมาอยู่ในเมือง
มันมีแรงกดดันทางสังคมอื่นๆ ต้องถูกปฏิบัติสองมาตรฐาน
ต้องเจอการดูถูกเหยียดหยาม เห็นความแตกต่างของโอกาสอย่างไม่เป็นธรรม ฯลฯ
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นชนวนของความแตกหักทั้งนั้น</b><br />
จะโดยบังเอิญ หรือโดยตั้งใจก็ตามแต่ นโยบายของพรรคไทยรักไทย
ตลอดมาถึงพลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย รวมทั้งชั้นเชิงทางการเมือง
ทางการประชาสัมพันธ์มวลชน ทำให้คนที่เคยรู้สึกว่าด้อยโอกาส
ถูกดูถูกเหยียดหยาม มีความรู้สึกที่ดีขึ้น มีความหวัง
ถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้โลดแล่นมาก
แต่คนจำนวนมากรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น<br />
<br />
แล้วใครเป็นผู้เสียหายล่ะครับ…<br />
<br />
<b>ไม่มีอะไรหล่นลงมาจากฟ้า ถ้ามีคนได้ย่อมมีคนเสีย </b><br />
<b>ความจริงช่วงรัฐบาลทักษิณ 5 ปี เศรษฐกิจเติบโตในอัตราเฉลี่ยแค่
5.1% ไม่ได้ดีอะไรมาก แต่อย่างที่ผมบอก เศรษฐีก็ดีขึ้น ข้าราชการก็ดีขึ้น
คนระดับกลางที่ทำงานใช้ทักษะก็ดีขึ้น เกษตรกรก็ดีขึ้น
รากหญ้าแม้ยังไม่ดีมากแต่ก็รู้สึกว่าดีขึ้น (จากของแจกของแถม) </b><br />
<br />
พวกที่เลวลง
ก็คงเป็นพวกที่ทำงานในบางแห่งที่ไม่ได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลง
พวกนักธุรกิจที่ไม่ได้ปรับปรุง TFP ทำให้แข่งขันได้ยากขึ้น
พวกนักธุรกิจที่เข้าไม่ถึงอำนาจพรรคพวกนิยม หรือแทงผิดข้าง
ข้าราชการที่ไม่ถูกนับเป็นพวก เลยถูกรังแก และพวกกลุ่มใหญ่ที่กินบุญเก่า
กินดอกเบี้ย กินบำนาญ ซึ่งดันเจอดอกเบี้ยต่ำ ผลตอบแทนแท้จริงติดลบมานาน
พวกนี้เป็นพวกที่เสียโดยตรง แต่ในที่สุดก็จะถูกสมทบด้วยพวกที่แท้จริงแล้ว
ไม่ได้รับผลเสียทางเศรษฐกิจ แต่ทนกับความบิดเบือน ความมั่ว
ความคดโกงไม่มีที่สิ้นสุด ไร้หลักการไม่ได้ ออกมารวมกันเป็น
“มวลมหาประชาชน” ในปัจจุบัน ซึ่งผมจะค่อยๆ วิเคราะห์ในตอนต่อๆ ไป<br />
<br />
ความจริงถ้าไม่มีปฏิวัติ 2549 นโยบายแบบเดิมก็จะถึงทางตันเองอยู่แล้ว
สุดท้ายต้องหันไปเพิ่ม TFP ในระยะยาวให้ได้เท่านั้นเป็นคำตอบสุดท้าย
น่าเสียดายที่เราเกิดการแตกแยกรุนแรงเสียก่อน 7
ปีที่ผ่านมาจึงแทบไม่มีการปรับปรุงเรื่องนี้เท่าไหร่
(เกือบทศวรรษแล้วนะครับที่หายไป)<br />
<br />
ตอนที่แล้วผมเกริ่นว่า ตอนนี้จะอธิบายถึงข้อผิด ข้อพลาด ข้อไม่ดีของ
“ระบอบทักษิณ” คงต้องยกไปตอนหน้าอีกแล้ว
เพราะผมตั้งใจจะอธิบายทุกเรื่องอย่างละเอียดที่สุดในบทความชุดนี้
เรียกว่าเอาความรู้ทั้งชีวิตเกี่ยวกับสังคมมาเรียบเรียงไว้ให้หมด
ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถช่วยเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ได้ทัน
แต่เชื่อเถอะครับ ไม่ว่าใครจะชนะศึกในรอบนี้ ปัญหายังไม่มีทางจบหรอกครับ
ผมได้แต่หวังว่าในอนาคต จะมีคนเข้าใจปัญหาทุกอย่าง
ร่วมกันสร้างสรรค์ทางออกที่ยั่งยืนถาวร<br />
<br />
อย่างที่บอกแหละครับ ผมไม่ใช่ปราชญ์ ไม่ใช่นักคิด ไม่ใช่นักวิชาการ
เป็นแค่คนธรรมดาที่รักสังคม รักชาติ รักเพื่อนมนุษย์ ความรู้ ความเห็น
ย่อมไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนไปทั้งหมด
หวังว่าถ้าเป็นประโยชน์บ้างก็จะภูมิใจแล้วครับ<br />
<br />
(หมายเหตุ ข้อเขียนนี้เขียนเมื่อ 3 ธ.ค. 2556)</div>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">...............................................</span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;"> </span></span></h1>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/2.html"><span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 2) : ขวัญใจรากหญ้า </span></span></a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/4-1.html"><span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 4): สี่เท้ายังรู้พลาด คนฉลาดย่อมมีพลั้ง (1)</span></span></a></h3>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;"> </span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;"> </span></span></h1>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-46792666919512578702013-12-31T10:14:00.001+07:002013-12-31T10:45:56.875+07:00“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 2) : ขวัญใจรากหญ้า<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-2/">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 2) : ขวัญใจรากหญ้า </a></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: small;">ที่มา: ไทยพับลิก้า</span></span></h1>
<div class="pf-content">
<blockquote>
<span style="font-size: small;"><span style="color: blue;"><i>“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</i></span></span></blockquote>
<br />
ในตอนแรก
ผมได้ปูพื้นถึงความเหลื่อมล้ำ การเข้าเมือง (Urbanization)
และความแตกต่างด้านการศึกษา สามมิติที่เป็นพื้นฐานความแตกต่าง
ที่พัฒนาเป็นความแตกแยกในสังคมไทยในปัจจุบัน<br />
จริงๆ แล้ว “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานาน
การที่คนมีโอกาสต่างกันมหาศาล คนรวยก็รวยล้นเหลือโดยหาได้ง่ายๆ
ในขณะที่คนจน ต่อให้ขยัน ทุ่มเทแค่ไหน ก็ยากที่จะมีโอกาสไต่ระดับฐานะ
ถึงจะมีได้บ้าง ก็เป็นสัดส่วนต่ำ และมักต้องอาศัยเงื่อนไขเฉพาะ เช่น
โชคดีสุดๆ หรือใช้วิชามาร ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย
หรือไม่ก็อยู่ในเครือข่ายคอร์รัปชัน <b>ในสังคมทุนนิยมที่ดีนั้น
โอกาสจะต้องมี ถ้าคนทุ่มเท ตั้งใจ จะต้องได้โอกาส
อย่างน้อยโอกาสที่จะได้รับบริการสาธารณะที่เท่าเทียม
โอกาสที่จะได้ดูแลสุขภาพ ได้รับการศึกษาคุณภาพ
ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียง ฯลฯ </b><br />
<br />
<b>ไม่น่าเป็นไปได้และไม่ควรจะเป็น ที่คน 12 ล้านคนแรก
จะเก่งจะดีจะขยันกว่า จนกระทั่งสร้างผลผลิต ได้มากกว่า คน 12
ล้านคนข้างล่าง ถึง 13 เท่าตัวในหนึ่งปี (20% บน/20% ล่าง)
อย่างในประเทศเรา มันเป็นเรื่องของความแตกต่างทางโอกาสล้วนๆ
ในประเทศทุนนิยมที่พัฒนา ความแตกต่างนี้อยู่ที่ 3-5 เท่า เท่านั้นเอง</b><br />
<br />
ในอดีต แม้ความเหลื่อมล้ำมีมาก แต่ที่ไม่ปะทุเป็นปัญหา ก็เกิดจากสาเหตุหลายประการ<br />
1)ระบบสังคมอุปถัมภ์ แบบดั้งเดิม ทำให้ชาวชนบท ยอมรับความเป็น
“เจ้าขุนมูลนาย” ยอมรับความ “เหนือ” กว่าของผู้ที่มีโชค “เกิดถูกครรภ์”
โดยดุษณี ประกอบกับการศึกษาที่ไม่กว้าง และไม่ก้าว ทำให้คนยอมรับ
“ชะตากรรม” ง่ายๆ<br />
<br />
2)ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505-2540 เศรษฐกิจรวมเติบโตดีมาก (ภายใต้ระบบเผด็จการ
และประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่พึ่งเทคโนแครตในการบริหารเศรษฐกิจ)
ภายใต้แผนพัฒนาฉบับที่ 1-7 เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี
(nominal rate) ทำให้แม้ความเหลื่อมล้ำไม่ดีขึ้น
แต่ทุกคนก็มีรายได้เพิ่มขึ้นดี (2541-2555 เศรษฐกิจโตเฉลี่ยต่ำกว่า 5%)<br />
<br />
3)ความสำเร็จในการลดอัตราเร่งของจำนวนประชากร (คุมกำเนิด-เครดิตคุณมีชัย
วีระไวทยะ) ช่วยลดแรงกดดันด้านการครองชีพ ให้กับผู้มีรายได้น้อย<br />
<br />
4)การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และปรับเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม
ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมาก คนมีโอกาสที่จะเข้ามาทำงานในเมือง
มีรายได้มากขึ้นกว่างานในไร่นามาก (แต่ในระยะหลัง
ค่าแรงแท้จริงถูกกดไม่เพิ่มเลยถึง 15 ปี เพราะ Total Factor Productivity
ไม่เพิ่ม)<br />
<br />
ฯลฯ<br />
<br />
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_62852" style="width: 630px;">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5-1.jpg" rel="lightbox"><img alt="ที่มาภาพ : http://img11.imageshack.us/" class="size-medium wp-image-62852" height="413" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5-1-620x413.jpg" width="620" /></a><br />
<div class="wp-caption-text">
ที่มาภาพ : http://img11.imageshack.us/</div>
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
</div>
แล้วไงล่ะ…แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) เข้ามาทำอะไร ชาวรากหญ้าถึงได้รักหนักหนา<br />
ก็เกิดการลดความเหลื่อมล้ำอย่างมากในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ผมขอเริ่มด้วยสองเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำอะไร แต่ได้รับผลดีไปเต็มๆ<br />
<br />
<b>เรื่องแรก คือผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจ </b> ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อฟื้นกลับมา สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ<b> “การกระจายความมั่งคั่ง” </b>(wealth
distribution) เรารู้อยู่ว่า วิกฤติต้มยำกุ้งนั้น เป็นวิกฤติของคนรวย เป็น
corporate crisis คนรวยลำบากเยอะ คนจนได้รับผลพวงบ้างก็เป็นระยะสั้น
เศรษฐกิจติดลบไป 2 ปี แต่อีก 3 ปีก็กลับมาที่เดิม
แต่คนที่ได้มากขึ้นเป็นรากหญ้ามากกว่าคนเคยรวย ลองคิดดูว่า จาก 25
บาท/เหรียญ เป็น 40 บาท/เหรียญ เกษตกรได้เพิ่มเท่าไหร่ เกิด export boom
การจ้างงานเพิ่มมาก (ก็เรานิยม labor intensive)
แรงงานได้เพิ่มมากในระยะต้น<br />
<br />
พรรคประชาธิปัตย์ นั่งแก้ปัญหาอยู่เกือบสามปี ช่วงแรกคนลำบากเยอะ
ต้องกัดลูกปืน (bite the bullets) ของท่านIMF ประชาชนไม่พอใจกับความลำบาก
มีอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องแก้ปัญหา และ ส.ส.
ลาออกเยอะเพื่อไปร่วมกับพรรคใหม่ นายชวน หลีกภัย เลยต้องยุบสภา
เลือกตั้งใหม่ ต้นปี 2544 ทำให้ “ไทยรักไทย” ได้เสียง 250 จาก 500
(ประชาธิปัตย์ได้แค่ 129 เสียง) มาเป็นรัฐบาล “ทักษิณ1″ รับอานิสงส์ไปเต็มๆ<br />
<br />
<b>เรื่องที่สอง เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่บังคับให้มีการกระจายอำนาจ</b>
โดยเฉพาะอำนาจในการจัดการทรัพยากรเองบ้าง แทนที่จะต้องนั่งรอขอ
รอเมตตาจากส่วนกลาง หรือรอจนกว่าจะได้ ส.ส.
สุดอัจฉริยะไปเบียดบังงบประมาณจากภาคส่วนอื่นๆของประเทศมาเทใส่จังหวัด
ใส่ท้องถิ่นตนอย่างเหลือเฟือ
(ท่านได้รับอิสระแล้วในวันนี้เอง)การกระจายอำนาจการบริหารจัดการให้องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตั้งแต่ปี 2544 ตามรัฐธรรมนูญ 2540
มีส่วนมากในการทำให้คนรากหญ้าเข้าถึงและจัดการทรัพยากรส่วนกลางได้มากขึ้น
(ซึ่งเรื่องนี้ หลายคนบ่นว่าทำให้เกิดการกระจายการโกงกินไปด้วย
แล้วมีผลให้เกิดการเชื่อมโยงแนบแน่นขึ้น ผ่านกระบวนการนักโกงกินระดับชาติ
กับนักโกงกินท้องถิ่น)<br />
ทั้งสองเรื่อง เป็นประโยชน์ที่ช่วยให้เกิดการกระจายที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลยังไม่ต้องทำอะไร<br />
<br />
แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณทำอะไรบ้าง คนถึงรักเทิดทูนเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดเป็นเทพซะหน่อย….<br />
<b>ความจริง ในแง่การขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในช่วง
ห้าปีเศษของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (2544-2549) ไม่ได้ดีเด่นอะไร
เศรษฐกิจเติบโตในอัตราเฉลี่ยแค่ 5.1% ต่อปี นับว่าค่อนข้างต่ำด้วยซ้ำ
ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศ Emerging Market ด้วยกัน
หรือจะเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติ หาได้สมกับฉายา Economic Tzar ที่ใครๆ
พากันประโคม</b><br />
<br />
แต่มีหลายเรื่อง ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำดีทำเก่ง
ทำให้เกิดการกระจาย ทั้งรายได้ ทั้งโอกาส อย่างกว้างขวาง และลึก
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เข้าสู่กลุ่มที่เราเรียกว่า “รากหญ้า”
(ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่เคยขาดโอกาส…ไม่ได้มีนัยยะดูถูกแต่ประการใด)
และจะขอยกมาตามที่ได้สังเกต<br />
<b>เรื่องแรก เป็นเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ</b>
ความจริงแล้ว 12 ปี (ตั้งแต่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ปี 2531)
ประเทศถูกปกครองโดยระบบ Buffet Cabinet โดยนักการเมืองรัฐบาลผสม แบ่งเค้ก
ระบบเทคโนแครต กลไกราชการถูกทำลายแทบราบเรียบสิ้นเชิง
ระบบและข้าราชการถูกเปลี่ยนให้สนองเป้าหมายทางการเมือง (ทั้งเป้าดี
เป้าชั่ว) กลไกเรียกได้ว่าหย่อนประสิทธิภาพมาก นโยบายถึงจะมีดี
แต่ยากที่จะถูกนำไปปฏิบัติให้เกิดผล (ถึงตอนนี้
ต้องขอโทษข้าราชการที่ดีที่ยังคงมีอยู่อย่างมากมาย
แต่ผมคิดว่าท่านก็น่าจะอึดอัดกับระบบแบบนี้อยู่)<br />
<br />
ความที่เป็นนักบริหารและค่อนข้างลงมือปฏิบัติจริง (hands-on)
พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถผลักดัน สามารถบังคับใช้กฎหมาย (execute)
ให้กลไกราชการกลับมามี “ประสิทธิผล” (effective) เพิ่มขึ้น
นโยบายมีผลมากขึ้นเยอะ (เรียกว่า แก้จากแย่มาก ให้เป็นแย่น้อยลงได้)
การปฏิรูประบบราชการ ก็ช่วยให้มีความคล่องตัวมากขึ้น การตั้ง KPI
ให้ข้าราชการเป็นครั้งแรกช่วยกระตุ้นให้อย่างน้อยต้องมีผลงานด้านดีบ้าง
(KPI ด้านชั่ว ต้องไปตั้งกันอย่างลับๆ) จำ <b>“อาจสามารถโมเดล”</b>
ได้ไหม ความจริงงานทุกอย่างควรถูกจัดทำอยู่แล้วโดยหน่วยราชการทั้งหลาย
แต่ทุกหน่วยเฉื่อยแฉะ ไม่ทำอะไร พอท่านลงไปตั้งแคมป์เพื่อโชว์ถ่ายทอดสด
real time ชาว อ.อาจสามารถก็เลยเฮง ได้ทุกอย่าง (ที่จริงควรจะได้อยู่แล้ว)
เป็นบูรณาการ ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำไป<br />
<br />
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_62849" style="width: 630px;">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5.jpg" rel="lightbox"><img alt="ที่มาภาพ : http://www.komchadluek.net" class="size-medium wp-image-62849" height="322" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5-620x322.jpg" width="620" /></a><br />
<div class="wp-caption-text">
ที่มาภาพ : http://www.komchadluek.net</div>
<div class="wp-caption-text">
<br /></div>
</div>
<b>เรื่องที่สอง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ช่วง 5 ปีของรัฐบาลทักษิณ งบประมาณแผ่นดินที่ส่งผลถึงรากหญ้า</b>
(จากการรวบรวมแยกแยะใหม่ ของทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร)
จากเดิมที่มีเพียง 16% ของงบประมาณ เพิ่มเป็น 24%
ถึงแม้บางส่วนอาจมาจากรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ผลก็มาเกิดในช่วงนี้
ลองคิดดู่ว่างบประมาณปีหนึ่งๆ 1.5 – 2 ล้านล้าน 8% ที่มาเพิ่ม ปีละ
1.2-1.6 แสนล้านบาท ที่ตกถึงรากหญ้าเพิ่มขึ้น ถึงจะรั่ว จะไหล ไปบ้าง
แต่ที่เหลือก็สร้างความมั่งคั่ง บรรเทาความเดือดร้อนให้พวกเขาได้ไม่น้อย<br />
<br />
<b>เรื่องที่สาม คือการใช้เงินนอกระบบงบประมาณ</b>
สิ่งที่เพิ่มมากมีอยู่สองอย่าง คือ เงินกู้ต่างๆ ที่อัดให้กับรากหญ้า
ผ่านกองทุนรูปแบบต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน กองทุน SML
กับผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SMEs Bank)
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปี 2541
สถาบันการเงินพิเศษของรัฐ (SFI) เหล่านี้ มีทรัพย์สินรวมกันแค่ 350,000
ล้านบาท เป็น 12% ของ GDP เวลานั้น ปัจจุบันมีทรัพย์สินรวมกว่า 4,000,000
ล้านบาท คิดเป็น 37% ของ GDP เงินเหล่านี้ ถึงจะไปสู่รายใหญ่
หรือรั่วไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าใครบ้าง แต่ส่วนที่ตกถึงมือชาวบ้าน
ก็เพียงพอที่จะสร้างความรักเคารพให้อย่างล้นเหลือ<br />
<br />
<b>เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่อาจไม่เกี่ยวกับรากหญ้าโดยตรง
แต่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งส่งผลต่อให้มีการระดมทุนภาคเอกชนอีกมาก
และการจ้างงานเพิ่มเต็มที่ (ไม่งั้นชะลอกว่านี้อีกเยอะ)
คือการนำรัฐวิสาหกิจใหญ่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์</b>
(ผมขอไม่เรียกว่า แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะจริงๆแล้วทำแค่ครึ่งเดียวของ
Privatization ที่ควรทำ) ซึ่งทำให้ ตลาดทุนที่ซบเซาอย่างมากหลังวิกฤติ (SET
INDEX ก่อน เอาบริษัทปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ดัชนีแค่ 280)
กลับมามีชีวิต คึกคัก ดึงดูดการลงทุนได้มาก ผมขอเดาว่า ถ้าไม่มีการนำ
ปตท. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และลูกๆ, ทอท., อสมท.
การเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะหายไปปีละเกือบ 1% เลยทีเดียว<br />
<br />
เรื่องนี้ เป็นเครื่องวัด “ประสิทธิผล” เปรียบเทียบได้ดี
เพราะรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็มีแผนเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
แต่สามปีไม่คืบหน้าเลย ขณะที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณทำปีเดียวออกได้เป็นพรวน
และผมประทับใจคุณทักษิณมาก ที่กล้าประกาศเลยว่า
จะเดินหน้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในการหาเสียง
ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเลือกพรรคไทยรักไทย ไม่เหมือนพรรคอื่นๆ ที่หงอ กลัว
NGOs ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องดี เลยไม่กล้า
แทนที่จะพยายามอธิบายชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เป็นที่น่าเสียดายมาก
ที่เราไม่มีการแปรรูปอีกเลย ที่ค้างไว้ ที่ทำไปครึ่งเดียว ไม่มีการสานต่อ
เลยกลายเป็นแค่ “รัฐวิสาหกิจจดทะเบียน” ที่ยังอยู่ใต้อำนาจ
ใต้อุ้งเท้านักการเมือง<br />
<br />
<b>เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง คือ การประชานิยมทั้งหลาย ทุกการประชานิยม จะดีจะเลว อย่างน้อยก็เป็นการ redistribution </b>นั่น
คือ การเอาทรัพยากรกลาง (ซึ่งแน่นอนครับ เก็บมาจากภาษี
และคนมีมากก็ต้องเสียภาษีมากกว่าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะภาษีทางตรง ทางอ้อม
เพราะบริโภคมากกว่าอยู่ดี) ไปกระจาย และแน่นอนว่าย่อมกระจายให้กับคนจน
คนด้อยโอกาส พวกรากหญ้าได้รับมากกว่า <br />
อันว่าประชานิยมไม่ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด อย่าง
“หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า”
นับว่าเป็นนโยบายสาธารณะที่ดีที่สุดในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ หรือ
ประชานิยมประเภทที่ทำให้คนได้ทุน ได้รับการศึกษาที่ดี ได้ฝึกอาชีพ
ก็คุ้มค่า หรืออย่างนโยบายขึ้นค่าแรง ก็พอรับได้ พวกประชานิยมที่แย่หน่อย
ก็พวกแจกเงินแบบ “เอาไปกิน…แล้วก็ถ่าย”
ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพใดๆ..แต่ที่แย่สุด
ก็คือพวกที่นอกจากไม่เกิดผลิตภาพแล้ว ยังไปบิดเบือนกลไกตลาด ไปครอบงำ
และทำลายกลไก ทำลายประสิทธิภาพ ผลิตภาพที่สร้างสมมานาน
แถมออกแบบให้รั่วง่าย ไหลง่าย “ประชาชน” ได้รับส่วนน้อย
ที่เหลือหายไปกับสายลมหมด<br />
<br />
อันหลังนี่ ถามใครก็ตอบได้ สามคำจำง่าย ก็โครงการ “จำนำข้าว”
ที่ยังนั่งยันยืนยันว่า “มีประโยชน์” แถมท่าน ส.ส.
ผู้ทรงเกียรติอีกสามร้อยกว่าคน ก็ช่วยยกมือยืนยันให้อีก
(เฮ้อ…เขาถึงไม่เอายุบสภาไงครับ คงกลัวพวกท่านกลับมายกมือตะบี้ตะบันอีก)<br />
<br />
ที่เขียนมายืดยาวในบทนี้ เป็นเหตุผลอธิบายว่า ทำไมคนกลุ่มใหญ่จึงชื่นชมสิ่งที่เรียกว่า<b> “ระบอบทักษิณ” </b>
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องโง่อะไร ถ้าผมเกิดมาในนา
ไม่ได้โชคดีได้รับโอกาสเล่าเรียนในสถาบันชั้นดี (วชิราวุธ-จุฬาฯ)
ไม่ได้โชคดีได้งานดี มั่งคั่งง่ายๆ
ผมย่อมชื่นชมกับคนที่หยิบยื่นโอกาสให้ผม คนที่พูดแล้วทำจริง
เอามาให้ผมได้รับจริง<b> ไม่เห็นแปลกอะไรที่ผมจะชื่นชมยกย่อง
โดยเฉพาะในสังคมที่แต่เดิมคนมีโอกาสเขาไม่เคยแบ่งเคยปัน
เอาแต่กอบโกยเสวยสุข แถมยังมีท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ไม่เคยเคารพ
“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ของคนยากไร้ ด้อยการศึกษา</b><br />
<br />
ถึงตอนนี้…อย่าเพิ่งตราหน้าผมว่าเป็น “พวกเสื้อแดง” นะครับ
(ความจริงหลายเรื่องผมก็เป็นเสื้อแดงอยู่นะ) ผมไม่ได้ชื่นชมระบอบ นโยบาย
วิธีคิด วิธีทำ ของรัฐบาลทักษิณสักเท่าไหร่ ทุกเรื่องมีต้นทุน มีผลกระทบ
มีข้อผิดพลาดรั่วไหล และแม้แต่ทำไปนานๆ แล้วสามารถบิดเบือนไปได้แม้จากเจตนา
จากเป้าประสงค์ดั้งเดิม<br />
<br />
ตอนหน้า จะมาวิเคราะห์ถึงข้อเสีย ผลกระทบ ตลอดจนปัญหาของสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” <br />
หวังลมๆ แล้งๆ ว่าบทความนี้อาจเป็นประโยชน์บ้าง…แต่…ไม่รู้ว่าทันหรือเปล่า</div>
............................................................<br />
<br />
<br />
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;"><a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/1_31.html">"ข้อเสนอต่อประเทศไทย" (ตอนที่1) : ปูพื้นเรื่องปัญหา</a> </span></span></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;"><a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/3.html">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 3) : สภาพสังคม-เศรษฐกินที่เปลี้ยนไป๋</a>
</span></span></h3>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-42649237324954994332013-12-31T10:09:00.001+07:002013-12-31T12:10:02.694+07:00ข้อเสนอต่อประเทศไทย (ตอนที่1): ปูพื้นเรื่องปัญหา<h1 class="title">
<span style="font-size: small;"><a href="http://thaipublica.org/2013/12/banyongs-proposal-1/">ข้อเสนอต่อประเทศไทย (ตอนที่1): ปูพื้นเรื่องปัญหา</a></span><span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: x-small;"> </span></span></h1>
<h1 class="title">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: x-small;">ที่มา : ไทยพับลิก้า</span></span></h1>
<div class="pf-content">
<blockquote>
<i><span style="font-size: large;"><span style="color: blue;"><span style="font-size: small;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” โดย “บรรยง
พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเขียนเป็นซีรีส์ 7 ตอนในเฟซบุ๊ก
“Banyong Pongpanich”</span></span></span></i></blockquote>
<br />
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ผมได้รับเชิญให้ไปบันทึกเทปรายการ
“ทางออกประเทศไทย” ของสถานี ThaiPBS ซึ่งออกอากาศไปแล้วเมื่อวันที่ 4
ธันวาคม 2556<br />
<br />
กับคำถามว่า ในฐานะนักธุรกิจ ผมมีข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์อย่างไร
ผมต้องออกตัวว่า ขอพูดในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เพราะสิ่งที่จะพูด
นักธุรกิจเขาไม่พูดกัน เนื่องจากคนอาจจะไม่ชอบทั้งสองฝ่าย
แถมไม่มีประโยชน์กับผู้พูด เรียกว่า น่าจะขาดทุน ผิดวิสัยนักธุรกิจ<br />
<br />
แน่นอนครับ ผมคงไม่เก่งพอที่จะมีข้อเสนอแนะแบบเจ๋งๆ ทำแล้วแก้ปัญหาได้หมดในทันที แต่ผมมีแนวคิดบางอย่างอยากให้พิจารณากัน<br />
<br />
ก่อนอื่น ผมขอตั้งคำถามก่อนว่า <b>เรารู้หรือยังว่า พื้นฐานความแตกแยกใหญ่หลวงครั้งนี้คืออะไร มีพัฒนาการความเป็นมาอย่างไร </b><br />
<br />
ทำไมคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งหลายล้านคน ถึงลุกขึ้นมารวมตัวกัน
มุ่งมั่นต่อต้าน ประกาศก้อง “เราไม่เอาระบอบทักษิณ” ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่
(ตามการสังเกตของผม) ได้แก่ คนที่มีฐานะดี หรือค่อนข้างดี
มีการศึกษาตามระบบค่อนข้างสูง (หรืออย่างน้อยก็เข้าใจว่าตนการศึกษาสูง)
เป็นคนชั้นบนและชั้นกลางที่เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้ดี ถ้าเป็นนักวิชาการ
ก็เป็นประเภทอนุรักษนิยม
ถ้าเป็นข้าราชการก็เป็นพวกที่ไม่ได้รับการนับเข้าเป็นพวก
(จากผู้มีอำนาจปัจจุบัน) หรือถูกรังแก ถ้าเป็นนักธุรกิจ
ก็เป็นพวกที่ไม่ได้อาศัยอำนาจรัฐ หรือเข้าไม่ถึงอำนาจรัฐ<br />
<br />
แต่ขณะเดียวกัน อีกกลุ่มใหญ่ (ที่อาจมีมากกว่าด้วยซ้ำ)
กลับยกย่องเทิดทูน แทบจะสละชีพเพื่อปกป้อง ถือว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นตัวแทนของระบบประชาธิปไตยเลยทีเดียว พวกนี้มักเป็นคนรากหญ้า
คนที่ปกติมีโอกาสทางเศรษฐกิจน้อย ถ้าเป็นนักวิชาการก็มักเป็นพวกหัวก้าวหน้า
ไม่ชอบความเหลื่อมล้ำ เป็นนักประชาธิปไตย ถ้าเป็นนักการเมือง ข้าราชการ
หรือนักธุรกิจ ก็จะเป็นพวกที่ได้รับการนับเป็นพวกจากผู้มีอำนาจ
หรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากระบบ “พรรคพวกนิยม”<br />
<br />
ส่วนสาเหตุที่เห็นต่าง
หลายคนในกลุ่มแรกคงอยากตอบอย่างมั่นใจด้วยกำปั้นทุบดินเลยว่า ก็เพราะเงิน
เพราะโง่ เพราะโดนหลอกนะสิ ขณะที่กลุ่มหลัง ก็มองกลุ่มแรกว่า
เพราะผลประโยชน์ เพราะความได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม จึงพยายามรักษาสถานะ
“อำมาตย์” ไว้ มันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ประเทศจึงแยกเป็นสองเสี่ยง<br />
<br />
ผมไม่ใช่ปราชญ์ ไม่ใช่นักคิด ไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ ทั้งไม่ใช่นักวิชาการ
แต่จะขอเสนอทฤษฎีความเป็นมาของความขัดแย้งนี้
โดยจะใช้หลักเศรษฐศาสตร์นำการวิเคราะห์
เพื่อหวังว่าถ้ามีการนำไปวิเคราะห์วิจัยต่อ จนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างถาวรได้<br />
<br />
<div class="wp-caption aligncenter" id="attachment_62799" style="width: 630px;">
<a href="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/An-anti-government-protes-010Reuters.jpg" rel="lightbox"><img alt="ที่มาภาพ : Reuters" class="size-medium wp-image-62799" height="413" src="http://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/An-anti-government-protes-010Reuters-620x413.jpg" width="620" /></a><br />
<div class="wp-caption-text">
ที่มาภาพ : Reuters</div>
</div>
ผมขอมองย้อนหลังไป 13 ปี เมื่อต้นปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง
และ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
เพื่อดูพัฒนาการของความแตกแยก และพยายามเข้าใจคำว่า “ระบอบทักษิณ”<br />
<br />
ก่อนหน้านั้น ความแตกต่าง แตกแยก ย่อมมีอยู่บ้างแล้ว แต่อาจไม่ชัดเจน
ไม่เป็นรูปธรรม ไม่รุนแรงพอที่จะเป็นปัญหาใหญ่
ผมขอแบ่งกลุ่มประชาชนออกเป็นกลุ่มตามมิติ 3 ด้าน ดังนี้<br />
<br />
<b>1) มิติความเหลื่อมล้ำ คือกลุ่มที่มีรายได้และความมั่งคั่งสูง กับ กลุ่มยากจน</b>
ความจริงถ้าวัดตามความยากจน ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
คนไทยที่ยังอยู่ภายใต้นิยามยากจนตามสหประชาชาติลดลงอย่างมาก จากกว่าร้อยละ
42 เหลือเพียงร้อยละ 9.6 แต่ด้านความเหลื่อมล้ำ ที่วัดจากค่าสัมประสิทธิ์
Gini ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ความเหลื่อมล้ำที่วัดจากรายได้ของคน
ที่รวยร้อยละ 20 บนสุด กับ ร้อยละ 20 ล่างสุด แตกต่างกันถึง 13 เท่า
คนร้อยละ 1 แรก มีรายได้ถึง 13% ของรายได้ทั้งหมด
ตัวเลขเหล่านี้แสดงความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ถึงแม้จะคงที่ หรือไม่เลวลง
แต่เมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ แล้วทำให้เกิดปัญหา
ดังผมจะวิเคราะห์ต่อไป<br />
<br />
<b>2) มิติด้านถิ่นที่อยู่ (Urbanization) </b>ถ้าสังเกตทั่ว
ประเทศ จะเห็นการขยายตัวและการอพยพเข้าสู่เขตเมืองอย่างมากในทุกๆ
จังหวัดทั่วประเทศ ตามลักษณะเศรษฐกิจที่ปรับตัวจากเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม
การพาณิชย์ และบริการ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540
เรามีแรงงานภาคเกษตรอยู่ 14.5 ล้านคนจาก 30 ล้านคน คิดเป็นเกือบครึ่ง
แต่ปัจจุบันเราก็ยังคงมี 14.5 ล้านคน จาก 39 ล้านคน ลดลงเหลือแค่ 37%
แถมอายุเฉลี่ยเกษตรกรเพิ่มจาก 42 ปี เป็น 50 ปี ใน 16 ปี ซึ่งหมายถึงว่า
คนรุ่นใหม่แทบไม่ได้เป็นเกษตรกรเลย เข้าไปเรียนในเมืองแล้วไม่ยอมกลับชนบท
กลายเป็นแรงงานไร้ทักษะ หรือทำงานอิสระนอกระบบอยู่ในเมือง<br />
<br />
<b>3) มิติที่สาม คือ มิติด้านการศึกษา</b> ในประเทศเรา
ความเหลื่อมล้ำในด้านโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในคุณภาพใกล้เคียงกันมีสูงมาก
มานานแล้ว จริงอยู่ คนได้รับการศึกษาเป็นจำนวนมากขึ้น
อัตราการอ่านออกเขียนได้ (literacy rate) เราสูงถึง 92.6%
แต่คุณภาพเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราก็รู้ว่าระบบการศึกษาของเราค่อนข้างล้มเหลว
ไม่ตอบโจทย์ เคยมีคนพูดว่า “ในแง่การปกครอง คนได้รับการศึกษาบ้าง
สร้างปัญหามากกว่าคนไร้การศึกษา”<br />
<br />
ถึงตอนนี้ พอผมแยกคนออกเป็น 3 มิติ มิติละ 2 กลุ่ม ก็คงพอจะมองออกนะครับ
ว่าคู่กรณีของเราปัจจุบันนั้น “ไผเป็นไผ” พวกไหนใส่เสื้อสีอะไร
ความจริงนั้น
ความแตกแยกเริ่มต้นเกิดจากวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้ว
และเป็นกระบวนการวิวัฒนาการธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกแห่งตลอดเวลา มี
“ทักษิณหรือไม่มีทักษิณ” ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
ตามกระบวนการเวทีต่อรองที่จะเกิดขึ้น<br />
แล้ว “ระบอบทักษิณ” คืออะไร มาเกี่ยวข้องกับมิติเหล่านี้ได้อย่างไร
ก่อให้เกิดความแตกแยกได้อย่างไร อะไรเป็นผลงาน อะไรเป็นข้อผิดพลาด
แล้วเราควรจะปรับ จะรับ จะเดินหน้ากันต่ออย่างไร ไม่ให้เกิดระเบิด
เกิดสงครามกลางเมือง เกิดหลายทศวรรษที่หายไปของประเทศ<br />
<br />
ผมคงต้องขอยกยอดไปต่อตอนที่ 2 วันนี้คงขอแค่ฉายหนังตัวอย่างไปก่อน เรื่องอย่างนี้ต้องว่ากันอย่างละเอียด<br />
<br />
..............................................................</div>
<h1 class="title">
</h1>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<a href="http://deangchiangmai.blogspot.com/2013/12/2.html"><span style="font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">“ข้อเสนอต่อประเทศไทย” (ตอนที่ 2) : ขวัญใจรากหญ้า</span></span></a></h3>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-52456554670256910712013-12-30T20:35:00.001+07:002013-12-30T20:35:46.030+07:00การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย สงครามปฏิวัติ ตอนที่ ๒<span style="font-size: 22px;">อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก กระผมเป็นเพียงผู้ส่งสารมายังพี่น้องคนไทยที่เห็นว่าประชาชนมีค่าที่สุด ในประเทศนี้ เท่านั้น<br />
<br />
ผู้เขียนที่แท้จริง ท่านกรุณาให้ผมนำมาลงให้พี่น้องได้อ่านทบทวนกัน
เพื่อเป็นแนวทางการต่อสู้ที่แท้จริงต่อไป
ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ถึงแนวทางที่ท่านผู้เขียนได้เรียบเรียงเอาไว้ <br />
เรา ท่าน จะอ่านเพื่อศึกษา อ่านเพื่อรู้ทันคน อ่านเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ ทุกอย่างเกิดประโยชน์ทั้งนั้นครับ<br />
ขอเพียงท่านได้อ่านแค่นั้นเองก็พอครับ <br />
ไม่ว่ากันถ้าท่านอาจจะไม่เห็นด้วย<br />
ไม่ว่ากันถ้าท่านคิดว่ามันไม่มีประโยชน์<br />
ไม่ว่ากันถ้าท่านคิดว่าข้อเขียนชั้นนี้ โบราณคร่ำครึ ไม่ทันสมัยกับเหตุการณ์<br />
เพราะเราอยู่ในโลกของประชาธิปไตย ที่ "ความเห็นต่างคือความงดงาม"<br />
<br />
กระผม ต้องกราบขอบพระคุณท่านผู้เขียนไว้ณ.ที่นี้ด้วย ครับ<br /><br />...........................................<br /></span><br />ประมวล วงษ์พันธ์<br />
<br />
<b>ตอนที่ ๒</b><br />
<br />
<b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย</b><br />
<br />
<b>สงครามปฏิวัติ</b><br />
<br />
ก่อนอื่นต้องมีความเข้าใจก่อนว่า “สงคราม” ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ หมายถึง
“สงครามปฏิวัติ” และเป็นสงครามแห่ง “การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย” หรือ
“การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน” เท่านั้น
ที่จะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไข ๓ ประการคือ<br />
<br />
(๑) หลังจากการต่อสู้แบบสันติวิธีของประชาชน ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากพวกเผด็จการทำการกวาดล้างทำลายขบวนการประชาชนอย่างรุนแรง
จนองค์การนำของฝ่ายประชาชนที่มีมาแต่เดิมก็ถูกทำลายลงสิ้น<br />
<br />
(๒) เกิดองค์การนำที่ปฏิวัติขึ้นมา และ<br />
<br />
(๓)ในทางสากล ประเทศจักรพรรดินิยมก่อสงครามเย็นครั้งใหม่สำแดงอิทธิพลโดยตรงเข้ามาแทรกแซง สนับสนุนพวกเผด็จการในประเทศไทย<br />
<br />
ปัจจุบันเงื่อนไข ๓ ประการนี้ยังไม่มี แม้ว่าในเงื่อนไขประการที่ ๑
ฝ่ายเผด็จการจะได้ทำการปราบปรามฝ่ายประชาชนไปแล้วขั้นหนึ่งแต่ด้วยข้อจำกัด
ภายในของตัวพวกเขาเองและแรงกดดันจากภายนอก
มันจึงไม่อาจทำการปราบปรามประชาชนรุนแรงต่อไปได้
แม้ว่าพวกเขาต้องการจะทำเช่นนั้นก็ตาม ในประการที่ ๒
องค์การนำที่ปฏิวัติก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้น ส่วนในประการที่ ๓
เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในโลกตะวันตก
จักรพรรดินิยมไม่อยู่ในฐานะที่จะก่อสงครามใหญ่ขึ้นอีกได้
แม้ว่าจะประกาศจะย้ายจุดเน้นยุทธศาสตร์จากย่านอ่าวเปอร์เซีย
มาเป็นย่านเอเชีย-แปซิฟิกก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีการปฏิบัติใด ๆ
ที่เป็นจริงออกมาอย่างชัดเจน
การประกาศเคลื่อนย้ายยุทธศาสตร์ดังกล่าวจึงเป็นแค่ข้ออ้างที่จะปลดภาระที่
ต้องแบกทั้งโลกเอาไว้บนบ่ามาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ เท่านั้นเอง
กรณีพิพาท<i>เกาะขวังเหยียน</i>ระหว่างฟิลิปปินส์กับจีน เป็นการพิสูจน์ศักยภาพและความตั้งใจแท้จริงของสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
<b>การปฏิวัติ</b><br />
<br />
จะไม่อธิบายให้มากมายเกี่ยวกับคำว่า “ปฏิวัติ”
ผู้สนใจต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง ปรัชญาวิทยาศาสตร์
(ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ) และทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม ถ้าไม่มีพื้นฐานใน ๒
เรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเข้าใจของผู้อ่านเรื่องวิวัฒนาการสังคม
ที่มี “พลังการผลิต” และ “ความสัมพันธ์ทางการผลิต” เป็นตัวผลักดัน
ให้สังคมก้าวหน้าไป ตามขั้นการพัฒนาสังคมยุคต่าง ๆ (สังคมชุมชนบุพกาล
สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุน และสังคมชุมชน)
การเปลี่ยนแปลงจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
ที่รุนแรง ก็คือ “การปฏิวัติ” จากนั้นผู้ศึกษาจึงจะทำความเข้าใจถึง
กลไกที่มนุษย์ทำการกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบมนุษย์ด้วยกันเองว่ามันเป็น
อย่างไร การกระทำขิงกลไกนี้ก็คือ
มูลเหตุเพียงประการเดียวของการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีกว่าเดิม
โดยการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการผลิต (เปลี่ยนระบอบอำนาจรัฐ–
จากรวมศูนย์ไปสู่กระจาย, จากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย)
และปลดปล่อยพลังการผลิต
(เพิ่มความสามารถทางการผลิตและกระจายโภคทรัพย์ของสังคมที่เกิดขึ้นให้ทั่ว
ถึง) การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใดที่ไม่ได้มาจากมูลเหตุนี้
ล้วนแล้วแต่ไม่อาจเรียกว่าเป็นการปฏิวัติได้ทั้งนั้น<br />
<br />
<b>การปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีลักษณะ
เป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างอย่างฉับพลัน รุนแรง แบบ
โค่นเก่าแล้วสร้างใหม่ขึ้นมาแทนทั้งหมด .....</b>
ในที่นี้จะไม่อธิบายให้ยืดยาวไปกว่านี้
ซึ่งผู้ศึกษาจะต้องไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันเอง
และต่อไปนี้ผู้เขียนจะอนุมานว่า ผู้อ่านน่าจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว<br />
<br />
<b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย </b><br />
<br />
อย่าเพิ่งตกใจกับคำว่า “การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย” เป็นคำเดียวกับที่
สนธิ ลิ้มทองกุล พธม. ประกาศออกมา เมื่อไม่นานมานี้
แต่ก็ชี้ให้เห็นชัดว่านายสนธิ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในคำนี้แต่อย่างใด
เพียงแต่ใช้คำพูดให้ดูขลังไปเท่านั้น<br />
<br />
<b>“การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย”</b> มีความหมายตรงตัว ก็คือ<br />
<br />
<b>“การปฏิวัติประชาชาติ”</b> หมายถึง การปลดแอกประเทศจากการครอบงำครอบครองของต่างชาติ และ <b>“การปฏิวัติประชาธิปไตย” </b>หมายถึง การปฏิวัติโค่นล้มระบอบเผด็จการ (ระบอบอำนาจรวมศูนย์) และสร้างระบอบประชาธิปไตย (อำนาจกระจาย) ขึ้นมา<br />
<br />
<b>“การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย”</b>
เป็นการปฏิวัติของประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย
ที่เกิดขึ้นในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา
เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการอิสระทุกชนิด เช่น
ผู้ผลิตขนาดกลางขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ค้า แรงงานรับจ้างอิสระ แท็กซี่
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ
เพื่อปลดแอกการกดขี่ขูดรีดของพวกศักดินานิยมและทุนนิยมขุนนาง
ที่ทำมาหากินขูดรีดจากชนชั้นนายทุนน้อยและนายทุนชาติ ผ่าน ค่าเช่า ดอกเบี้ย
และตลาดผูกขาด ดังนั้นในการปฏิวัตินี้ ชาวนา และกรรมกรจึงมีส่วนร่วมน้อย
เช่นเดียวกับการปฏิวัติอเมริกา การปฏิวัติฝรั่งเศส หรือ การปฏิวัติซินไห้
ของจีน เป็นต้น<br />
<br />
ชาวนา แม้จะเป็นชนชั้นที่อยู่ตรงข้ามกับศักดินา
แต่ก็เป็นสวยหนึ่งชองระบอบศักดินานิยม
ชาวนาจึงมีวิธีคิดและค่านิยมเช่นเดียวกับพวกศักดินา
คือยึดมั่นอยู่กับปัจจัยการผลิตดั้งเดิมของพวกตน นั่นคือ “ที่ดิน”
“ที่ทำกิน” และด้วยวิธีคิดและระบบคุณค่าศักดินา
ที่ตัดสินใจผลิตตามประเพณีและฝากความสำเร็จของการผลิตไว้กับความเมตตากรุณา
จากเทพเจ้าและฟ้ากับฝนโดยไม่สนใจเรื่องต้นทุนการผลิต
ชาวนาจึงต้องล้มละลายลง จากความล้มเหลวในวิถีการผลิตแบบทุนนิยม
ที่ยึดถือวิธีคิด “ต้นทุน-กำไร” ซึ่งนายทุนจะตัดสินใจผลิตตามต้นทุน
และภาวะตลาด<br />
<br />
ส่วนกรรมกรในระบอบทุนนิยมขุนนาง
ไม่มีอิสระและความสามารถในการรวมกำลังกันถูกจำกัดลง
กำลังของพวกเขาถูกแยกสลายอยู่ตลอดเวลา
บางส่วนก็ยังถูกพวกอำมาตย์นำมาใช้สนับสนุนฐานอำนาจของตน นอกจากนี้
กรรมกรส่วนนี้แม้ว่าจะเป็นชนชั้นร่วมกับนายทุนในระบอบทุนนิยมก็ไม่เห็น
ประโยชน์อะไรที่จะได้รับจากการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน
เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายปฏิวัติจะสามารถมีข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเรียกร้อง
ต้องการของพวกเขา<br />
<br />
สำหรับประเทศไทยนั้นเข้าสู่ <b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย </b>หรือการ
ปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕
หลังจากนั้น การนำของการปฏิวัติ โลเล แยกมิตรแยกศัตรูไม่ออก
ประกอบกับซากเดนลัทธิศักดินานิยมยังคงมีอิทธิพลสูง ปรีดี ผู้นำการปฏิวัติ
ก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับ ทักษิณในปัจจุบัน
จนกระแสสูงของการปฏิวัตินี้ต้องตกลงไป
และพวกศักดินาได้กลับฟื้นขึ้นมามีอำนาจอีกตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ จนกระทั่งปี
พ.ศ. ๒๕๑๖ การปฏิวัติก็มีกระแสสูงขึ้นอีก จนต้องถูกปราบปรามลงในอีก ๓
ปีต่อมา<br />
<br />
<b>พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย</b><br />
<br />
สำหรับบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มีส่วนร่วมในกระแส<b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย</b>มา
ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และปฏิบัติงานอย่างเงียบ ๆ
เรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อเกิดสงครามในอินโดจีนพคท.
จึงถูกผลักดันให้ดำเนินการต่อสู้ด้วยอาวุธ
ทั้งโดยการปราบปรามรุนแรงของรัฐบาลสฤษฏ์
และกระแสสากลต่อต้านจักรพรรดินิยมในอินโดจีน ทั้ง ๆ
ที่สภาพทางอัตวิสัยของตนเองก็ยังไม่พร้อมเต็มที่ จนแตกเสียงปืน
(รบครั้งแรก) ใน พ.ศ. ๒๕๐๘ สภาพเช่นนี้ทำให้ พคท.
ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกเป็นด้านหลักทั้งทางการเมืองและการทหาร
เมื่อสงครามในอินโดจีนสิ้นสุดลง การช่วยเหลือจากภายนอกจึงต้องยุติลง
ปัญหาความไม่พร้อมทางอัตวิสัยที่มีมาแต่เดิม
และการนำที่ถูกครอบงำโดยลัทธิฉวยโอกาสเอียงซ้ายที่หวังแต่การพึ่งพาจีนจึง
ส่งผลทำให้ พคท. ต้องยุติการปฏิบัติงานปฏิวัติลงไปในที่สุด
เหลือไว้แต่หลักความคิดและจิตใจที่คัดค้านต่อต้านระบอบสังคมแห่งการกดขี่ขูด
รีด ผู้มีส่วนร่วมกับ พคท.
ก็แปลงสภาพเข้าสู่ความเป็นจริงของกฎวิวัฒนาการสังคม
และธาตุแท้ทางชนชั้นของตน บ้างก็กลับไปเป็นชาวนา บ้างก็กลายไปเป็นศักดินา
หรืออำมาตย์ในยุคใหม่ บ้างก็กลับไปเป็นนายทุน
จึงไม่แปลกอะไรที่ตอนนี้จึงเกิดพวกคอมมิวนิสต์ ร.อ. ขึ้น
ซึ่งกลายเป็นเรื่องน่าตลกขบขันทางประวัติศาสตร์อับอายขายหน้าไปทั่วทั้งสากล
แต่ถึงอย่างไรเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
คนเหล่านี้ไม่เข้าใจหรือมีเจตนาจะไม่เข้าใจว่า
ระบอบที่กดขี่ขูดรีดและขัดขวางชาวไทยไม่ให้บรรลุการปลดปล่อยประชาธิปไตย
ก็ยังเป็น “ขุนเขาสามลูก” อยู่เหมือนเดิม อันได้แก่ จักรพรรดินิยม
ศักดินานิยม และทุนนิยมขุนนาง
เพียงแต่รูปแบบของมันได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามยุคสมัย
แต่เนื้อแท้ของมันก็ยังคงเหมือนเดิม<br />
<br />
คำกล่าวที่ว่า “ทุนสามานย์” แท้จริงแล้ว
ทุนนิยมทุกชนิดต่างก็สามานย์ทั้งสิ้นเพราะมันล้วนแล้วแต่ขูดรีดทั้งนั้น
จะต่างกันก็ตรงที่อันไหนมันขูดรีดหนักหน่วงกว่ากันเท่านั้น
ในบรรดาทุนนิยมทั้งหลาย ทุนจักรพรรดินิยม และทุนนิยมขุนนาง
หรือทุนผูกขาดนั้นขูดรีดที่สุด หากการขูดรีดเป็นความสามานย์แล้ว
ทุนนิยมขุนนางหรือทุนนิยมผูกขาดก็สามานย์ที่สุด ไม่ใช่ทุนนิยมแข่งขันเสรี
ไม่ต้องกล่าวถึง ศักดินานิยมที่กดขี่ขูดรีดทารุณยิ่งกว่า ทุนนิยมใด ๆ มาก
เมื่อรวมกันเข้าทั้งจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และทุนนิยมขุนนาง
จึงเป็นสุดยอดของความสามานย์ เลยไม่เข้าใจว่า
จะมีคอมมิวนิสต์ที่ไหนในโลกจะไปยืนอยู่ข้างและพิทักษ์ปกป้อง
ศัตรูร้ายทางชนชั้นเหล่านี้ได้อย่างไร
โดยไม่กลัวว่ากงล้อประวัติศาสตร์จะบดทับเอาเข้าสักวันเว้นแต่มันจะเป็น
คอมมิวนิสต์ปลอม
ที่แผงตัวอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเป็นเวลายาวนาน
หรือไม่ก็เป็นผู้ทรยศต่อเจตจำนงของวีรชนปฏิวัติทั้งหลายที่ได้เสียสละไปใน
สงครามโค่นล้มระบอบเผด็จการกดขี่ขูดรีด<br />
<br />
แม้แต่ประเทศจีน
แม้ได้ผ่านการปฏิวัติประชาชนที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาแล้ว
ก็ยังไม่อาจก้าวพ้นกฎวิวัฒนาการสังคม
ต้องหันมาปฏิรูปปลดปล่อยพลังการผลิตโดยการคลีคลายปัญหาความสัมพันธ์ทางการ
ผลิต ขจัดซากเดนศักดินาและปฏิกิริยาในพรรค ได้แก่ ลัทธิการรวมศูนย์
ลัทธิบูชาบุคคล ลัทธิคัมภีร์ ลัทธิจิตนิยม ลัทธิเอียงซ้าย
ลัทธิฉวยโอกาสรูปแบบต่าง ๆและต้องแก้ปัญหาสำคัญทางทฤษฎี ที่ว่า “<b>สังคมนิยมไม่ใช่ความยากจน แต่เป็นความมั่งคั่ง</b>” และความคิดว่าด้วยเรื่องตลาด โดยชี้ว่า <b>“</b> “<b>แท้จริงแล้วตัว <i>ตลาด</i>
เองนั้นเป็นกลไกทางเศรษฐกิจ
ในการแลกเปลี่ยนโภคทรัพย์ของสังคมมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล
ตัวของมันเองไม่ใช่เครื่องมือของการขูดรีด
แต่การขูดรีดเกิดขึ้นจากการใช้เล่ห์กระเท่ของนายทุนทำการขูดรีดโดยการเข้าไป
ควบคุมดัดแปลง อุปาทาน และอุปสงค์ธรรมชาติในตลาดผ่านระบบมูลค่าแลกเปลี่ยน</b>”<i>โดยลัทธิมาร์กซชี้ว่า<b>เครื่องมือของการกดขี่ขูดรีดก็คือ ระบอบกรรมสิทธิ์</b>
ซึ่งหมายถึงการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตหลักของสังคม
ระบอบกรรมสิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นเอกชน หรือ สาธารณะ
ก็ล้วนแล้วแต่ขูดรีดเอาแรงงานส่วนเกินของผู้ผลิตไปทั้งสิ้น
แต่ระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะ มีความโน้มเอียงขูดรีดน้อยกว่า
ระบอบกรรมสิทธิ์เอกชน แม้ว่าจะสถาปนาระบอบสังคมนิยมขึ้นมาแล้ว
ระบอบกรรมสิทธิ์ก็ยังดำรงอยู่ทั้ง ๒ ด้าน คือ
ระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนและสาธารณะ
แต่ในระบอบสังคมนิยมมีระบอบกรรมสาธารณะเป็นด้านหลัก
ทั้งนี้เนื่องมาจากความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาสนอง
ต่อพลังการผลิตที่ยังไม่ก้าวหน้าพอ
จนกระทั่งพลังการผลิตชองมนุษยชาติพัฒนาไปถึงจุด “ทุกคนได้รับตามต้องการ”
แล้ว เมื่อนั้นความจำเป็นของระบอบกรรมสิทธิ์ก็จะหมดไป
การขูดรีดก็จะหมดไปด้วย
นั่นหมายถึงการสิ้นสุดลงของรัฐและสังคมมนุษย์ก็จะก้าวสาสังคมคอมมิวนิสม์</i>ข้อ
สรุปนี้เป็นการแก้ปัญหาสำคัญทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซ-เลนินโดยรากฐาน
เปิดทางให้กับ “เศรษฐกิจแบบตลาด” ขึ้น ประเทศจีนจึงสามารถดำเนินการปฏิรูป
แก้ปมเงื่อนในระบอบความสัมพันธ์ทางการผลิต
และปลดปล่อยพลังการผลิตทุนนิยมออกมาได้
เกิดการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจของจีนอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนในโลก
<br /><br />ดังนั้นไม่ใช่แต่ระบอบทุนนิยมนั้นขูดรีด
ในระบอบสังคมนิยมอันเป็นบั้นปลายของระบอบทุนนิยม การขูดรีดก็ยังมีอยู่
ใครที่เห็นว่า ทุนนิยม นั้นขูดรีด ก็ต้องรู้ว่า ทุนนิยมมันขูดรีดอย่างไร
สรรพสิ่งล้วนมี ๒ ด้านตามกฎวิภาษวิธี
ทุนนิยมใช่ว่าจะขูดรีดโดยความสัมพันธ์ทางการผลิตเพียงด้านเดียว
ในอีกด้านหนึ่ง ทุนนิยม ก็ได้ปลดปล่อยพลังการผลิตให้เป็นอุตสาหกรรม
ที่ก้าวหน้า สามารถแบ่งสรรกระจายโภคทรัพย์ของสังคมได้ดีกว่า มากกว่า
และกวางขวางกว่าพลังการผลิตเกษตรกรรมของศักดินานิยม
ระบอบสังคมนิยมไม่ใช่ความแปลกแยกออกไปต่างหาก
แต่เป็นพัฒนาการด้านหนึ่งของลัทธิทุนนิยม
ในอีกทางหนึ่งทุนนิยมที่เน้นระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนเป็นด้านหลัก
ก็จะพัฒนาไปเป็น จักรพรรดินิยม ดังนั้น สังคมนิยม และ จักรพรรดินิยม
จึ่งเป็นทางแยก ๒
ทางของพัฒนาการสุดท้ายของระบอบทุนนิยมซึ่งมีปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่ ลักษณะทั้ง
๒ ด้านของระบอบกรรมสิทธิ์หลักของสังคมนั้น ๆ<br />
<br />
มีคนที่อ้างว่าตนเองเป็น นักลัทธิมาร์กซจำนวนหนึ่ง ไม่ใช้วิภาษวิธี
แต่กลับไปใช้อภิปรัชญา มอง ทุนนิยม เห็นแต่ด้านร้ายด้านเดียว
ไม่เห็นด้านที่เป็นคุณ
นักลัทธิมาร์กซพวกนี้ความจริงแล้วจึงกลายเป็นนักลัทธิอนาธิปไตยไป
อันด้วยมาจาก ทรรศนะอภิปรัชญา จิตนิยมของพวกเขานั่นเองพวกเขาแยก สังคมนิยม
ออกมาจาก ทุนนิยม และปฏิเสธระบอบกรรมสิทธิ์เอกชน ความจริงแล้ว
ภายในระบอบกรรมสิทธิ์ ประกอบด้วย ๒ ด้านที่ตรงกันข้ามกัน คือ เอกชน
และสาธารณะ กล่าวคือ กรรมสิทธิ์ของปัจเจกชน กับ กรรมสิทธิ์ของรัฐ
ตามปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษระบอบกรรมสิทธ์นี้จะดำรงอยู่โดด ๆ ไม่ได้
โดยมีปัจจัยภายในอันเดียว ต้องมีองค์ประกอบภายในเป็น ๒
ด้านที่ตรงกันข้ามกันเสมอ
แต่ว่ามันจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าอะไรเป็นด้านหลักของความขัดแย้งใน
เวลานั้น โดยจะไม่มีอีกด้านดำรงอยู่ด้วยไม่ได้<br />
<br />
อย่างไรก็ตามความเข้าใจผิดเช่นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทย
แต่เกิดขึ้นทั่วโลก
ทรรศนะผิดพลาดเช่นนี้นำไปสู่ความล้มเหลวของระบอบสังคมนิยมดั้งเดิม รวมไปถึง
การล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยเชื่อไปว่า ไม่มีระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนแล้ว
ก็จะกลายเป็นสังคมนิยม แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า
ระบอบกรรมสิทธิ์ด้านเดียวกลายเป็นอุปสรรคของการกระจายโภคทรัพย์แห่งสังคมให้
ทั่วถึง และไม่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาพลังการผลิตที่ล้ำเลิศของสังคมนิยม
รัฐทำการขูดรีดแรงงานส่วนเกินของประชาชนไป
สนองความต้องการของชนชันปกครองเป็นพิเศษ สร้างกองทัพ และก่อสงคราม
ไม่สิ้นสุด<br />
<br />
สรุปว่า ณ ระยะประวัติศาสตร์ตอนนี้
ประเทศไทยก็กำลังอยู่ในกระบวนการและกระแสปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน
ตราบจนกระทั่งซากเดนลัทธิศักดินานิยมจะต้องถูกขจัดออกไป
การปฏิวัติจึงจะบรรลุเป้าหมาย
ที่กล่าวมาการปฏิวัติที่เกิดขึ้นบนโลกมิได้เกิดขึ้นจากเจตจำนงเฉพาะของคน
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นเจตจำนงร่วมของสังคมแต่ละสังคม
และเจตจำนงเฉพาะของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นไปสอดคล้องกับเจตจำนงใหญ่ของ
สังคมนั่นเอง ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างจิตนิยมอีกอย่างหนึ่งว่า
“การปฏิวัติเป็นเจตจำนงของสวรรค์” โดยแท้จริง <b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยไทย</b> ก็เป็นอย่างนี้<br />
<br />
<b>อำมาตยาธิปไตย</b><br />
<br />
คำว่าระบอบ “อำมาตยาธิปไตย” (ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้นำเสนอคำนี้คนแรก คือ คุณ<i>บั๊กบันนี่ </i>ใน<i>เว็บฟ้าใหม่</i>
ซึ่งปัจจุบันถูกปิดไปแล้ว) เป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน
๒๕๔๙ เป็นคำที่สรุปหมายถึง ซากเดนลัทธิศักดินานิยม ร่วมไปกับทุนนิยมขุนนาง
(กลุ่มทุนศักดินาที่แปลงมาเป็นทุนผูกขาด) คำว่า “กึ่งศักดินา”
จึงมีความหมาย ในทางรูปธรรมที่ “ศักดินานิยม” พัฒนาไปเป็น “ทุนนิยมขุนนาง”
คำว่า “ซากเดนศักดินานิยม” หมายถึงสภาพทางนามธรรม ของระบอบศักดินา
ได้แก่ระบบคุณค่า ระบบวิธีคิดความเชื่อ วิถีการดำรงชีวิตแบบเกษตรกรรม และ
วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนายฯลฯ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ การยึดติดกับ “<b>ที่ดิน</b>”
การทำไรทำนา การพออยู่พอกิน ความเชื่อเรื่องบุญกรรม การเวียนว่ายตายเกิด
ภพนี้ชาติหน้า เชื่อไสยศาสตร์ปฏิเสธวิทยาศาสตร์เชิดชู“คุณธรรม”มากกว่า
“ความสามารถ” นับถือลำดับชั้นทางสังคม ติดระบบอุปถัมภ์ ชื่นชม
“ศักดินานิยม”รังเกียจเกลียดชัง “ทุนนิยม” เนื่องจาก ระบอบทุนนิยม
เป็นศัตรูตามธรรมชาติที่โค่นทำลายศักดินานิยมพวกศักดินาอำมาตย์จึงสามารถ
ประสานเสียงร่วมพวกฝ่ายซ้ายเดิมบางส่วนที่เป็นพวก “ศักดินาแดง”
ซึ่งพวกเขายึดติดจุดยืนและวิธีคิดชาวนาไม่ยอมรับความผิดพลาดเอียงซ้ายของพวก
เขาที่นำไปสู่การสลายลงของ
พคท.แล้วยังหลงไปสามัคคีกับศักดินาศัตรูทางชนชั้นที่แท้จริงของตนอย่างไม่
รู้สึกตะขิดตะขวงใจ อันนี้ชี้ชัดถึงธาตุแท้ทางชนชั้นของพวกเขาถ้าไม่เป็น
“ชาวนา” ก็ย่อมต้องเป็น “ศักดินา”<br />
<br />
ชาวนา กับ ศักดินา เป็นชนชั้นตรงกันข้ามกันในระบอบศักดินา ทั้ง ๒ ชนชั้น
ร่วมกันในการผลิตแต่ขัดกันในการแบ่งผลผลิต
เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ทั้งคู่จึงมีทรรศนะและระบบคุณค่าแบบเดียวกัน
ทั้งคู่จึงต่างเกลียดชัง “นายทุน” และรังเกียจ “กรรมกร”
ซึ่งเป็นชนชั้นตรงข้ามกันในระบอบทุนนิยม ทั้ง ๒ ชนชั้น
ร่วมกันในการผลิตแต่ขัดกันในการแบ่งผลผลิต
ทั้งคู่จึงมีทรรศนะและระบบคุณค่าเดียวกัน นายทุนมุ่งหากำไร ส่วนกรรมกร
มุ่งหาประสิทธิภาพ (เพื่อให้ตนเองเหนื่อยน้อยลง และนายทุนก็มีกำไรเพิ่ม)
ในระบอบศักดินาที่มีพลังการผลิตแบบเกษตรกรรม ชนชั้นนายทุน
เป็นชนชั้นที่อยู่ นอกความสัมพันธ์ทางการผลิตหลัก ส่วนกรรมกร ก็คือ
ชาวนาที่ล้มละลาย สิ้นสภาพเป็นเลกไพร่ สิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีพระยาเลี้ยง
ต้องไปหันรับใช้นายทุน
การมุ่งหากำไรและประสิทธิภาพนี้จึงเป็นตัวขับดันให้มีการพัฒนาพลังการผลิต
ทุนนิยม ซึ่งก็คือ การผลิตแบบอุตสาหกรรมนั่นเอง <br />
<br />
สำหรับผู้เขียนและผู้อ่านจำนวนมาก ก็มีธาตุแท้ทางชนชั้นดั้งเดิมของตนเอง
ร่วมกับ ยอร์จวอชิงตัน,โธมัสเจฟเฟอร์สัน,
เบนจามินแฟรงคลิน,แม๊กซิมิเลียนโรบสเปียร์,คาร์ล มาร์กซ, เฟรดริก
เองเกลส์,วี.ไอ. เลนิน, เหมาเจ๋อตง,โจวเอินไหล,ฟิเดลคาสโตร, ปรีดี พนมยง,
ทักษิณ ชินวัตร ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่กำเนิดในชนชั้นนายทุนทั้งสิ้น
ดังนั้นโดยพื้นฐานจึงเป็นศัตรูกับชนชั้นศักดินา
แรงขับทางการเมืองพื้นฐานจึงเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นของเราเอง
ส่วนในภายหลังทรรศนะทางชนชั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพกรรมสิทธิ์
(ผลประโยชน์) ที่แต่ละคนมีอยู่จริง ณ ขณะนั้น ๆ
บางคนก็อาจจะกลายไปเป็นศักดินา บางคนก็อาจจะดำรงการเป็นนายทุน
หรือบางคนก็อาจกลายเป็นกรรมาชีพ มีคนเป็นจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่า กรรมกร
กับ กรรมาชีพ เป็นชนชั้นเดียวกัน แต่ที่จริงนั้นไม่ใช่ ชนชั้นกรรมาชีพ
เป็นชนชั้นที่ ๓ ในระบอบทุนนิยม เช่นเดียวกับที่ ชนชั้นศักดินา
ก็เป็นชนชั้นที่ ๓ ในระบอบทาส <i>คาร์ล มาร์กซ</i> จึงใช้ คำว่า
Proletariat ไม่ใช่ labourerแต่ทั้งสองก็เป็นคนงานเหมือนกัน จึงใช้คำรวม ๆ
ว่า worker (proletariat เป็นคนงานที่ใช้ สติปัญญาและเทคโนโลยี
เป็นเครื่องในการผลิตเป็นหลัก ส่วน
labourerเป็นคนงานที่ใช้แรงกายของตนเป็นเครื่องมือในการผลิตเป็นหลัก
proletariat โดยตรงตัวแปลว่า ชนชั้นผู้ไร้สมบัติ แต่ <i>มาร์กซ</i>
ได้ให้นิยามเพิ่มว่าเป็นผู้ไร้สมบัติที่อยู่ในวิถีผลิตที่ก้าวหน้าที่สุดของ
สังคม (ทุนนิยม) ซึ่งนั่นก็คือ เทคโนโลยี นั่นเอง
เมื่อทำการผลิตด้วยเทคโนโลยีจึงต้องใช้สติปัญญาเป็นหลักแรงกายเป็นรอง<br />
<br />
<b>การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย</b>
เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนผ่านยุคทางสังคม จากยุคศักดินาไปสู่ยุคทุนนิยม หรือ
การเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม อย่างเต็มตัว
แต่การปฏิวัตินี้มีลักษณ์พิเศษ ตรงที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีลักษณะเรียกว่า
สังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา ดังนั้น<b>การปฏิวัติอเมริกา</b> (ค.ศ.๑๗๖๓
–๑๗๗๔) จึงเป็น “การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย”
ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก การปฏิวัตินี้นำโดยชนชั้นนายทุน
เรียกอีกอย่างว่า “เสรีสามัญชน”
ปลดแอกอำนาจปกครองเมืองขึ้นที่รวมศูนย์ของอังกฤษ
แล้วสร้างระบอบอำนาจรัฐแบบกระจาย ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”
ของชนชั้นนายทุน ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก การปฏิวัติอเมริกัน
สร้างแรงบันดาลใจกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของ
ฝรั่งเศสขึ้นมาในปี ค.ศ.๑๗๘๙
แต่คนไทยเราจะได้รับรู้เฉพาะเรื่องของการรบในสงครามปฏิวัติอเมริกาบางส่วน
บางสนามรบ และความโหดร้ายสยดสยองของการปฏิวัติฝรั่งเศส
เท่านั้นโดยจะรู้เกี่ยวกับปรัชญาแนวคิดจิตวิญญาณ
และบทเรียนของการปฏิวัตินี้น้อยมาก
มองไม่เห็นกระบวนการปฏิวัติทั้งกระบวนเนื่องจากถูกปิดกั้นบิดเบือนจากชนชั้น
ปกครองศักดินาไทยมาโดยตลอด<br />
<br />
ในที่นี้จะยังไม่กล่าวถึง “การปฏิวัติสังคมนิยม” ที่มีชนชั้นกรรมาชีพเป็นหัวหอก เนื่องจาก <b>ชน
ชั้นกรรมาชีพเป็นผลผลิตของสังคมทุนนิยม
ถ้าไม่มีสังคมทุนนิยมที่ก้าวหน้าแล้วก็ไม่มีวันที่จะมีชนชั้นกรรมมาชีพเกิด
ขึ้นไปขับเคลื่อนการปฏิวัติสังคมนิยม และปลดปล่อยสู่สังคมคอมมิวนิสม์ได้</b> และต้องเข้าใจก่อนว่า<b>สังคมนิยมเป็นพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบอบทุนนิยม</b> ที่มีเป้าหมายในการแบ่งปันโภคทรัพย์แห่งสังคมว่า<b>“ทุกคนได้รับตามความสามารถ”</b>
แต่ที่ยังไม่ไปสู่สังคมคอมมิวนิสม์ เนื่องจาก
ระบอบกรรมสิทธิ์ยังดำรงอยู่ในโลก
ตราบเท่าที่พลังการผลิตของมนุษย์ยังไม่สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้ใน
ระดับ<b>“ทุกคนได้รับตามต้องการ”</b>กระทั่งพลังการผลิตบรรลุสมรรถนะขั้นสูง
สุดนี้แล้ว ระบอบกรรมสิทธิ์ก็จะหมดความจำเป็นและสิ้นสลายไป
ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์โลกก็สิ้นสุดลง
และจะพัฒนาเป็นความขัดแย้งรูปแบบใหม่ ย้ายด้านหลักของความขัดแข้งระหว่าง
“มนุษย์กับมนุษย์” ไปสู่ความขัดแย้งระหว่าง
“มนุษย์กับธรรมชาติ”ผู้อ่านต้องลองไปค้นคว้าเรื่องวิวัฒนาการสังคม
และทำความเข้าใจว่าด้วย “ทุน”
<br /><br />
<div class="messageContent">
<article><b>ประเทศกึ่งเมืองขึ้น</b> </article><article> </article><article>ประเทศกึ่งเมืองขึ้น คือประเทศที่ดูเหมือนว่าเป็นประเทศที่มีอิสระ มีเอกราช
มีอธิปไตย และบูรณภาพเหนือดินแดนโดยสมบูรณ์
แต่แท้จริงแล้วถูกครอบงำโดยอิทธิพลของประเทศจักรพรรดินิยม
การดำเนินนโยบายทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร
และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ของชนชั้นปกครองของประเทศนั้นไม่ได้ขึ้นต่อสิทธิผลประโยชน์ของประชาชนของตน
เอง แต่ขึ้นต่อสิทธิผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจที่ตนฝีกใฝ่
โดยมหาอำนาจก็จะตอบแทนโดยการรับรองค้ำจุนผลประโยชน์และอำนาจการกดขี่ขูดรีด
ประชาชนของชนชั้นปกครองประเทศนั้นเป็นการตอบแทน </article><article> </article><article>ประเทศไทยเราดูเหมือนกับจะเป็นประเทศเอกราช
และดูเหมือนจะเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว
เรากลับเป็นประเทศที่ถูกครอบงำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา
หาเป็นประเทศที่มีเอกราชสมบูรณ์ไม่
กองทัพไทยแท้จริงแล้วไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐบาลไทย แต่ขึ้นตรงรัฐบาลสหรัฐฯ
ดังนั้นจึงต้องมีระบบการจัดกำลังและใช้อาวุธตามแบบของกองทัพสหรัฐฯ
ทุกประการ ทุก ๆ ปีต้องส่งนายทหารเสนาธิการไปฝึกอบรมที่สหรัฐฯ
เพื่อให้คุ้นเคยกับระบบบริหารจัดการของกองทัพสหรัฐฯ เหล่านี้เป็นต้น
เผื่อว่าถาจำเป็นกองทัพสหรัฐฯก็สามารถเข้าบังคับบัญชาโดยตรงได้ทันที
แต่ที่เลวร้ายกว่าก็คือ
ประชาชนไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูกองทัพที่เป็นของตนแต่ชื่อเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น กองกำลังผาเมือง เป็นหน่วยบัญชาการอิสระ (พิเศษ)
ที่อยู่ในกองทัพภาคที่ ๓
รัฐบาลไทยเป็นผู้จ่ายเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการทุกอย่างรวมทั้งอาวุธ
ยุทโธปกรณ์แก่กำลังพล
แต่ปฏิบัติการของทหารหน่วยนี้ซึ่งอ้างว่าเป็นปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดตาม
แนวชายแดนไทย-พม่า
แท้จริงแล้วเป็นปฏิบัติก่อกวนและหาข่าวเพื่อต่อต้านประเทศพม่าและจีน
ตามคำสั่งโดยตรงของซีไอเอ
ซึ่งกองทัพไทยและรัฐบาลไทยไม่มีอำนาจไปก้าวก่ายแทรกแซงแม้แต่ผู้บัญชาการ
ทหารบกไทยก็ยังต้องรายงานตรงต่อวอชิงตัน การรัฐประหารต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในไทยก็ต้องปรึกษาหารือและได้รับการเห็นชอบจากสหรัฐฯ
จึงจะประสบความสำเร็จนอกจากกองทัพแล้วก็ยังรวมไปถึงการต่างประเทศ
ที่จะต้องเดินตามแนวทางที่สหรัฐฯเห็นด้วย
เหล่านี้เป็นต้นอย่างนี้จะเรียกว่า
ไทยเป็นประเทศเอกราชได้อย่างไร?นอกจากจะมีสภาพเป็นประเทศกึ่งเมืองขึ้นเท่า
นั้น<b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>ประเทศกึ่งศักดินา</b> </article><article> </article><article>ประเทศไทยเราดูเหมือนกับจะเป็นประเทศประชาธิปไตย
แต่แท้จริงแล้วประชาชนหาได้มีอำนาจปกครองตนเอง
อำนาจรัฐที่แท้จริงกลับไปอยู่ในมือของชนชั้นสูง
ชนชั้นสูงเหล่านี้คือใครกัน? การที่จะนิยาม ชนชั้นสูงเหล่านี้
ไม่ใช่แต่เพียง ระบุว่า เป็นพวกหัวเก่านิยมระบบราชการ นิยมเจ้า ฯลฯ คำว่า
“อำมาตย์” ที่มีอยู่ทุกวันนี้ มีความเป็นมา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจพัฒนาการของสังคม เมื่อโลกก้าวเข้ามาสู่ศตวรรษที่ ๒๐
เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั่นคือ จุดอ้างอิงสุดท้ายของสังคมเกษตรกรรม
หรือสังคมศักดินา ของโลก (โลกตะวันตก) หลังจากนั้นก็เกิดการปฏิวัติรัสเซีย
การล่มสลายของราชวงศ์โฮเฮนโซเลิร์น(<a class="externalLink" href="http://www.answers.com/topic/zollern" rel="nofollow" target="_blank">Hohenzollern</a>) แห่งเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกาตัวแทนที่แท้จริงของระบอบทุนนิยมโลกก้าวขึ้นมามีบทบาทบนโลกเป็นครั้งแรก</article><article> </article><article>ในอีกด้านหนึ่ง สภาพประเทศกึ่งศักดินายังหมายถึง สภาพกึ่งทุนนิยม
ซึ่งหมายความว่า ระบบกรรมสิทธิ์ที่ดิน และทุน ดำรงอยู่ร่วมกัน “ที่ดิน”
ส่วนหนึ่งได้แปรสภาพเป็น “ทุน”
พวกเจ้าศักดินาและขุนนางดัดแปลงการทำหากินจาก “ค่าเช่า” เพียงอย่างเดียว
มาเป็น “ดอกเบี้ย” และ “ตลาดผูกขาด”
โดยให้พวกพ่อค้าใกล้ตัวเป็นผู้ไปหาประโยชน์แทน อย่างเช่น พวกนายอากร
ในยุคศักดินานั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้
เนื่องจากสภาพทางสากลบังคับให้พวกเขาต้องใช้ “เงินตรา”
เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนมาขึ้น
มิเช่นนั้นก็ต้องเอาที่ดินที่พวกเขาหวงแหนไปแลก และ “เงินตรา”
ยังมีความสามารถในการเพิ่มพูนจำนวนได้มากแทบไร้ขีดจำกัด
ซึ่งในทางตรงกันข้าม “ที่ดิน”
ที่ตัวของมันเองไม่สามารถเติบโตเพิ่มพูนขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม
แม้ที่ดินจะไม่สามารถขยายขนาดของตัวมันได้ แต่ระบบ “มูลค่าแลกเปลี่ยน”
ของทุนนิยมทำให้มูลค่าของที่ดินกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา
ส่วนนี้เองที่ทำให้พวกเจ้าศักดินาและนายทุนขุนนาง ยังคงรักษาระบบคุณค่าของ
“ที่ดิน” เอาไว้ สังคมที่มีระบอบกรรมสิทธิ์คู่ดำรงอยู่เช่นนี้เรียกว่า
สังคมกึ่งศักดินา<b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>ลัทธิชาตินิยม</b> </article><article> </article><article>หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซากเดนจิตสำนึกศักดินายุโรปยังไม่หมดสิ้นไป
ระบบคุณค่าเกี่ยวกับ “ที่ดิน” ยังดำรงอยู่และเปลี่ยนไปเป็น “ลัทธิชาตินิยม”
ลัทธิรวมศูนย์อย่าง สมบูรณาญาสิทธิราช เปลี่ยนไปเป็น “ลัทธิเผด็จการ”
เกิดการผสมผสานกันของ ลัทธิชาตินิยม กับ ลัทธิเผด็จการ เกิดเป็น
ลัทธิฟาสซิสม์ ลัทธินาซี และ ลัทธิบูชาจักรพรรดิญี่ปุ่น
ลัทธิชาตินิยมแบบเผด็จการนี้ก็คือ “ลัทธิคลั่งชาติ” ก่อให้เกิดสงครามรุกราน
ยึดครองดินแดน
ปล้นสะดมทรัพยากรและทำการกดขี่อย่างโหดร้ายทารุณต่อประชาชาติต่าง ๆ ทั่วโลก</article><article> </article>แต่ในอีกด้านหนึ่ง
ลัทธิชาตินิยมแบบคลั่งชาติที่ก่อการรุกรานไปยึดครองแผ่นดินชาติอื่น
และทำการกดชี่ทารุณแก่ประชาชาติใต้การยึดครอง ได้ก่อให้เกิด
ลัทธิชาตินิยมอีกแบบหนึ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็น “ลัทธิรักชาติ”
ไปคัดค้านการรุกรานและการกดขี่ของพวก “ลัทธิคลั่งชาติ”
แม้ว่าจะเป็นลัทธิชาติยมเหมือนกัน แต่มีจุดยืนที่ตรงกันข้ามกัน
เนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องสามัคคีกันของประชาชาติ
ลัทธิรักชาติจึงจำต้องยอมรับความคิดเห็น
และผลประโยชน์เฉพาะที่แตกต่างของประชาชนส่วนต่าง ๆ จึงต้องใช้
“ลัทธิประชาธิปไตย”
ไปสร้างเอกภาพในการต่อสู้กับการรุกรานและการกดขี่ของพวกลัทธิคลั่งชาติที่
เป็นเผด็จการ
ลัทธิรักชาติหากกลายเป็นเผด็จการก็จะไม่แตกต่างไปจากพวกลัทธิคลั่งชาติภายใน
พวกเขาจะขัดแย้งกันก็คือผลประโยชน์เฉพาะของพวกตนเท่านั้นอย่างเช่น <i>ซิงมันรี</i>ของ
เกาหลีใต้ที่เป็นผู้คัดค้านญี่ปุ่นแต่ตนเองกลายเป็นเผด็จการ
พอญี่ปุ่นยอมแพ้ไป เขาก็กลายมาเป็นพวกคลั่งชาติไปเสีย
และเป็นผู้จุดไฟสงครามเกาหลีโดยการเข้าไปก่อกวนเกาหลีเหนือก่อน
เกาหลีเหนือจึงตอบโต้แล้วขยายตัวเป็นสงครามเกาหลีในเวลาต่อมา
ถึงเวลานั้นซึงมันรีก็เปิดเผยหน้ากากรักชาติของตนออกมาสมคบกับอเมริกาทำ
สงครามเข่นฆ่าพี่น้องร่วมชาติเกาหลีของตนเองเพียงเพื่อการมีอำนาจเผด็จการ
เหนือหัวประชาชนเกาหลีเท่านั้นเอง ตรงกันข้ามในประเทศจีน
ต่อหน้าความเรียกร้องต้องการรักชาติของประชาชนจีนในการต่อต้านการรุกรานของ
ญี่ปุ่น
ทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมิ่นตั๋งจึงต้องสามัคคีกันชั่วคราวเพื่อ
ต่อสู้กับศัตรูร่วมกัน
เมื่อภัยรุกรานของญี่ปุ่นหมดสิ้นไปแล้งจึงหันมาสู้กันใหม่
จนฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนไดรับชัยชนะเด็ดชาดในปี ค.ศ. ๑๙๔๙ <br />
<br />
ในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ ลัทธิรักชาติเป็นรากฐานสำคัญในการทำสงครามปลดแอก
ในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาในโลก อย่างไรก็ตาม
สงครามปลดแอกแม้ว่าจะบรรลุแล้ว
ก็ยังไม่อาจทำลายซากเดนลัทธิศักดินานิยมที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนต่าง ๆ
ของสังคม รูปการจิตสำนึกและระบบวิธีคิดของประชาชน
ซากเดนทางความคิดเหล่านี้แสดงออกมาในรูปแบบของลัทธิรวมศูนย์
ลัทธิบัญชาจากบนสู่ล่างลัทธิรวมหมู่เกษตรกรรม
(รวมหมู่ในทางความคิดและทำกิจกรรมหรือมีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน
ไม่ยอมรับความแตกต่าง) ลัทธิบูชาบุคคล ลัทธิคัมภีร์
(อ้างแต่ทฤษฎีคำสอนแต่ไม่ลงสู่การปฏิบัติ)และลัทธิฉวยโอกาสเอียงซ้าย
(แสร้งทำเป็นซ้ายเสียยิ่งกว่าพวกซ้ายจริง ๆ
เพื่อปกปิดความเป็นขวาที่ปฏิกิริยาภายในของตนเอง)ฯลฯ อะไรต่าง ๆ
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงซากเดนศักดินาหรือระบอบอำมาตย์อย่างชัดเจน
ซากเดนเหล่านี้ได้ก่อความทุกข์ยากแก่ประชาชนที่ผ่านการปลดแอกมาแล้วอย่างแสน
สาหัส พวกซ้ายที่มักอ้างว่า “ค้านลัทธิทุนนิยม”
หรือใช้วาทะกรรม“ทุนนิยมสามานย์”
เป็นเพียงการปกปิดซากเดนศักดินาปฏิกิริยาของตนนั่นเอง แต่ไหนแต่ไรมา
“ศักดินา” ย่อมต้องคัดค้าน “ทุนนิยม”
ที่เป็นศัตรูโดยตรงซึ่งจะมาครอบครองปัจจัยการผลิตหลักของสังคมแทนที่
“ศักดินา” ที่จะต้องตกเวทีประวัติศาสตร์ไป <br />
<br />
<b>กระบวนการของการปฏิวัติ</b><br />
<br />
มีคนจำนวนมากที่มีความเห็นว่า สงคราม คือ คำตอบเดียวของการปฏิวัติ
ความเข้าใจเช่นนี้เป็นทรรศนะด้านเดียว
มองเห็นการปฏิวัติเป็นกระบวนการขั้นเดียว
มีสงครามปฏิวัติแล้วการปฏิวัติก็เสร็จสิ้นลง
ที่จริงการปฏิวัติเป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์
ที่มีการสั่งสมของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ต่อเนื่องกันห่วงโซ่สงคราม
เป็นเหตุการณ์หนึ่งในห่วงโซ่เหตุการณ์ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายสิบ
หรืออาจเป็นร้อยปี
กว่าการปฏิวัติที่มีลักษณะประวัติศาสตร์นี้จะบรรลุเป้าหมายเป็นกระบวนการ
คลี่คลายความขัดแย้งที่พัฒนาขึ้นในสะสมในเชิงปริมาณไปสู่การเปลี่ยนแปลงทาง
คุณภาพขั้นต่าง ๆ ดังนั้นในการปฏิวัติจึงมักจะประกอบด้วยสงครามและสันติภาพ
หรือการปฏิวัติและการปฏิรูปย่อย ๆ สลับไปสลับมาหลายครั้ง
จนกว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ขัดแย้งในสังคมจะเข้าสู่ดุลยภาพสุดท้าย
ในทันที่ที่การปฏิวัติหนึ่งสิ้นสุดลง
ก็จะเป็นจุดเริ่มของกระบวนการปฏิวัติทางประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ขึ้น<br />
<br />
อย่าง การปฏิวัติรัสเซีย กว่ารัสเซียจะหลุดพ้นจากระบอบศักดินา
ก็มีการเคลื่อนไหวจะเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยซาร์ปีเตอร์(ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕)
ทำการปฏิรูปริเริ่มสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขึ้นในรัสเซีย
ชนชั้นนายทุนรัสเซียจึงเริ่มเติบโตขึ้นมาตั้งแต่นั้น
ติดตามมาด้วยการกบฏและการปฏิรูปหลายครั้ง จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑
ที่ชี้ให้ประชาชนรัสเซียเห็นถึงความล้มเหลวเน่าเฟอะของระบอบซาร์แล้วเกิดการ
ปฏิวัติขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๑๗ หลังจากนั้นก็ยังมีสงครามกลางเมืองอันขมขื่นต่ออีก
๔ ปี (ค.ศ. ๑๙๑๘-๑๙๒๒)
แม้ว่าพรรคบอลเชวิคจะอ้างว่าเป็นการปฏิวัติสังคมนิยม
แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงขั้นหนึ่งของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน
เลนินจึงต้องเร่งรัดให้พัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขึ้นโดยให้รัฐเป็นผู้ถือ
กรรมสิทธิ์ทุนเสียเอง
ในระหว่างนั้นซากเดนศักดินายังดำรงอยู่และสำแดงออกเด่นชัดในยุคสตาลินในรูป
ของระบบราชการรวมศูนย์และลัทธิบูชาบุคคล อย่างไรก็ดี
สตาลินก็สามารถนำสหภาพโซเวียตรบชนะนาซีเยอรมัน
และแผ่อิทธิพลไปค่อนทวีปยุโรป
แต่ซากเดนศักดินาภายในพรรคคอมมิวนิสต์ก็ผลักดันให้สหภาพโซเวียตกลายเป็น
สังคมจักรพรรดินิยมในยุคครุชชอฟและเบรสเนฟอันนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพ
โซเวียตใน ค.ศ.
๑๙๙๑และการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนรัสเซียเพิ่งมามาบรรลุถึงจุดหมาย
ในสมัยเยลซิน (ค.ศ. ๑๙๓๑-๒๐๐๗) นี่เอง ที่ต้องใช้เวลายาวนานมาเกือบ ๓๐๐
ปีส่วนปูตินเป็นผู้มาปฏิรูปให้ระบอบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนในรัสเซียเข้า
รูปเข้ารอยเป็น
ประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนที่มีลักษณะเฉพาะของรัสเซียที่พัฒนาบนรากฐานระบอบ
สังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย
เตรียมรากฐานที่มั่นให้รัสเซียพัฒนาไปสู่ระบอบสังคมนิยมอีกครั้ง
และฟื้นฟูสหภาพโซเวียต (พรรคการเมืองต่าง ๆส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นส่วนต่าง ๆ
ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ที่แยกกันออกไป
และพรรคการเมืองที่ควบคุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาดูมาร์
ขณะนี้ก็ยังคงเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียอยู่) ดังนั้น จึงมีข้อพิสูจน์ว่า
สังคมไหนในโลกหลีกพ้นกฎวิวัฒนาการสังคมที่มีขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ที่แน่
นอนนี้ไปได้ <br />
<br />
สงครามอย่างเดียวและครั้งเดียวจึงไม่สามารถทำให้บรรลุขั้นตอนทางประวัติ
ศาสตร์ของสังคมได้ แต่เป็นพัฒนาการในเชิงปริมาณเล็ก ๆ อันหนึ่ง
ในกระบวนการปฏิวัติสังคมที่มีขนาดใหญ่โตเท่านั้น
แต่ผลของสงครามที่มีเป้าหมายปฏิวัติสังคมอย่างชัดเจนก็มีนัยยะสำคัญในการทำ
ให้ระยะของการปฏิวัติสังคมสั้นลงได้ อย่างไรก็ตาม
สงครามซึ่งเป็นการแก้ไขความขัดแย้งบั้นสูงสุดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ จากจินตนาการของใคร
แต่ต้องอาศัยเงื่อนไขภาวะแวดล้อมและปัจจัยภายในและภายนอกที่รูปธรรมต่าง ๆ
มากมาย <br />
<br />
<br />
<span style="text-decoration: underline;">ยังมีตอนต่อไปครับ</span></div>
<br />
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-32505394563540093702013-12-30T20:30:00.004+07:002013-12-30T20:30:43.215+07:00ความคิดเห็นต่อปัญหาทางการทหารในการปฏิวัติ// ตอนที่1เกริ่นก่อนอ่าน<br /><br />ข้อเขียนชิ้นนี้ กระผมได้รับการประสานจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จักกันดี
ให้กระผมช่วยพิจารณาด้วยว่า มีความเห็นเป็นเช่นไร
ถ้าเห็นควรแบบไหนก็สามารถแก้ไขได้
เพียงอยากเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับพี่น้องคนไทยทุกคนได้ศึกษากันเท่า
นั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ผู้เขียนต้องการ<br />
<br />
ผมอ่านแล้วถึงกับอึ้ง และได้รู้ว่ามืออาชีพจริงๆนั้นเป็นเช่นไร
จึงไม่ขอเสริมหรือเพิ่มเติมอะไรทั้งสิ้นในข้อเขียนชิ้นนี้ เพียงแต่ขอตัด
วัน ที่เดือน พศ.ที่ผู้เขียนท่านลงเอาไว้แค่นั้น<br />
<br />
และหวังว่าข้อเขียนชิ้นนี้ ทุกท่านที่เป็นนักสู้ตัวจริงจะได้อ่านกันครบถ้วนหน้าครับ
<br /><br />.............................................<br /><br />ประมวล วงษ์พันธ์<br />
<br />
เริ่มต้น<br />
<br />
<b>ตอนที่ ๑</b><br />
<br />
<b>สภาพทั่วไป</b><br />
<br />
เวลานี้เกิดข่าวลือว่าฝ่ายเผด็จการที่สูญเสียอำนาจบางส่วนไปจะก่อการรัฐ
ประหาร ข่าวนี้ไม่ต้องไปวิเคราะห์มากมายก็รู้ได้ว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีการตื่นตัวอย่างสูงในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยที่จะ
เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารของพวกเผด็จการ ไม่ว่าจะมีภาพเงื่อนไขอะไร
เราก็คิดไปเองว่า
จะต้องเกิดสงครามการเมืองขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะฝ่ายประชาชนจะไม่ยอม
เป็นเป้านิ่งให้พวกเผด็จการปราบปรามเข่นฆ่าแต่ฝ่ายเดียวเหมือนอย่างที่เคย
ผ่านมา<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเชื่อว่าจะมีสงครามกลางเมือง
เราก็สามารถจินตนาการได้ถึงผลลัพธ์ของการต่อต้านเผด็จการของฝ่ายประชาชนว่า
จะเกิดการสูญเสียอย่างมหาศาล แม้จะพยากรณ์ได้อีกว่า
สุดท้ายแล้วฝ่ายประชาชนจะได้รับชัยชนะ แต่ก็จะเป็นชัยชนะที่มีราคาแพงยิ่ง
ซึ่งส่วนใหญ่ที่สุดจะเป็นการสูญเสียที่ไม่จำเป็น เพราะ<b>ศัตรูแม้มีจำนวน
น้อย แต่ในทางการทหาร กองกำลังติดอาวุธของพวกเขาเป็นกองกำลังที่รวมศูนย์
มีการบังคับบัญชามีระเบียบวินัย มีทักษะในการรบ มีกำลังไฟ (อำนาจการยิง)สูง
มีระดับเทคนิคทุกด้านสูง (การสื่อสาร การขนส่ง การข่าว
ฯลฯ)และที่สำคัญในทางการเมืองอาจมีอำนาจอิทธิพลมืดยิ่งใหญ่จากภายในประเทศ
และนอกประเทศสนับสนุน</b><br />
<br />
ที่ตรงกันข้ามกัน ฝ่ายประชาชน
แม้ในทางการเมืองมีผู้สนับสนุนจำนวนมหาศาลและมีความชอบธรรมที่ไม่มีใคร
ปฏิเสธได้
มีจิตใจวีระอาจหาญแต่ในทางการทหารกลับมีสมรรถนะด้อยแบบตรงกันข้ามกับฝ่าย
เผด็จการ –<b>ดูเหมือนว่ารวมศูนย์แต่แท้จริงแล้ว กระจัดกระจาย ไร้การนำ
ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีทักษะการรบ กำลังไฟต่ำ
ยิ่งไมต้องพูดถึงระดับทางเทคนิคที่ไม่มีทางเปรียบเทียบกันได้
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายประชาชนไม่มีตัวช่วยจากโครงสร้างส่วนบนและมหาอำนาจต่าง
ประเทศเลยเมื่อเข้าสู้รบกันฝ่ายประชาชนจึงกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟอย่าง
เลี่ยงไม่ได้</b><br />
<br />
ในระยะอั้นสั้น หากฝ่ายประชาชนไม่มีกองกำลังประจำการ (ทหารแตงโม)
ที่มีสมรรถนะเท่าเทียมกับกองกำลังของฝ่ายเผด็จการ
สามารถเข้าสู้รบกับฝ่ายเผด็จการอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้
ฝ่ายเราก็จะไม่มีทางที่จะจัดการกับศัตรูได้เลยต้องใช้เวลา ทรัพยากร
และความพยายามอีกมากมายกว่าที่จะสร้างกองทัพประชาชนที่ทัดเทียมกันกับศัตรู
ขึ้นมาได้ การสร้างกองทัพเช่นนี้จะเป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าหากขาดองค์การนำปฏิวัติ
ที่มีความสามารถทางการจัดตั้งสร้างเอกภาพภายในขบวนการประชาชน
มีอุดมการณ์และทฤษฎีทางการเมือง-การทหารที่ถูกต้อง
และมีประชาชนอันไพศาลให้การสนับสนุนเข้าร่วมหนทางปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธโค่น
ล้มระบอบเผด็จการ<br />
<br />
ข้อเขียนนี้เป็นเพียงความเห็นที่มีต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าบางแง่มุม
ที่ต้องการชี้ให้เห็นว่าฝ่ายประชาชนล้วน ๆ
ยังไม่พร้อมและไม่มีขีดความสามารรถทางวัตถุใด ๆ
ที่จะทำสงครามต่อต้านเผด็จการได้อย่างแท้จริง <b>ที่ดูเหมือนว่ามีอยู่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาหลอกตนเองเท่านั้น</b>ใน
สภาพเงื่อนไขที่เป็นอยู่ หากสงครามเกิดขึ้นจริง
แม้ในตอนต้นฝ่ายประชาชนจะดูได้เปรียบ เนื่องจากความชอบธรรม
และมีจำนวนที่มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก ทำให้มีความสามารถเป็นฝ่ายกระทำ
แต่ในระยะยาวนานต่อไป
ฝ่ายประชาชนเราก็จะสูญเสียการเป็นฝ่ายกระทำนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
สภาพการนำของฝ่ายประชาชนแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะไร้ทิศทาง
โลเลไร้จุดยืน ไร้เดียงสาทางการเมือง ไม่มีทฤษฎีสู้รบ ไม่มียุทธศาสตร์
(คือกำหนดได้ว่า จากอะไร ไปสู่อะไร และอะไรคือเป้าหมายสุดท้าย)<b><span style="text-decoration: underline;">เมื่อ
ไม่มีทฤษฎีก็ไม่เข้าใจปรากฏการณ์
มักมีความไวในการตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป
ประเมินกำลังตนเองและศัตรูไม่ออก ฯลฯ</span></b><br />
<br />
อย่างไรก็ตามแม้ ขบวนการประชาชนมีสภาพการนำที่ค่อนข้างล้มเหลว นับตั้งแต่
ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นต้นมาก็ไม่เคยนำขบวนต่อสู้จนได้ชัยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียวต้องพ่ายแพ้
และสูญเสียอย่างหนักมาหลายครั้ง <b><i>แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่
ขบวนการประชาชนกลับมีการขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ชี้ชัดว่า
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดจากแรงขับดันทางประวัติศาสตร์ภายในของสังคมไทยล้วน ๆ
เลยทีเดียว แรงขับดันที่ว่านี้ ก็คือ “พลังการปฏิวัติ” นั้นเอง</i></b><br />
<br />
สภาพการต่อสู้ในครั้งต่อ ๆ ไปก็จะเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา ที่เริ่มจากการเป็น
“ฝ่ายรุก”แล้วก็กลายมาเป็น “ฝ่ายรับ”ถึงเวลารุกได้ก็ไม่รุก
ถึงเวลาถอยได้ก็ไม่ถอย ยืนหยัด ลัทธิ “สู้ม้วนเดียวจบ” สู้อยู่กับที่
อยู่ร่ำไป สูญเสียความเป็น “ฝ่ายกระทำ” กลายมาเป็น
“ฝ่ายถูกกระทำ”และถูกปราบปรามลงไปในที่สุด
หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นกระบวนการมาตั้งแต่ ครั้งเหตุการณ์ ๑๔ เมษายน
๒๕๕๒ จนถึง๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จากความจัดเจนหลายครั้งหลายครา
เราจึงสามารถคาดล่วงหน้าได้เลยว่า การต่อสู้ครั้งต่อ ๆ ไปภายใต้การนำแบบนี้
ก็จะมีสภาพอย่างเดิม <b>ความเลวร้ายของการนำต่อสู้ลักษณะนี้คือทำให้
ประชาชนต้องมีการสูญเสียเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็นและระยะเวลาการต่อสู้ที่
ควรสั้นก็จะต้องเนิ่นยาวนานออกไปเรื่อยๆ
ถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงอย่างหนึ่งเลยทีเดียว</b><br />
<br />
ตัวอย่างสำคัญคือการต่อสู้ใน<b>ลิเบีย</b>ฝ่ายต่อต้านกัดดาฟีแต่ต้นเป็น
เพียงฝูงชนบ้าคลั่งติดอาวุธจำยวนเล็กน้อย
ภายใต้การนำของขบวนการมุสลิมหัวรุนแรง (อัลไกอิดา ที่
ซีไอเอก่อตั้งขึ้นต่อต้านโซเวียตในสงครามอัฟกานิสถาน
โดยให้บินลาเดนเป็นผู้นำ) ที่ถูกกัดดาฟีปราบปรามอยู่เริ่มต้นเป็นฝ่ายรุก
ต่อมากลายเป็นฝ่ายถอย ต้องถอยหนีไปทำสงครามป้อมค่าย
ตั้งแนวต้านทานสุดท้ายที่ เบงกาซี ถูกฝ่ายรัฐบาลล้อม
หากสหประชาชาติและชาติเนโต้ไม่เข้าแทรกแซง
และประเทศอาหรับบางประเทศที่เป็นตัวแทนของประเทศตะวันตก
ใช้กำลังทางอากาศเข้ากดดันฝ่ายรัฐบาลลิเบียแล้วส่งทหารรับจ้างและอาวุธทัน
สมัยไปช่วยฝ่ายต่อต้าน
หากไม่มีการเคลื่อนไหวแทรกแซงนี้ฝ่ายต่อต้านก็คงถูกทำลายลงไปแล้วแน่นอน<br />
<br />
สถานการณ์อย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นใน<b>ซีเรีย</b>
ฝ่ายต่อต้านที่มีขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงอยู่เบื้องหลังและได้รับการสนับสนุน
จากกาตาร์
ซึ่งเป็นอาหรับเจ้าเดียวกันสนับสนุนขบวนการต่อต้านกัดดาฟีในลิเบียเริ่มต้น
ขบวนการต่อต้านเป็นฝ่ายรุกอย่างรวดเร็วจนเข้าประชิดกรุงดามัสกัส
แต่ก็ถูกฝ่ายรัฐบาลที่มีความเหนือกว่าทางการทหารสามารถต้านยันเอาไว้ได้
แต่บทเรียนจากลิเบียทำให้ประเทศตะวันตกไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ
เหตุการณ์ในซีเรียโดยตรง ได้แต่แสร้งแสดงท่าทีเหมือนอยากจะเข้าไปช่วย
รักษาหน้าของตนไปเท่านั้นเมื่อฝ่ายรัฐบาลโต้กลับกลายเป็นฝ่ายรุกบีบจนฝ่าย
กบฏต้องถอย ก็กลับไปทำสงครามป้อมค่ายอีกตั้งแนวต้านทานที่เมืองฺฮิมส์
(ทางเหนือของดามัสกัสใกล้ชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน)
และในที่สุดก็ถูกปิดล้อมและถูกกวาดล้างทำลายพ่ายแพ้ลงไป
การต่อต้านที่เหลืออยู่เวลานี้ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ต่อสู้ไป
อย่างสะเปะสะปะ
จนใช้ระเบิดฆ่าตัวตายอันเป็นยุทธวิธีของอัลไกอิดาโจมตีเป้าหมายไม่เลือก
ทำลายความชอบธรรมและมิตรของตนลงไปทุกวันฝ่ายรัฐบาลอัสซาดสามารถควบคุม
สถานการณ์ได้ในที่สุดความผิดพลาดสำคัญของฝ่ายกบฏหากไม่นับปัญหายุทธศาสตร์
แต่เริ่มต้นและเอกภาพทางการจัดตั้ง ก็คือ
การที่ขบวนการต่อต้านฝากความหวังไว้กับการช่วยเหลือจากภายนอกประเทศเป็นด้าน
หลัก จึงปักหลักทำสงครามป้อมค่ายสร้างแนวรับไว้ที่เมืองฮิมส์
จังหวัดฮอมส์และที่อื่น ๆ เพื่อซื้อเวลา
เผื่อว่าจะมีความช่วยเหลือมาทางทะเลเมดิเตอเรเนียน
ถ้าพวกเขาสามารถยืนหยัดตรึงฝ่ายรัฐบาลไว้ได้นานพอ
แต่ความช่วยเหลือที่ว่านั้นก็ไม่เคยมา
และฝ่ายต่อต้านที่ยึดถือยุทธวิธีปักหลักสู้ตายไม่สามารถยืนหยัดต้านทานกำลัง
ไฟและการจัดตั้งที่เหนือกว่าของรัฐบาลซีเรียได้
เหตุการณ์เช่นว่านี้จะเปลี่ยนไปถ้า ฝ่ายต่อต้านมุ่งการช่วยตนเองเป็นหลัก
ไม่ฝากความหวังไว้กับต่างชาติ เมื่อสูญเสียสภาพการเป็น “ฝ่ายกระทำ”
แล้วจึงจำเป็นต้องรักษากำลังที่มีชีวิตของตน
ก็จะต้องกระจายกำลังออกถอยไปสู่ชนบท หรือในพื้นที่ที่ศัตรูอ่อนแอ
ทำสงครามจรยุทธ์ ยืดเยื้อ บังคับให้ฝ่ายรัฐบาลต้องกระจายกำลังออก ทำผิดพลาด
และเปิดเผยจุดอ่อนออกมา .....
แต่โอกาสสำคัญเช่นนั้นได้สูญเสียไปแล้วไม่มีวันจะหวนกลับมาอีก<br />
<br />
ขณะนี้ทางประเทศตะวันตกเข้าไปแทรกแซงวิกฤติในซีเรียอย่างลับ ๆ
โดยการสนับสนุน เงิน อาวุธ และส่งทหารรับจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตทหารอิรัก
เข้าไปในซีเรียแบบเดียวกับที่เคยทำในลิเบีย
ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องเฝ้ามองดูกันต่อไป<br />
<br />
ขอเพิ่มเติมอีกนิดในเรื่องซีเรียว่า
หลังจากที่รัฐบาลได้ทำลายกำลังหลักของกองกำลังฝ่ายกบฏลงไปได้แล้ว
ฝ่ายกบฏก็แตกกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทุกกลุ่มไม่ขึ้นต่อ
หรือประสานกัน เกิดลัทธิอนาธิปไตย ไม่สนใจการต่อสู้ทางการเมือง
(สร้างมิตรสร้างแนวร่วม) ทำการแก้แค้นส่วนตัวอย่างสะเบะสะปะ
โจมตีและขับไล่ขบวนของผู้สังเกตการณ์นานาขาติที่มีท่าทีเห็นใจฝ่ายต่อต้าน
ใช้ระเบิดฆ่าตัวตายทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์ลงไปเป็นจำนวนมาก เสียการเมือง
(เสียมิตร) ทำให้ฝ่ายกบฏมีภาพลักษณ์ของผู้ก่อการร้ายมาขึ้นทุกวัน
ตัวอย่างเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในแคว้น เชชเนียญ์(Chechnya) รัสเซียใต้
จนเกียรติภูมิของขบวนการเอกราชเชเชนย์ต้องสิ้นสลายลง
กลายเป็นโจรก่อการร้ายไปในที่สุด<br />
<br />
ความผิดพลาดของขบวนการอิสรภาพเชเชนญ์
คือการไปรับการสนับสนุนจากประเทศอาหรับตัวแทนนายหน้าของอเมริกา
การสนับสนุนนั้นมาพร้อมกับทรรศนะและวิธีการอิสลามสุดขั้ว
ที่อเมริกาเชื่อว่าสามารถต่อสู้กับสหภาพโซเวียตได้ อย่างเช่นในอัฟสกานิสถาน
การก่อการร้ายด้วยการลักพาตัวแล้วประหารอย่างโหดร้าย การลอบสังหาร
การโจมตีเป้าหมายพลเรือน การจับตัวประกันจำนวนมาก การระเบิดฆ่าตัวตาย ฯลฯ
เป็นการก่อการร้ายที่มุ่งหวังแต่จะสร้างความสยดสยอง แต่ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ <b>ให้สังเกตว่า การระเบิดฆ่าตัวตาย นั้นเป็นลายนิ้วมือแผงของการก่อการร้ายที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังเสมอ</b>
ซึ่งเคยใช้ครั้งแรก ๆโดยชาวปาเลสไตน์ ในอิสราเอล ช่วงศตวรรษที่ ๑๙๘๐
เพื่อให้อิสราเอลใช้เป็นเหตุผลในการยึดครองพื้นที่ของปาเลสไตน์
และทำลายความชอบธรรมของขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์
ทราบในตอนหลังว่าขบวนการระเบิดฆ่าตัวตายนี้มีองค์การมอสสาดของอิสราเอลอยู่
เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม
อเมริกาไม่สามารถจับปีศาจที่ตัวเองปล่อยออกมาให้กลับเข้าไปในขวดได้
จนกลายเป็นลักษณะยุทธวิธีหนึ่งของขบวนการต่อสู้อิสลามไป
ซึ่งทำลายความชอบธรรมของการต่อสู้ของตนลงไปเรื่อย ๆ
ชัยชนะก็ยิ่งห่างไกลออกไปจนมองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นชัยชนะก็ยิ่งมืดบอด
สิ้นคิดยิ่งก่อภัยสยองทำลายตัวเองหนักมือขึ้นไปอีก <b>ชัยชนะที่ว่านี้ก็คือ ชัยชนะทางการเมือง ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและมิตรทั่วโลก และแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจภายในหมู่ศัตรู</b><br />
<br />
เหมือนกับเมืองไทยหรือเปล่า? เนื่องจากฝ่ายนำนปช. ยึดกุมลัทธิ “<b>ม้วนเดียวจบ</b>”
อย่างเดียวกับพวก พธม.เมื่อศัตรูปิดล้อมเข้ามา
แสดงเจตนาจะปราบปรามรุนแรงอย่างชัดเจน แทนที่จะกระจายกันออก
ถอยออกไปไม่ยอมให้มันล้อม แล้วกระจายตัวออกทั่วกรุงเทพและทั่วประเทศ
เปลี่ยนสภาพจากเป็นฝ่ายถูกล้อม มาเป็นฝ่ายล้อม ก็จะไม่เสียหายมากขนาดนั้น
แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมกลับปักหลักอยู่กับที่ให้มันฆ่าเล่นอย่างเมามันเข้าใจว่า
เสื้อแดงตายไปหลายร้อยศพ
(เข้าใจว่าศพที่ถูกทหารฆ่าตายเป็นจำนวนมากถูกทำลายไป
ไม่ให้เป็นหลักฐาน)นปช. แทบสูญสลาย ถ้าไม่มี <i>บก.ลายจุด</i> หรือ<i>สมบัติ บุญงามอนงค์</i>มากอบ
กู้สถานการณ์ เวลานี้ นปช.
ก็คงถูกสลายลงไปเรียบร้อยแล้วนี่คือบทเรียนของการต่อสู้แบบมวยวัด
พิสูจน์ว่า ตั้งแต่ต้น นปช.มีแต่สีสัน แต่ไม่มีทฤษฎีต่อสู้
ไม่มีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
ไร้เดียงสาทางการเมืองและไร้จินตนาการในการคิดประดิษฐ์ยุทธวิธีต่อสู้โดย
สิ้นเชิงนอกจากนี้ นปช. ยังมีความเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า
รัฐบาลจะล้มหากมีการฆ่าประชาชนเกิดขึ้น และเนื่องจากถูกชี้นำโดย<i>ทักษิณ</i>ที่มีธาตุแท้ ค้านปฏิวัติและยอมจำนนมาแต่ต้น การนำเช่นนี้จึงนำมาสู่การสูญเสียที่ไม่จำเป็นมากมาย ครั้งแล้วครั้งเล่า<br />
<br />
แกนนำการชุมนุมทั้งหลายเป็นเพียงนักพูด
แต่ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่นักจัดตั้ง น่าหนักใจว่า
แม้จะผ่านบทเรียนมาขนาดนี้แล้ว การนำของ นปช.
ก็ยังไม่มีการสรุปบทเรียนและแก้ไขแนวทาง ในคราวต่อ ๆ ไป
กระบวนการก็จะเป็นเช่นเดิม ขบวนการ นปช. จึงเป็นได้แค่<b><i>หมากต่อรองบนโต๊ะเจรจาของทักษิณกับอำมาตย์ใหญ่</i></b>เท่านั้น<span class="arrow"><span></span></span>
<br />
<div align="left">
<article><br /><br />ในทั้ง ๒ กรณีทั้งลิเบียและซีเรีย
ผู้เขียนมีทรรศนะแตกต่างไปจากคนทั่วไปที่ได้รับข่าวสารด้านเดียวจากสื่อ
ตะวันตก ตรงกันข้ามผู้เขียนสนับสนุน กัดดาฟีแห่งลิเบีย
และอัสซาดแห่งซีเรีย ในด้านจุดยืนของพวกเขา
ที่มุ่งดูแลพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน คัดค้านจักรพรรดินิยมและสมุน
แต่ข้อมูลจากสื่อตะวันตกทำให้มีความสับสนและสงสัยพวกเขาในด้านวิธีการที่พวก
เขาเลือกใช้ใช้แต่การทหารเป็นด้านหลัก
ก่อการเข่นฆ่าประชาชนอย่างไม่จำแนกมีผลลัพธ์คือกัดดาฟีพ่ายแพ้ในลิเบีย
แต่อัสซาดยังคงมีชัยชนะยกแรกในซีเรีย</article><article> </article><article>การมุ่งโค่นล้มอัสซาดแห่งซีเรีย
เป็นขบวนการเดียวกับการเคลื่อนไหวต่อต้านอิหร่านหากอัสซาดถูกโค่นล้มลงไปได้
ซีเรียก็จะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนไม่สามารถเป็นอันตรายต่ออิสราเอลได้
และจะเป็นผลทำให้อิทธิพลของซีเรียในเลบานอน หมดไป
(ในเลบานอนมีกองทัพซีเรียควบคุมอยู่ไม่ให้ฝ่ายคริสเตียนที่สนับสนุนโดย
อิสราเอลและสหรัฐฯ
กับฝ่ายมุสลิมที่สนับสนุนโดยอิหร่านรบกันในซีเรียมุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายสุ
หนี่ในเลบานอนมุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายชีอะ)
และจะเปิดทางให้อิสราเอลและอเมริกาทำลายขบวนการอิสบอเลาะห์
อันเป็นองค์การนำมุสลิมเลบานอน
และสามารถกระชับการปิดล้อมและโจมตีอิหร่านได้สะดวก
นอกจากนี้อิสราเอลจะสามารถคัดความช่วยเหลือจากซีเรียที่มีต่อปาเลสไตน์ลงได้
เด็ดขาด มาถึงตอนนี้ต้องเข้าใจก่อนนะว่า ใน ตุรกี เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน
อิรัก ปาเลสไตน์ และอิหร่าน
ไม่ได้เป็นประเทศทีประชากรเชื้อชาติเดียวและนับถือศาสนาอิสลาม ๑๐๐
เปอร์เซ็นต์
แต่ทุกประเทศมีประชากรหลายเชื้อชาติที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นที่
เป็นสัดส่วนมากพอสมควร </article><article> </article><article>ผลที่ติดตามมาก็คือ ลิเบียเวลานี้ต้องแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อถอนทหารรับจ้างออกไปแล้ว กองกำลังฝ่ายต่อต้านต่าง ๆ
มีลักษณะเป็นหน่วยเล็กหน่วยน้อยมากมาย ที่ไม่มีระเบียบวินัยไร้การจัดตั้ง
ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชา ไม่มีการศึกษาทางการเมือง ไม่มีงานทำ
ไม่มีรายได้ จึงก่อภัยสยองแก้แค้นส่วนตัวและการปล้นสะดมไปทั่วประเทศ
น้ำมันที่ผลิตได้ขณะนี้ก็เป็นเพียงไม่ถึง ๑๐
เปอร์เซ็นต์ของที่เคยผลิตได้ในสมัยกัดดาฟี สวัสดิการอย่างดีต่าง ๆ
ที่ประชาชนลิเบียเคยได้รับก็ถูกทำลายลงไปสิ้น
ลิเบียกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวไปอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาไม่กี่เดือน
ชาวลิเบียจำนวนมากต้องหนีข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนไปหางานทำในยุโรป
เมื่อเป็นอย่างนี้ประเทศตะวันตกจึงต่างหันหลังเลี่ยงหลบออกไปจากความรับผิด
ชอบต่อความผิดที่พวกตนก่อไว้ ดังนั้นลิเบียปัจจุบันมีสภาพเหมือนโซมาเลีย
ซึ่งก็เป็นผลงานของประเทศตะวันตกที่ทำทิ้งเอาไว้เช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้เอง
จากความล้มเหลวของฝ่ายต่อต้านที่เป็นอนาธิปไตยไม่สามารถทำให้ชาวลิเบียมี
ชีวิตที่ดีกว่า แต่กลับทำให้เลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม ฝ่ายสนับสนุนกัดดาฟี
ได้รวบรวมกำลังกันขึ้นมาได้ใหม่และกำลังโต้กลับ สำหรับเมืองไทย
คนที่หวังแต่การหนุนช่วยจากต่างประเทศพึงสังวรไว้ให้จงหนักแม้แต่เรื่อง
ไอซีซี ที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังอยู่บ้าง ก็ไม่มีวันจะเป็นไปได้ เนื่องจาก
องค์การสากลเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดินิยม
ที่จะเลือกใช้เฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อมันเท่านั้น</article><article> </article><article>ตัวอย่างที่เสนอมา ก็พอเห็นได้ว่าได้ว่าองค์การนำต่าง ๆ
ของขบวนการเสื้อแดงเท่าที่มีทั้งหมดเวลานี้ไม่มีใครที่จะสามารถสร้างและนำ
กองทัพประชาชนทำสงครามปฏิวัติประชาธิปไตยได้เลย
แม้จะมีการส่งเสริมการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง เกิดขึ้นในชนบท
แต่ก็ไม่มีที่ไหนเลยสักแห่งที่จะชูคำขวัญประชาธิปไตย – “<b>เสมอภาพ – ยุติธรรม –การอยู่ดีกินดี</b>”
ที่เห็นมีแต่คำขวัญ “รักทักษิณ”หรือคำขวัญ “ต้านยาเสพติด”
ก็เป็นอันเดียวกับ “รักทักษิณ” นั่นเอง
เพราะทักษิณเป็นผู้ปราบยาเสพติดอย่างเดียว
หมู่บ้านเสื้อแดงแทนที่จะเป็นพลังประชาธิปไตยที่น่าเกรงขาม
กลับกลายเป็นเพียง เครือข่ายมวลชนพิทักษ์ทักษิณ ไปเท่านั้น
เห็นอย่างนี้แล้วเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง
ฝ่ายเผด็จการน่าจะสบายใจได้เว้นแต่พวกมันจะโง่และบ้าพอที่จะทำลายองค์การนำ
เสื้อแดงเหล่านี้ลงไปจนหมดสิ้น
เมื่อขบวนการคนเสื้อแดงถูกทำลายสิ้นซากลงไปแล้ว
และเมื่อนั้นแหละองค์การนำรูปแบบใหม่ที่ปฏิวัติแท้จริงจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้น
มา<b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>ทักษิณ</b><b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>ทักษิณ</b> มีศักยภาพเต็มที่ที่จะสามารถนำการปฏิวัติ
ประชาชาติประชาธิปไตยของไทยได้
เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของพลังการผลิตที่ก้าวหน้าที่สุด (เทคโนโลยี)
ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงทุนนิยมสากลและลัทธิตลาดเสรี
(ทุนโลกาภิวัตน์/ทุนใหม่) ซึ่งต่อสู้กับ ทุนนิยมขุนนางและลัทธิตลาดผูกขาด
ซึ่งเป็นซากเดนระบอบศักดินาของไทย (ทุนเก่า)</article><article> </article><article>ทุนโลกาภิวัตน์ หรือ “ทุนสากล” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทุนใหม่”เกิดเติบโต
ดำรงอยู่ และมั่งคั่งจากอำนาจ “ทุนสากล” “เทคโนโลยี” และ
“ตลาดที่เปิดกว้าง” ในขณะที่ “ทุนเก่า” หากินจากจาก “ค่าเช่า” “ดอกเบี้ย”
และ “การผูกขาด”<b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>เทคโนโลยี</b> คือการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือทางการผลิตแบบใหม่
อันมีพื้นฐานจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นการนำความคิด
หรือความรู้ของมนุษย์
แปลงไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงมารับใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ผ่านการ
ผลิต เครื่องมือการผลิตใหม่นี้สามารถทำให้มีการใช้ปัจจัยการผลิตลดลง (ทุน
แรงงาน วัตถุดิบ พื้นที่ และเวลา) และสร้าง หรือ เพิ่ม อรรถประโยชน์
(สนองความต้องการและความพึงพอใจ) ให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดแก่ผู้ผลิตได้อย่างไม่จำกัด อย่างไรก็ดี
เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีอายุสั้น เมื่อเกิดขึ้นก็จะดับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาแทนตราบเท่าที่มนุษย์จะมีความรู้
และการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ<b> </b></article><article><b> </b></article><article><b>ในทรรศนะของพวกทุนนิยมเก่าความสามารถในการแข่งขัน</b> นี้ <b>ขึ้นอยู่กับ ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าแรง และค่าวัตถุดิบ ที่ต่ำกว่า และความสามารถในการผูกขาดตลาดที่สูงกว่า</b>(สาย
ป่านยาว –
ทุนที่มากกว่าสามารถตั้งราคาต่ำทุ่มตลาดจนคู่แข่งสู้ไม่ได้ต้องถอนตัวออก
ไป)กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ทุนนิยมเก่า หาประโยชน์จาก “กำไร” เป็นด้านหลัก</article><article> </article><article>แต่<b>ในทรรศนะของทุนนิยมใหม่ ความสามารถในการแข่งขันขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม”</b> (การเพิ่มมูลค่าและราคาให้กับสินค้าและบริการที่มีอยู่แล้ว) <b>และ “การสร้างมูลค่า”</b> (การทำให้เกิดสินค้าและการบริการชนิดใหม่ขึ้นมา) <b>โดยใช้ “เทคโนโลยี” ประกอบเป็นด้านหลักในการผลิต</b>จึง
สามารถกำหนดราคาได้ตามชอบใจ อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่งที่ยังไม่มีการแข่งขัน
และเมื่อเกิดการแข่งขันขึ้นแล้ว ก็สร้างสินค้าและบริการใหม่ขึ้นมาอีก จาก
เทคโนโลยีใหม่ทีพัฒนาไป ไม่สิ้นสุด<div align="left">
</div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
ตัวอย่างในระดับสากลก็คือ การแข่งขันระหว่างอเมริกา
ซึ่งเป็นตัวแทนของทุนนิยมเก่าของโลก กับจีน
ซึ่งน่าจะเป็นตัวแทนของทุนนิยมใหม่ของโลก
(ผู้เขียนยอมรับว่าไม่พอใจกับนิยามที่มีต่อจีนแบบนี้
แต่ก็ขอใช้ในขอบเขตทางประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน) </div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
</div>
</article><b>อเมริกา</b> ใช้ทรรศนะทุนนิยมเก่า มาตั้งรับและขัดขวางจีน
เช่นใช้มาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เช่น เรื่อง
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (กระทบต่อ
การผูกขาด)ข้อกล่าวการหาทุ่มตลาด(กระทบต่อ การผูกขาด)
การดัดแปลงค่าเงินหยวนของจีน(กระทบต่อ การผูกขาด)
รวมไปถึงข้อกล่าวหาในเรื่องผลกระทบต่อการจ้างงานในอเมริกาเอง (กระทบต่อ
ภาษี) ฯลฯ ยึดติดอยู่กับ เรื่องความมั่นคงทางการเงิน
ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยและภาษี เท่านั้น
การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของอเมริกา จึงมักวนเวียนอยู่กับเรื่อง
อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และ การตั้งอัตราภาษีเท่านั้น
แทนที่จะใช้มาตรการที่ตนเองมีความได้เปรียบอย่างยิ่งเช่น
การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ ๆ
ออกมา</div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<b>ส่วนจีน</b> ใช้ทรรศนะทุนนิยมใหม่ ที่เน้นอยู่ที่ การเพิ่มมูลค่า และ
การสร้างมูลค่า เร่งรัดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ หากยังส่งออกไม่ได้
ก็หันว่าเน้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อสร้างขนาดตลาดให้มีขนาดกว้างพอคุ้ม
ค่าการลงทุน และเป็นตัวอย่างนำการบริโภค เช่น รถไฟความเร็วสูง
เทคโนโลยีการสื่อสาร ๕จี และ ๖จี การส่งดาวเทียมสู่อวกาศ ฯลฯ
เหล่านี้ก็จะย้อนไปเอาชนะ การกีดกันทางการค้าและการลงทุนของอเมริกาในที่สุด<br />
<br />
และที่ใหม่ล่าสุดก็คือ
การดัดแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมผู้ผลิตไปสู่เศรษฐกิจแบบสังคมผู้บริโภค
จากเศรษฐกิจผู้ผลิตที่ต้องตามใจความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านราคาและ
คุณภาพ (เป็นฝ่ายถูกกระทำ) ไปเป็นเศรษฐกิจผู้บริโภคที่เป็นผู้กำหนดตลาด
โดยการใช้อำนาจการซื้อมหาศาลและสร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการใหม่ของ
จีนที่ตนเป็นผู้กำหนด (เป็นฝ่ายกระทำ)
ระบบเศรษฐกิจใหม่ของจีนนี้จะทำให้อเมริกาและยุโรปต้องกลายเป็นเศรษฐกิจผู้
ผลิตไปในที่สุดที่ต้องขึ้นอยู่กับความเมตตากรุณาและมาตรฐานใหม่ของจีน<br />
<br />
ในแง่ของปัจเจกบุคคล อย่าง <i>บิลเก็ท</i> และ<i> ทักษิณ</i> ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้า “เทคโนโลยี” โดยเฉพาะ<i>ทักษิณ</i>หลัง
จากที่ถูกทำลายในประเทศไทยแล้ว เขาก็เริ่มต้นใหม่ในการค้า “ทุน”ระดับสูง
ในรูปของ “กรรมสิทธิ์” และสัมปทานต่าง ๆ ทั่วโลก พัฒนารูปแบบธุรกิจจาก
“นายหน้า” มาเป็น “ผู้พัฒนาโครงการ”
ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าจากของที่มีมูลค่าต่ำ (value added) หรือ
สร้างมูลค่าขึ้นใหม่จากสิ่งที่ไม่มีค่า (value creation)คือ
เอาโครงการหรือสัมปทานใด ๆ
จากเจ้าของเดิมมาปรับปรุงเสียใหม่แล้วขายต่อออกไป
เขาจึงมีรายได้จากกำไรส่วนต่างที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ และเหมืองเพชรและเหมืองแร่มีค่าใน แอฟริกา
เป็นต้น เขายังเป็นผู้ร่วมบริหารกองทุนขนาดใหญ่ของอาหรับอีกอย่างน้อย ๔
กองทุน
ในวิกฤติเศรษฐกิจโลกเขาเป็นผู้ส่งเสริมให้ทุนอาหรับไปร่วมมือกับทุนจีน
ช่วย<i>ปูติน</i>แก้ปัญหาเศรษฐกิจรัสเซีย
และอาจมีส่วนให้ความเห็นการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป
ในประเด็นว่าควรจะเน้นที่การกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า
มาตรการรัดเข็มขัดอย่างเดียว ซึ่งหมายถึง
การเน้นหนักที่เศรษฐกิจภาคผลิตแท้จริง มากกว่าเศรษฐกิจภาคการเงิน ด้วย <b>การเพิ่มการลงทุนและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต</b>แนวทางที่<i>โอลองด์</i>ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนใหม่เสนอ เป็นแนวทางคู่ขนาน (dual tracks)อย่างเดียวกับที่<i>ทักษิณ</i>เคยใช้ได้ผลในประเทศไทยมาก่อน (ระยะหลัง ๆ นี้ทักษิณไปฝรั่งเศสบ่อยมาก) ฯลฯ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกอำมาตย์แทนที่จะทำลาย<i>ทักษิณ</i>ลงได้กลับเป็นผู้ส่งเสริมเสียเองให้<i>ทักษิณ</i>มี
ฐานะร่ำรวยยิ่งกว่าเดิมและขึ้นไปมีบทบาทระดับเวทีโลก
จนเงินหลายหมื่นล้านที่ถูกอำมาตย์ปล้นเอาไป
และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยจึงกลายเป็นของเล็กน้อยเท่านั้น
และมันจะเป็นความโง่เง้าอย่างยิ่งหาก<i>ทักษิณ</i>จะกลับมาเป็นนายกฯไทยอีก
ครั้งจริง ๆยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป
ทำให้จอมอำมาตย์ต้องประสบกับความเสียหายเป็นอย่างมากจากการไปลงทุนจำนวนมาก
ในยุโรป โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ ใน กรีซ อิตาลี โปรตุเกส
และสเปนจึงจำต้องด้านหน้าเรียกใช้<i>ทักษิณ</i>ให้มาช่วยกอบกู้ตนอีกครั้ง ทั้งทางเศรษฐกิจนอกประเทศและการเมืองในประเทศ นี่จึงเป็นที่มาของการยินยอมให้ทักษิณเคลื่อนไหวปรองดองขึ้น<br />
<br />
<i>ทักษิณ</i>แม้จะเป็นตัวแทนแห่งยุคทุนนิยม อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของ<i>ทักษิณ</i>
เขาก็เป็นผลผลิตของระบอบอำมาตย์ฯ
และสำนึกตลอดเวลาว่าเขาเป็นข้าช่วงใช้ที่จงรักษ์ภักดีตลอดกาลของจอมอำมาตย์
แต่จอมอำมาตย์กลับมองว่าเขาทรยศเป็นกบฏ
จะแย่งฐานะและอำนาจของเขาไปจึงต้องการกำจัด<i>ทักษิณ</i>เสีย แม้<i>ทักษิณ</i>จะ
ถูกกระทำจากเจ้านายของเขาอย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม
ก็หาได้สั่นคลอนจิตวิญญาณทาสของเขาลงไปได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นความโลเล
และการยอมจำนนสวามิภักดิ์ที่ไม่สิ้นสุดของเขา
ตัวเขาเองจึงได้ทำลายความหวังของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยลงไปอย่าง
น่าเสียดาย<br />
<br />
จึงชี้ได้ว่า ธาตุแท้ของ<i>ทักษิณ</i>ก็คือ ชนชั้นปกครองพวกเดียวกันกับอำมาตย์นั่นเอง จึงไม่มีวันที่<i>เขา</i>จะปฏิวัติ แต่จะค้านการปฏิวัติอยู่ตลอดไป เราก็มองเห็นอีกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ <i>เขา</i>นั่นแหละจะเป็นผู้ทำลายขบวนการคนเสื้อแดง และเมื่อทำลายเสร็จ<i>เขา</i>ก็จะถูกเจ้านายของเขากำจัดลงไปในที่สุด เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์ของศักดินาทั่วโลก เว้นแต่ว่า<i>ทักษิณ</i>จะสามารถปลดแอกจากจิตสำนึกทาสของตนเองได้ ซึ่งคงจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยาก ความโลเล และความจงรักษ์ภักดีของ<i>ทักษิณ</i>
ในที่สุดก็จะทำลายตัวเขาลงไปด้วย
และก็จะถูกประณามจากทั้งฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายประชาชนว่าเป็นผู้ทรยศ .....
ช่างน่าเสียดายจริง ๆอย่างไรก็ตามไม่ว่า<i>ทักษิณ</i>จะร่วมในขบวนการประชาธิปไตยหรือไม่ การปฏิวัติประชาธิปไตยก็จะดำเนินต่อไป<br />
<br />
สิ่งที่ควรกระทำต่อ<i>เขา</i>ในเวลานี้ก็คือ
การให้คุณค่าแก่คุณูประการที่เขามีส่วนสำคัญทำให้ประชาชนจำนวนมากตื่นขึ้นมา
เห็นความชั่วร้ายของระบอบอำมาตยาธิปไตย แล้วเข้าร่วมการต่อสู้ประชาธิปไตย
เมื่อ<i>ทักษิณ</i>ไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ขั้นต่อไปและยังไม่หันมาเป็น
ปฏิปักษ์ต่อประชาชน ก็ควรวางเขาไว้เป็น “มิตร”
แต่จอมอำมาตย์คงไม่ยอมจะให้เป็นแค่เท่านั้น เมื่อ <i>ปชป.</i> ไม่สามารถจะเป็นเครื่องมือให้เขาได้ต่อไปแล้ว ก็จะกำจัดทิ้งเสียแล้วหันมาใช้ “<i>เพื่อไทย</i>” แทนชั่วคราวแล้วก็จะผลัก<i> ทักษิณ</i>ให้เข้ามาเผชิญหน้ากับประชาชนแทนตัวเองต่อไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณทาสของตัว <i>ทักษิณ</i> เองว่าจะมีอำนาจแรงเพียงใด ประชาชนเราไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงแทน<i>ทักษิณ</i> ปล่อยให้เขาแบกปัญหาของตัวเขาเองไปก็แล้วกัน<br />
<br />
อีกแง่มุมหนึ่ง ก็ต้องให้ความเป็นธรรมและความเห็นอกเห็นใจต่อ<i>ทักษิณ</i> เนื่องจากส่วนสำคัญของการดำรงอยู่และการทำมาหากินของ<i>ทักษิณ</i>ทุกวันนี้ มาจากความเกื้อหนุนอย่างเต็มที่ของเจ้าอาหรับทั้งหลาย ทั้ง <i>ดิอิมิเร็ตส์</i>และ<i>ซาอุดิอารเบีย</i>คง
ไม่เป็นการดีแน่นอนหากเขาจะโจมตีระบอบเจ้าไทย
ที่จะมีผลกระทบต่อระบอบกษัตริย์ทั้งโลก
เพื่อการดำรงอยู่ให้ได้โดยมีเจ้าแหรับคุ้มครองสนับสนุน
เขาจึงไม่อาจเปิดศึกตรง ๆ กับเจ้าไทยได้
แม้จะอึดอัดแต่ก็ยังดีกว่าไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่นอนข้อเท็จจริงอันนี้จึง
ต้องนำมาพิจารณา<br />
<br />
เรื่องอย่างนี้เป็นตลกร้าย ยากที่จะเข้าใจได้ เมื่อไม่มีทักษิณ
โดยการทำลายของจอมอำมาตย์ หรือโดยตัวของเขาเองแล้ว
เท่านั้นการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยจึงจะดำเนินต่อรุดหน้าไปได้โดยสะดวก
ตามวิถีทางของมัน คุณูปการอย่างเดียวของทักษิณก็คือ
กรณีของเขาทำให้ประชาชนไทยส่วนจำนวนมหาศาลได้หูตาสว่างขึ้นมาเห็นความชั่ว
ร้ายทั้งปวงของระบอบอำมาตยาธิปไตยและตัดสินใจเข้าร่วมการปฏิวัติ<br />
<br />
<b>สรุป</b><br />
<br />
ที่กล่าวมานี้
คงทำลายกำลังใจของคนที่ที่มีจิตใจเร่าร้อนต้องการที่จะเรียกชำระคืนหนี้แค้น
และปรารถนาให้ประชาชนเราบรรลุชัยชนะโค่นล้มระบอบเผด็จการได้โดยเร็ว
ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังจะต้องใจดำ ย้ำว่า
การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ยากลำบากและเจ็บปวดแสนสาหัส
ไม่มีทางลัด แม้นดูเหมือนว่าจะมี“ทางลัด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป
มันก็จะพาผู้คนหวนกลับมาสู่ที่เดิมอยู่ดี เหมือนกับ การยึดอำนาจ ๒๔
มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลานั้นราก็มีคณะราษฎร์
ก็มีลักษณะการนำที่ไม่แตกต่างไปจากที่เรามีอยู่ในเวลานี้ไม่มีผิดเพี้ยน<br />
<br />
การนำโลเล ไม่ปฏิวัติ ไม่มีทฤษฎีชี้นำ ไร้ยุทธศาสตร์
และไร้เดียงสาทางการเมือง จึงสู้แบบปิดหูหลับตา สู้ไปกราบไป
ราวกับเป็นนิยาย “ดาวพระศุกร์”
ร้องหาแต่จะสามัคคีกับศัตรูที่ไม่อาจสามัคคีได้ ในอีกทางกลับละเลยไม่สนใจ
และเหยียบย่ำมิตรที่แท้จริงของตน อย่างนี้จึงเกิดปรากฏการ “จะชนะอยู่แล้ว
ก็ดันไปยอมรับการเจรจากับศัตรูที่กำลังเสียท่าจวนตาย
เปิดโอกาสให้ศัตรูมันตั้งตัวได้แล้วหวนมาทำลายเข่นฆ่าฝ่ายตนเอง”เหล่านี้
เป็นผลมาจากวิธีคิดแบบกลไก ซึ่งเป็นพัฒนาการของลัทธิจิตนิยม
มองเห็นเพียงด้านเดียว และหยุดนิ่ง
บทเรียนเช่นนี้ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะในประเทศไทย
แต่หากเกิดขึ้นทั่วโลกนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครนำมาไคร่ครวญทบทวนศึกษา<br />
<br />
อย่างเวลานี้ น่าจะใช้การกดดันอย่างหนักต่อกระบวนการยุติธรรม
อันเป็นเครื่องมือสุดท้ายของพวกเผด็จการที่เปราะบางที่สุด
ถ้ารัฐบาลทำไม่ได้ ก็ให้เอาคนเสื้อแดงไปจัดการ
คนเสื้อแดงที่กำลังฟัดกับมันอยู่ในแนวรบนี้ก็มีกำลังเบาบางเกินไป
น่าจะระดมกับเป็นแสนเป็นล้านมาขับไล่มัน แต่ศูนย์การนำหลักกลับไม่ทำอะไร
เมื่อละทิ้งโอกาสนี้แล้วในวันข้างหน้าเมื่อเราหมดกำลัง
มันก็จะใช้ไอ้พวกศาลนี้แหละมาบดขยี้เราโดยไร้ปราณีอย่างที่แล้ว ๆ มา
จนกระทั่งเมื่อ “อากง” เสียชีวิตในคุก จึงเกิดแรงประทุขึ้นมาอีกครั้ง นปช.
จะอยู่เฉยก็คงไม่ได้ต้องออกมาแสดงตัว
แม้จนกระทั่งเมื่อจตุพรถูกตัดสินให้สิ้นสภาพ
ส.ส.จนบัดนี้ก็ไม่มีการช่วงชิงโอกาสขยายผลเข้าจู่โจมกระบวนยุติธรรม
ปฏิกิริยาแต่อย่างใดสำหรับผู้เขียนดูไปแล้ว นปช.
ที่ไม่เคยสรุปบทเรียนอะไรเลย ก็จะนำพาประชาชนไปเสียหายอีกเช่นเคย
ซึ่งอันนี้เสื้อแดงจะไปตีพวยตีพายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
ตอกย้ำว่า บทเรียนของประชาชนแต่ละบทนั้นช่างมีราคาแพงมากเสมอ
และในที่สุดประชาชนก็จะสามารถสรุปบทเรียนของตนได้และก้าวรุดหน้าต่อไป<br />
<br />
ที่เกริ่นมาตั้งนานนี้ เป็นการนำเสนอทางภววิสัยหนึ่งในมุมแคบ ๆ
ผู้อ่านสมควรใคร่ครวญ ก่อนที่จะ อ่านต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจริง ๆ
บทความนี้ก็อยากจะให้ ทรรศนะต่อ “สงคราม”
ที่คนบางส่วนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้
สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้อาจจะเป็นสิ่งที่น่าหดหู่สำหรับหลายคนที่กำลังเร่า
ร้อนอยากลงโทษศัตรู
และเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่รวดเร็วแต่ก็อยากให้กำลังใจว่านิดหนึ่งว่า
บางทีสงครามอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่หากมีเงื่อนไขครบถ้วน<b>ในการ
ปฏิวัติทุกครั้งทุกแห่งในโลกก็ล้วนแล้วแต่ เริ่มจากไม่มีไปสู่มี
จากเล็กไปสู่ใหญ่ จากความพ่ายแพ้ไปสู่ชัยชนะ
ตามกฎแห่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
แม้ว่าการปฏิวัติจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพอย่างฉับพลันทันทีทันใด
แต่กระบวนการสะสมเชิงปริมาณก่อนที่จะเกิดการปฏิวัตินั้น
ก็มีมาแล้วเป็นเวลานาน</b>อย่างเช่น
การปฏิวัติคิวบาที่เริ่มต้นจากพลพรรคปฏิวัติเพียงแค่ ๑๒ คน เท่านั้น
แต่ก่อนหน้านั้นขบวนการปฏิวัติคิวบาถูกปราบปราม
ต้องประสบความพ่ายแพ้และสูญเสียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
กรณีของไทยก็มีพัฒนาการมาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเวลานานเสียด้วยซ้ำ<br />
<br />
<span style="text-decoration: underline;">มีตอนต่อไปครับ</span>
</div>
<div class="messageContent">
<article>
</article>
</div>
<br /><br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-87355848780538647852013-10-13T11:31:00.001+07:002013-10-13T11:34:14.017+07:00Turn My Exile to Learning Period (2) : Thaksin Shinawatra : Lifelong Learning<img alt="" class="spotlight" height="400" src="https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1385554_196706183847274_2101972148_n.jpg" width="400" /><br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;">Turn My Exile to Learning Period (2) </span><br />
Thaksin Shinawatra <br />
<br />
<span style="font-size: large;">Lifelong Learning <span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45,"tn":"*G"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span class="text_exposed_show">: การเรียนรู้ตลอดชีวิต </span></span></span></span><br />
<br />
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45,"tn":"*G"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption">วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ผมโง่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มานานและก็ได้บทเรียนมาเล่า<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ให้ท่านฟังครับ เมื่อวันก่อนมีคนหนุ่มมีควา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มรอบรู้ดีมาพบผม มาคุยเรื่องไฟฟ้าพลังลม ผมก็พูดออกไปด้วยความมั่นใจ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>บนพื้นฐานของความรู้สึกว่า บ้านเราลมไม่แรงทำไฟฟ้าพลัง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ลมคงลำบาก เขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ลยีพัฒนาไปไกล ลมไม่ต้องแรงมากก็สามารถผลิ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ตกระแสไฟฟ้าได้ ผมก็เลยบอกว่ายังงั้นคงต้อง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ไปทำแถวริมทะเลเพราะลมจะแรง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>หน่อย ผมเ<span class="text_exposed_show">ชื่อว่าคนทั่วไปก็จะคิดแบบผ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ม รู้ไหมเขาบอกผมว่าอย่างไร <br /> <br /> เขาบอกว่าที่ไปทำกันริมทะเล<wbr></wbr>เจ๊งกันเป็นแถวเพราะเป็นลมผิวล่างไม่ใช่ลมบน ลมมันอ่อนมากไม่พอผลิตกระแส<wbr></wbr>ไฟฟ้า ผมไปเอาแผนที่ลมของ NASA (องค์การบริหารการบินและอวก<wbr></wbr>าศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา) มาศึกษาดู ปรากฎว่าเมืองไทยมีลมระดับสูงที่พอผลิตกระแสไฟฟ้าได้แถ<wbr></wbr>วๆโคราช ประกอบกับที่ดินที่จะเข้าไป<wbr></wbr>ปักเสาก็ไม่ใช่ป่าสงวน ทางเหนือก็พอมีลม แต่เป็นภูเขาผ่านป่าสงวน ปัญหาเยอะ <br /> <br /> ท่านครับ ผมถึงบางอ้อทันที มันบอกให้ผมรู้ว่าทุกอย่างอ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ย่าใช้ความรู้สึก ต้องใช้วิทยาศาสตร์และคำตอบ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ทางวิทยาศาสตร์มีอยู่เต็มไป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>หมด หาได้ง่ายมากในโลกยุคใหม่<br /> <br /> พอเขาพูดถึงแผนที่ NASA ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของแร่ธ<wbr></wbr>าตุและทรัพยากรทั้งหลาย NASA ก็มีแผนที่ที่เขาถ่ายจากอวก<wbr></wbr>าศมาทั้งโลก เขารู้หมดว่ามีอะไรอยู่ที่ไ<wbr></wbr>หนมากน้อยแค่ไหน อเมริกา รัสเซียจะเป็น 2 ประเทศที่รู้เรื่องนี้มาก ถึงได้มีการเดินหมากรุกการเ<wbr></wbr>มืองโลกเพื่อครอบครองทรัพยา<wbr></wbr>กร ท่านรู้ไหมครับว่าที่อัฟกานิสถานที่รัสเซียเคยเข้าไปแล<wbr></wbr>ะตอนนี้สหรัฐเข้าไปเป็นประเ<wbr></wbr>ทศที่มีทองคำ ทองแดง ก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก<wbr></wbr>ครับ อิรักมีน้ำมันมาก อิหร่านมีน้ำมันมาก ประเทศ DR Congo (Democratic Republic of the Congo) ที่แอฟริกามีแร่ธาตุในดินที่มีมูลค่ามากกว่า GDP ประเทศอเมริกาและยุโรปรวมกั<wbr></wbr>น สรุปให้เห็นว่าการเมืองระหว่างประเทศถูกผูกกับผลประโยช<wbr></wbr>น์ทางเศรษฐกิจและการเดินหมา<wbr></wbr>กรุกทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ<wbr></wbr> เราจึงต้องรู้ลึกรู้เหตุผลข<wbr></wbr>องการเดินเกมของแต่ละฝ่าย เราจึงจะไม่ตกไปอยู่ตรงกลาง<wbr></wbr>ของการปะทะกันครับ<br /> <br /> ที่ผมพูดมานี้อยากจะบอกว่า ถ้าเราไม่รู้จริงต้องตอบว่า<wbr></wbr>ไม่รู้และไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่รู้ว่าเราจะมีตำแหน่งฐาน<wbr></wbr>ะหรือภูมิหลังเป็นอะไรมา ไม่เช่นนั่นเราจะโง่ไปนาน คนเราทุกคนต้องเคยโง่มาก่อน<wbr></wbr>และต้องอย่าให้โง่นาน และต้องเรียนรู้และยอมหลุดจ<wbr></wbr>ากความโง่ความไม่รู้จริง โลกนี้เป็นโลกของ Lifelong Learning คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งอาจเกิดจากการอ่านหนังสือ การฟังสารคดีต่างๆ การไปพูดคุยกับคนมากๆ การไปดูนิทรรศการต่างๆ เรียนผิดเรียนถูกกับชีวิต หรือเรียนจากการเข้าอบรมสัม<wbr></wbr>มนา จะเป็นการเรียนเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ทั้งนั<wbr></wbr>้น <br /> <br /> โลกมีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>กนาที เราหยุดที่จะเปิดเครื่องรับ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ทางปัญญาเมื่อไหร่เราก็ตามโ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ลกไม่ทันเมื่อนั้น เมื่อเด็กจบปริญญา เรามักจะใช้คำว่าจบการศึกษา<wbr></wbr><span class="word_break"></span> ห้ามไปแปลว่าเลิกศึกษานะครั<wbr></wbr><span class="word_break"></span>บ ยังต้องศึกษานอกห้องเรียนต่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>อไป คือห้องเรียนชีวิตนั่นเอง ฝรั่งเขาใช้คำว่า commencement day แปลว่า วันเริ่มต้น<br /> <br /> ผมอยากจะฝากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่าต้องให้โอกาสคนรุ่นให<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ม่ได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น ได้แสดงความรู้ของเขา เพราะปริมาณข้อมูลและความรู้ที่เข้าในหัวเด็กปัจจุบันยยุคดิจิตอลมีมากกว่าสมัยเราเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยอะ อย่าไป take authority พูดเพื่อปิดความคิดของเด็กๆ<wbr></wbr><span class="word_break"></span> และมั่นใจว่าตัวเองเก่งสุด รู้สุด ใช่ครับหลายคนเก่งและรู้ แต่ไม่มีใครเก่งทุกเรื่องแล<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ะรู้ทุกเรื่อง แบ่งกันเก่งแบ่งกันรู้ดีที่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>สุดครับ ประเทศไทยตอนนี้เราต้องการค<wbr></wbr><span class="word_break"></span>วามสามัคคี ความรักชาติ แต่เราไม่อยากได้อีกด้านหนึ่งคือความอิจฉา ความหลงตัว และความคลั่งชาติครับ ต้องเดินสายกลางตามพระพุทธเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>จ้า มัชฌิมาปฏิปทาครับ</span></span></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-62839233190061421392013-10-13T11:24:00.001+07:002013-10-13T11:24:46.438+07:00Turn My Exile to Learning Period (1) : Thaksin Shinawatra : ONE ASIA<span class="userContent"></span><br />
<div class="text_exposed_root" id="id_525a1d5f8f98d0e20681941">
<span class="userContent"><img alt="" class="spotlight" height="400" src="https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1380683_196307323887160_286865386_n.jpg" width="400" /></span><br />
<span class="userContent"><br /></span>
<span class="userContent"><br /></span>
<span class="userContent"><b><span style="font-size: large;">Turn My Exile to Learning Period (1)</span></b></span><br />
<span class="userContent">Thaksin Shinawatra </span><br />
<span class="userContent"><br /></span>
<span class="userContent"><b><span style="font-size: large;">ONE ASIA</span></b></span><br />
<span class="userContent"><br /></span>
<span class="userContent"><span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45,"tn":"*G"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"></span></span></span><br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_525a1fdb689149398494650">
<span class="userContent"><span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45,"tn":"*G"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"> หัวข้อนี้ผมอยากจะบอกว่าการ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ที่ผมต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ระเทศ นั้นผมก็ไม่ยอมให้เสียเวลาโ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ดยสูญเปล่า นั่งเศร้าสร้อยเครียดอยู่คง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนที่ตอนผมบวชพระสวดมนต<wbr></wbr><span class="word_break"></span>์ตอนเย็น ก็จะมีตอนหนึ่งบอกว่า วันคืนล่วงไป ล่วงไปบัดนี้เราทำอะไรอยู่ ผมก็เลยต้องเปลี่ยนวิกฤตให้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เป็นโอกาส โดยการใช้เวลาเรียนรู้เรื่อ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>างใกล้ชิด เข้าถึงให้มากที่สุด ผมได้เห<span class="text_exposed_show">็นโลกในทุกมิติ ทั้งโลกมืด โลกมัวๆ และโลกสว่างไสว แล้วก็หันมามองเมืองไทยเพื่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>อจะทำทุกอย่างให้เกิดประโยช<wbr></wbr><span class="word_break"></span>น์กับประเทศไทย เพราะถึงแม้ว่าผมจะไปอยู่มุ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มไหนของโลก ก็คิดตลอดเวลาว่าผมเป็นคนไท<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยที่รักประเทศไทย <br /> <br /> แน่นอนครับ ผมอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้กับคร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>อบครัว ไม่ได้มีโอกาสให้ความอบอุ่น<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ครอบครัวอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ฝึกฝนลูกๆอย่างใกล้ชิ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ด ผมก็ต้องปรับตัว เป็นการให้ความอบอุ่น ให้ความรู้ ประสบการณ์จากที่ห่างไกล แต่ครอบครัวผมก็เข้มแข็งกัน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ทุกคน ก็อยากจะบอกกับ ผู้ที่รักและปรารถนาดีกับผม<wbr></wbr><span class="word_break"></span>และครอบครัวว่า เราอดทน และจะใช้โอกาสนี้สร้างเครือ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ข่ายเพื่อนๆ ทั้งระดับเศรษฐกิจและการเมื<wbr></wbr><span class="word_break"></span>องระหว่างประเทศ ตลอดจนด้านวิชาการ ให้ได้มากที่สุด และก็จะทยอยแลกเปลี่ยนกับคน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ไทยผ่าน Facebook ของผมไปเรื่อยๆเท่าที่จะมีเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>วลาครับ<br /> <br />
วันที่ 15 ตุลาคมนี้ ผมก็จะไปพูดเรื่อง One Asia ซึ่งตอนนี้ก็มีการพูดถึง
One Asia มากขึ้นเพราะ Asia เป็น Economic Growth Area ของโลกอยู่ในขณะนี้
เพราะ Asia เป็นทวีปเดียวที่ไม่มี Continent Wide Forum
เพราะเรามีความขัดแย้งอยู่เ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ป็นที่ๆ เช่น เกาหลีเหนือ/เกาหลีใต้ อินเดีย/ปากีสถาน ปาเลสไตน์/<wbr></wbr><span class="word_break"></span>อิสราเอล นอกจากนั้นยังมีปัญหาในอีกหลายประเทศ อีกทั้งเรายังเป็นทวีปที่ให<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด มีคนยากจนมากที่สุด มีคนรวยรวมแล้วก็มากที่สุด ความพยายามที่จะทำให้เราเป็<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นหนึ่งเดียวของทวีปเอเชียเป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>็นเรื่องที่ทำมานานมาก ซึ่งผมก็เคยได้ริเริ่ม ACD (Asia Cooperation Dialoque) ตอนที่ผมยังเป็นนายกฯแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกไม่ครบทั้ง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ทวีป แต่ก็เป็นประเทศสำคัญๆทั้งน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ั้น<br /> <br /> วันนี้อยากเล่าเรื่องจีนให้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ฟังครับ ว่าวันนี้จีนได้พัฒนาไปมากแ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ละเร็วกว่าที่ทุกคนจะคิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนเป็น<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ประเทศ
ที่มียุทธศาสตร์ ในการก้าวเดินตลอดเวลา มีการใช้ระบบที่เรียกว่า Division
of Labor มาประยุกต์เข้ากับกาลสมัย เขามีโครงสร้างของพรรค
คู่ขนานกับโครงสร้างชองการบ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ริหาร โดยให้โครงสร้างของพรรคทำหน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้าที่กำหนดและควบคุมนโยบายแ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ละยุทธศาสตร์ <br /> <br /> ส่วนโครงสร้างของฝ่ายบริหาร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มีหน้าที่ปฏิบัติและใกล้ชิด<wbr></wbr><span class="word_break"></span>กับการบริการประชาชน โดยทั้งสองฝ่ายทำงานด้วยกัน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>อย่างใกล้ชิดมีวินัย โดยแบ่งเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ชั้นหมู่บ้าน ขึ้นไปถึงชั้นอำเภอ จังหวัด และมณฑล แม้กระทั่งกระทรวงก็ยังมีเล<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ขาพรรคประจำทุกกระทรวง ที่พูดมานี้อาจจะใช้ไม่ได้ส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ำหรับบ้านเรา แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า การทำงานให้สำเร็จต้องทำอย่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>างมียุทธศาสตร์ มีการกำกับนโยบายให้เป็นไปต<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ามยุทธศาสตร์ และมีการติดตาม ประเมินผลงานตลอดเวลา <br /> <br /> นอกจากนั้นจะต้องมีการมองภา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>พใหญ่ ลงมาจนถึงภาพเล็กๆ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ารสั่งการครั้งหนึ่งจากจุดส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ูงสุดจะลงไปถึงทุกจุดอย่างร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>วดเร็ว อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ประเทศใหญ่ๆอย่างจีนและอเมร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ิกาก็คือเวลาผมไปพบระดับบริ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>หารท่านหนึ่ง พูดอะไรไว้ ก็จะมีการส่งบทสนทนาไปยังผู<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ<wbr></wbr><span class="word_break"></span> เช่นผมพูดกับรัฐมนตรีว่าอย่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>างไร พอไปพบระดับนายกฯเขาจะทราบเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รื่องและต่อเรื่องได้ทันที ทำให้การเจรจาความระหว่างปร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ะเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าพครับ <br /> <br /> มาจีนคราวนี้ได้รับเชิญให้ไ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ปพบระดับสูงมาหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ไทย-จีน และอาเซียน-จีนครับ</span></span></span></span></div>
<span class="userContent"><span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45,"tn":"*G"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption">
</span></span></span></div>
<span class="userContent">
</span><span class="userContent"> </span><span class="userContent"> </span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-38665149586358355832013-10-13T11:11:00.001+07:002013-10-13T11:19:42.242+07:00Me and My Country (1) : Thaksin Shinawatra เบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ<br />
<div style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;">
<img alt="" class="spotlight" height="400" src="https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/1375158_195375103980382_921462560_n.jpg" width="400" /></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /><br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">Me and My Country (1) </span></b><br />
Thaksin Shinawatra <br />
<br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_525a1dcaa16753993520258">
<span style="font-size: large;"><b>เบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่น</b></span></div>
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_525a1dcaa16753993520258">
<span style="font-size: large;"><b>ในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ</b></span><br />
<br />
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เล่าเรื่องเบื้องหลังการเจร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>จากับญี่ปุ่นในการสร้างสนาม<wbr></wbr><span class="word_break"></span>บินสุวรรณภูมิครับ <br />
<br />
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ระกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>จำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี<span class="text_exposed_show">่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้าน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้ <br /> <br /> ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤต<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ิเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน<wbr></wbr><span class="word_break"></span> เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งเกินจริงและรองรับผู้โดยสา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บร<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ิษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ไม่จริง <br /> <br /> ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้อ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งยกเลิกการประมูลและแก้แบบใ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>หม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่ <br /> <br /> ผลปรากฎว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลั<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว<wbr></wbr><span class="word_break"></span> ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย <br /> <br /> และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องกา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รของเขาและของเรา) <br /> <br /> ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น<wbr></wbr><span class="word_break"></span> แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน <br /> <br /> ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดด<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้อ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มี<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว<wbr></wbr><span class="word_break"></span>่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา <br /> <br /> ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้าม<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าประกอบกับการปรับนโยบายของ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น<wbr></wbr><span class="word_break"></span> เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสาม<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้อง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้ <br /> <br /> ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได<wbr></wbr><span class="word_break"></span>้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งห<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ว่าอีก 6 เดือนจะชำระ <br /> <br /> ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทย<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไท<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย <br /> <br /> สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศา<wbr></wbr><span class="word_break"></span>สตร์การเงินและการทำงานที่ค<wbr></wbr><span class="word_break"></span>วบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในท<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ี่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ราได้ใช้บริหารและสร้างรายไ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ด้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ</span></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-73205216898713268222013-10-07T13:34:00.002+07:002013-10-07T13:36:32.520+07:00ลีกวนยู มองอะไรในอเมริกา? <span class="userContent"><span style="font-size: x-large;"><b>ลีกวนยู มองอะไรในอเมริกา? </b></span></span><br />
<span class="userContent"><span style="font-size: x-large;"><b> </b></span><br /><a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151981494356518&set=a.10150123272946518.323308.251446551517&type=1&theater">ลีกวนยูมองอะไรในอเมริกา ตอนที่ 1.</a><br /><br /><a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151981494356518&set=a.10150123272946518.323308.251446551517&type=1&theater">ลีกวนยูมองอะไรในอเมริกา ตอนที่ 2.</a></span><br />
<br />
<br />
<span class="userContent"><span class="userContent"><span style="font-size: large;"><b>อเมริกาจะยังคงยิ่งใหญ่ต่อไปหรือไม่ในทศวรรษหน้านี้</b>?</span><br /> <br />
เราได้นำเสนอจีนจากสายตาของลีกวนยูไปสองตอนแล้ว ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส
และยุทธศาสตร์ที่ควรจะเป็น ตอนต่อไปนี้เป็นตอนสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะจะทำให้เราทราบมุมมอง<span class="text_exposed_show">ของผู้นำระดับ
โลกเช่นลีกวนยูในการประเมินสถานการณ์อเมริกาตามความเป็นจริง <br /><br />SIU
ค่อนข้างเห็นพ้องกับลีกวนยูหลายประเด็น เรามาติดตามดูกันครับ <br /> <br /> และเราจะปิดท้ายซีรี่ส์นี้ด้วยการปรับตัวของสองยักษ์มหาอำนาจนี้ และผลกระทบกับการเมืองเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งความท้าทายต่อไป</span></span></span><br />
<span class="userContent"><img alt="" class="spotlight" src="https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1011788_10151981494356518_1522223648_n.jpg" style="height: 512px; width: 499px;" /><br /><br /><br /> <br /> <span class="text_exposed_show"><br /> <br /><b> คำถาม: อเมริกากำลังตกอยู่ในการ "อ่อนกำลังลง" อย่างเป็นระบบหรือไม่?</b></span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"><br />
ลีตอบ: ไม่เลย
แม้ว่าอเมริกากำลังตกที่นั่งลำบากในการแก้ปัญหาเรื่องหนี้และการขาดดุลงบ
ประมาณ แต่ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าอเมริกาจะกำลังตกต่ำลงเป็นประเทศชั้นสอง<br /> <br />
อเมริกาแสดงให้เราเห็นว่าพวกเขาสามารถฟื้นตัวและกลับคืนมาได้แล้วในประวัติ
ศาสตร์ จุดแข็งของอเมริกาไม่ได้อยู่แค่เรื่องความคิด
แต่สามารถคิดได้กว้างขวาง เต็มไปด้วยจินตนาการ และมีลักษณะมุ่งผลสัมฤทธิ์
พวกเขามีศูนย์ความเป็นเลิศหลากหลายที่จะแข่งขันกันสร้างนวัตกรรม
ค้นหาแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
แถมสังคมนี้ยังสามารถดึงดูดอัจฉริยะหลากหลายจากทั่วโลกมารวมตัวกัน
ภาษาอังกฤษที่อเมริกาใช้เป็นหลักนั้นเล่าก็เป็นภาษาของโลก (lingua franca)
ที่เป็นที่ยอมรับของผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม ธุรกิจ การศึกษา
การทูต
และแม้กระทั่งใครก็ตามที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับบนสุดของสังคมของตน
ทั่วโลก<br /> <br />
แม้ว่าอเมริกาจะเผชิญหน้าความยากลำบากทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
แต่จิตวิญญาณด้านการสร้างสรรค์ ความสามารถในการฟื้นฟูสภาพ
และการสร้างนวัตกรม จะทำให้ให้พวกเขาสามารถหยัดยืนต่อปัญหาหลักต่าง ๆ ได้
แล้วสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น
แล้วฟื้นขีดความสามารถในการแข่งขันกลับมาอีกครั้ง<br /> <br />
ในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า อเมริกายังคงเป็นสุดยอดอำนาจขั้วเดี่ยว
อเมริกามีพลังอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
และมีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็นพลวัตสูงที่สุดด้วยเช่นกัน
ในระบบเศรษฐกิจนั้นมีจักรกลในการสร้างการเติบโตอยู่สามประการคือ นวัตกรรม
ความสามารถในด้านผลิตภาพ และ การบริโภค<br /> <br />
อเมริกายังคงเป็นผู้กำหนดเกมในช่วงระยะเวลาอีกสามสิบปีข้างหน้า
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสันติภาพ
หรือเสถียรภาพในระดับนานาชาติใดก็ตามไม่อาจแก้ไขได้หากปราศจากการนำ
ของอเมริกา ยังไม่มีประเทศ
หรือกลุ่มประเทศใดก็ตามในโลกที่สามารถแทนที่อเมริกาในฐานะอำนาจที่สามารถ
บงการโลกได้<br /> <br /> อเมริกาเผชิญความท้าทายจากสงครามก่อการร้ายในช่วง
9/11 ความช็อคจากสถานการณ์ในขณะนั้นไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้
และพวกเขาไม่รีรอที่จะใช้พลังอำนาจทางทหารเพื่อเปลี่ยนเกมจากพวกก่อการร้าย
ตามล่าไปสุดขอบโลก พบแล้วทำลายเครือข่ายก่อการร้ายอย่างถอนรากถอนโคน<br /> <br />
ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า อเมริกากำลังจะกลายเป็น "จักรวรรดิ์อเมริกา"
แบบเสมือนจริง ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ส่วนใดบนผืนพิภพ
เราจำเป็นจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับกิจการและผลิตภัณฑ์ของบรรษัทอเมริกัน
ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
จักรวรรดิ์จะต้องรวบรวมผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างเผ่าพันธุ์
ต่างศาสนา เข้าเป็นหนึ่งเดียว<br /> <br /><b> คำถาม: จุดแข็งของอเมริกาคืออะไร?</b><br /><br />
ลีตอบ: ทัศนะที่ว่า "เราสามารถทำได้" (a can-do approach to life)
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทุกสิ่งสามารถถูกแยก ถูกวิเคราะห์
และถูกรื้อกำหนดใหม่ขึ้นมาได้ ต่อให้ทำได้หรือไม่ก็ตาม
คนอเมริกันเชื่อว่ามันสามารถแก้ไขได้ ถ้าใส่เงิน การวิจัย
และความพยายามลงไปเพียงพอ
ลีบอกว่าตลอดช่วงชีวิตเขาได้เห็นอเมริกาได้ปรับแต่งและปรับโครงสร้างทาง
เศรษฐกิจของตนครั้งแล้วครั้งเล่า นับแต่พวกเขาจมลงในทศวรรษ 1980
แล้วดูเหมือนกับญี่ปุ่นและเยอรมนีจะแซงหน้าอเมริกาไป
แต่แล้วเศรษฐกิจอเมริกาก็หวนกลับมาคำรามอีกครั้ง
ระบบของอเมริกาเป็นระบบที่มีความยอดเยี่ยม
มันมีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือใคร<br /> <br />
สิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาสามารถเอาชนะคนอื่นได้คือ วัฒนธรรมผู้ประกอบการ
ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงและความล้มเหลวเป็นเรื่อง
ธรรมดาในชีวิต และมีความจำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ เมื่อพวกเขาล้มเหลว
พวกเขาก็ลุกขึ้นใหม่แล้วเริ่มต้นด้วยความสดชื่นอีกครั้ง
ตอนนี้ทั้งญี่ปุ่นและยุโรปจำต้องหาทางรับวัฒนธรรมนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
และขีดความสามารถการแข่งขันของตน
แต่ปัญหาคือวัฒนธรรมอเมริกันแบบนี้ขัดแย้งกับวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นส่วน
รวมของพวกเขา อาทิเช่นญี่ปุ่นมีประเพณีการจ้างงานชั่วชีวิต
พวกเยอรมันมีระบบสหภาพที่ต้องทำการตัดสินใจร่วมกับระดับบริหาร
ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสสนับสนุนสหภาพกดดันนายจ้างให้ต้องจ่ายค่าชดเชยหากมีการ
ปลดคนงานออก<br /> <br /> สหรัฐอเมริกาเป็นสังคม "ชายแดน"
พวกเขาเชื่อในเรื่องการสร้างกิจการใหม่และสร้างความมั่งคั่ง
นี่ทำให้สหรัฐเป็นสังคมที่มีพลวัตในการสร้างนวัตกรรม
แล้วสร้างบริษัทเกิดใหม่เพื่อหาทางทำมาค้าายกับนวัตกรรมที่ค้นพบใหม่นั้นให้
ได้ และนั่นก็คือการสร้างความมั่งคั่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
สังคมอเมริกันจึงเป็นสังคมที่มีความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทุก ๆ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา
จะมีคนมากกว่าจำนวนมากที่ต้องพยายามแล้วก็ล้มเหลว
คนน้อยลงไปอีกที่ล้มเหลวแล้วยังพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งประสบความ
สำเร็จ
แล้วน้อยยิ่งกว่าน้อยที่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ยังจะสร้างและเริ่ม
กิจการใหม่ ๆ ให้เติบโตเพิ่มต่อไปอีก
นี่เป็นจิตวิยญาณที่สร้างเศรษฐกิจที่เปี่ยมพลวัต<br /> <br /> วัฒนธรรมของอเมริกันนั้นหรือ ก็คือเริ่มจากศูนย์แล้วเอาชนะคุณ!<br /> <br />
ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ลีให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะต้องฟื้น
ตัวกลับมาอย่างแน่นอน เมื่ออเมริกันพ่ายให้กับญี่ปุ่นและเยอรมันในการผลิต
พวกเขากลับมาด้วย อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟต์ บิลล์ เกตส์ และเดลล์
มีกรอบความคิดแบบไหนที่ทำให้คุณทำได้แบบนี้บ้าง?
นี่แหละที่เป็นเส้นทางในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
พวกเขาเดินทางไปในทวีปที่รกร้างว่างเปล่า แล้วฆ่าพวกอินเดียนแดง
ยึดเอาทุ่งไร่ท้องนาและฝูงกระทิง จากนั้นก็พวกเขาก็ตกลงกันเองว่า
ใครจะสร้างเมืองที่นั่นที่นี่ แล้วก็ให้ใครสักคนเป็นนายอำเภอ
ใครอีกคนเป็นผู้พิพากษา อีกคนเป็นตำรวจ ส่วนอีกคนเป็นทนายความ
แล้วก็เริ่มลงมือกันเลย วัฒนธรรมแบบนี้แหละยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
มันเป็นความเชื่อว่าเราสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้<br /> <br />
ถ้ามองในเชิงสถิติ เป็นกราฟแบบระฆังคว่ำ
อเมริกันเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปหรือญี่ปุ่น
พวกเขามีพวกสุดปลายทั้งสองขั้วมากกว่า
นั่นหมายถึงว่ามีโอกาสในการเกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมยิ่งกว่าด้วย
ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะสัคมอเมริกันให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกสูงสุด
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอเมริกันมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ล้ำหน้า
พร้อมทั้งมีประสิทธิภาพจนถึงขีดสุดและสูงกว่าใครเพื่อน<br /> <br />
อเมริกาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่จากอำนาจและความมั่งคั่ง
แต่เป็นเพราะพวกเขาขับเคลื่อนประเทศชาติไปตามอุดมคติอันสูงส่ง
เราไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมอเมริกาใช้พลังของตนผ่านสงครามโลกทั้งสอง
ครั้ง และสงครามเย็น พวกเขายังคงแบ่งปันความมั่งคั่งของตน
เพื่อสร้างโลกที่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง
อาจจะพูดได้ว่าอเมริกาใช้กำปั้นน้อยกว่ามหาอำนาจในอดีตที่เคยมีมา
ตราบใดที่เศรษฐกิจอเมริกายังคงเป็นตัวนำในโลก ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ตราบนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น หรือ จีน
ก็ไม่สามารถจะแทนที่ตำแหน่งที่โดดเด่นเหนือประเทศอื่นได้ในปัจจุบัน.</span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"><img alt="" class="spotlight" height="261" src="https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/996899_10151983489101518_2029930002_n.jpg" width="400" /><br /></span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"><span class="userContent"><b> คำถาม: จุดอ่อนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคืออะไร</b><br /><br />
ลีตอบ: เมื่อคุณมีประชาธิปไตยที่ใช้เสียงส่วนใหญ่
เพื่อจะชนะการเลือกตั้งคุณจะต้องให้มากขึ้นและมากขึ้น
เพื่อเอาชนะคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งถัดไป คุณสัญญาว่าจะให้มาก<span class="text_exposed_show">ขึ้น ดังนั้นมันจึงเป็นกระบวนการประมูลแบบไม่มีวันจบวันสิ้น -- แล้วต้นทุนของมันก็คือหนี้ที่คนรุ่นต่อไปต้องจ่าย<br /> <br />
ถ้าประธานาธิบดีใช้ยาแรงกับประชาชน เขาจะไม่ได้รับเลือกตั้งอีก
ดังนั้นจึงมักจะยืดเวลาที่จะดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นที่ถูกใจประชาชนเพื่อเอา
ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นปัญหาอย่าง การขาดดุลงบประมาณ หนี้
อัตราการว่างงานสูง จะถูกส่งไปยังรัฐบาลหนึ่ง ไปยังรัฐบาลอีกชุดถัดไป
อเมริกาควรจะมีผู้นำที่รู้ว่าควรจะทำสิ่งที่ดีให้กับอเมริกาแม้ว่าเขารู้ว่า
จะแพ้การเลือกตั้ง
ระบบการปกครองที่ใช้ที่ไม่อนุญาตให้พวกเขาทำการแก้ปัญหาไปเงียบ ๆ
พร้อมทั้งค้นหาสาเหตุไป ก็ไม่สามารถทำงานได้<br /> <br />
ในช่วงหลังสงครามเวียดนามมา
ประชาชนอเมริกันไม่ค่อยสนใจฟังการถกเถียงนโยบายที่มีเนื้อหาสาระจริงจัง
ดังนั้นทั้งรีพับรีกันและเดโมแครตต่างก็ไม่รู้สึกรีบร้อนที่จะต้องตัดการใช้
จ่ายที่ทำให้เกิดการขาดดุล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสวัสดิการสังคม)
เพื่อเพิ่มการออมและการลงทุน
และที่สำคัญคือการปรับปรุงระบบโรงเรียนของอเมริกาเพื่อให้สามารถแข่งขันใน
ระดับนานาชาติได้<br /> <br />
ระบบประธานาธิบดีผลิตรัฐบาลที่ย่ำแย่กว่าระบบรัฐสภา
เพราะในระบบประธานาธิบดี การปรากฎตัวต่อโทรทัศน์มีผลตัดสินแพ้ชนะ
ส่วนระบบรัฐสภา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะได้ดำรงตำแหน่ง
พวกเขาต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี
และในอังกฤษคนจะดูคุณตลอดช่วงเวลาทำงาน เพื่อจะสรุปได้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร
มีความลึกซึ้งพอไหม จริงใจในคำพูดคำจามากเพียงไร <br /> <br />
ระบบประธานาธิบดีอาจทำให้คนไม่ได้เรื่องมาดำรงตำแหน่งก็ได้
เรื่องนี้อยู่ที่พวก spin doctor (มืออาชีพที่คอยสร้างภาพให้นักการเมือง)
พวกนี้มีรายได้สูง กระบวนการเลือกตั้งแบบนี้ คนอย่าง เชอร์ชิล รูสเวลท์
หรือ เดอ โกลล์ คงยากที่จะขึ้นมาได้<br /> <br />
ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันพูด
ลีไม่เชื่อว่าระบบประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวจะนำไปสู่การพัฒนาโดยอัตโนมัติ
ลีเชื่อว่าประเทศควรพัฒนาวินัยมากกว่าประชาธิปไตย
จะวัดคุณค่าของระบบการเมืองก็ควรดูที่ว่าระบบนั้นช่วยให้สัคมได้สร้าง
เงื่อนไขที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ดีขึ้นหรือไม่
รวมทั้งทำให้เกิดเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่สอดคล้องกับเสรีภาพของบุคคลอื่นใน
สังคมด้วย<br /> <br /> ประเทศฟิลิปปินส์มีรัฐธรรมนูญแบบอเมริกัน
ซึ่งเป็นระบบที่ยากต่อการดำเนินการที่สุดระบบหนึ่งในโลก เพราะมีการแยกอำนาจ
บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ อย่างสิ้นเชิง
แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาและมีความปั่นป่วนต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง
และซื่อสัตย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี
อาจล้มเหลวถ้าใช้รัฐธรรมนูญแบบฟิลิปปินส์ เพราะจะเผชิญปัญหาการติดขัด
(gridlock) ในทุกช่วงเวลา<br /> <br /> ยุคสังคมยิ่งใหญ่กับสงครามเวียตนาม (The Great Society and the Vietnam War) ระบบของสหรัฐไม่สามารถทำงานอะไรได้เลย<br /> <br />
การเมืองแบบอเมริกันหรืออังกฤษชอบภาพลักษณ์แบบครอบครัว
คนอาจจะชอบเวลาสื่อเล่นข่าว มิเชล โอบามา ลูก ๆ ของพวกเขา
และสุนัขของพวกเขา
แต่นั่นทำให้ตัดสินใจได้หรือว่าโอบามาเป็นประธานาธิบดีที่ดี
แล้วตั้งใจกับการปรับปรุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น?<br /> <br /><b> คำถาม : จุดอ่อนทางวัฒนธรรมของอเมริกาคืออะไร</b><br /><br />
ลีตอบ : มีปรากฎการณ์ที่ยอมรับไม่ได้อย่าง ปืน ยาเสพติด อาชญากรรมรุนแรง
คนเร่ร่อน พฤติกรรมที่ไม่สามารถยอมรับได้ในสังคม และการที่สังคมแตกแยก
สิ่งเหล่านี้คุกคามระเบียบในสังคม
การขยายพฤติกรรมที่ปัจเจกพอใจแต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ยอมรับได้ของสังคมหรือไม่
ต้องแลกกับความสงบเรียบร้อยของสังคม <br /> <br />
เอเชียต่างจากอเมริกันที่ว่าการยกให้ความเป็นปัจเจกอยู่สูงสุดทำให้ความกลม
กลืนความสังคมเป็นไปได้ยาก
ถ้าอยากให้เด็กผู้หญิงและหญิงชราเดินบนถนนได้ตอนกลางคืน
โดยไม่เป็นเหยื่อของพวกค้ายา ก็ไม่ควรใช้โมเดลของอเมริกัน คนส่วนบนสัก 3-5%
ของสังคมอาจจะรับมือกับสังคมเสรีสุดขั้ว การดวลกันทางความคิด แบบนี้ได้
แต่ถ้าเอาไปใช้กับมวลชนทั้งหมด สิ่งที่ได้ก็จะเป็นความอลหม่าน
ทุกวันนี้รูปภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เรื่องทางเพศแบบดิบเถื่อน
จะทำให้ชุมชนเสื่อมทราม<br /> <br />
สื่ออเมริกาชอบโจมตีสิงคโปร์ว่าเป็นประเทศเผด็จการ มีกฎมากเกินไป เข้มงวดไป
เป็นสังคมกำจัดเชื้อ
นี่เป็นเพราะสิงคโปร์ไม่ใช้ความคิดแบบตะวันตกในการปกครอง
ความคิดการปกครองของตะวันตกเป็นเพียงทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
ไม่สามารถพิสูจน์ในเอเชียตะวันออก แม้แต่ในฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ประเทศไทย
หรือเกาหลี ก็ตามที<br /> <br /> พหุวัฒนธรรมจะทำลายอเมริกา
คนเม็กซิกันจากทางอเมริกาตอนใต้และตอนกลางจะเข้ามาในอเมริกาแล้วเผยแพร่
วัฒนธรรมขอตนไปทั่วประเทศ คนพวกนี้แพร่พันธ์เร็วกว่าพวก WASPs (White
Anglo-Saxon Protestants : หมายถึงคนขาวแองโกลแซกซอนที่นับถือโปรแตสแตนท์)
แล้วเมื่อถึงเวลา WASPs จะถูกเม็กซิกันเปลี่ยน หรือเม็กซิกันจะเปลี่ยน
WASPs? จริง ๆ
ทั้งคู่ก็ถูกเปลี่ยนแต่ที่น่าเศร้าคือวัฒนธรรมอเมริกันจะถูกเปลี่ยนแปลง อีก
100 - 150 ปีข้างหน้าพวกฮิสปานิคจะมีราว 30 - 40%
คำถามคือจะกลืนพวกฮิสแปนิคเข้ามาหรือพวกเขาจะทำให้อเมริกากลายเป็นนละตินอเม
ริกา?<br /> <br /> <br /><b> คำถาม : ระบบการเมืองต้องการคนดีไหม?</b><br /><br /> ลีตอบ :
สำหรับสิงคโปร์หลักการที่ต้องคงไว้คือ
ต้องมีคนที่มีคุณภาพสูงเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นสิงคโปร์ก็จะสูญสลายไป
คนที่ยอมสละชีวิตส่วนตัว มีความซื่อสัตย์ ยอมเสี่ยงกับกระบวนการเลือกตั้ง
เราจ่ายให้คนพวกนี้ด้วยราคาถูก ๆ ไม่ได้หรอก<br /> <br />
ในระบบการเมืองตลอดการสังเกตของลีมาตลอด 40 ปี เขาพบว่าระบบการเมืองที่แย่
แต่ถ้ามีคนดีเข้าไปยู่ก็สามารถทำให้มีการก้าวไปข้างหน้าอย่างสำคัญได้
แต่ถ้าระบบที่เป็นไปตามอุดมคติ อย่างในอังกฤษและฝรั่งเศส
ที่เขียนรัฐธรรมนูญเกือบ 80 ฉบับแล้วใช้กับประเทศใต้อาณานิคมต่าง ๆ กัน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ระบบสถาบัน หรือการคานอำนาจ
ปัญหาอยู่ที่ไม่มีผู้นำที่ทำงานกับระบบสถาบันเหล่านั้น
และประชาชนไม่มีความเชื่อถือในระบบสถาบัน
ผู้นำที่ล้มเหลวจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ระบบจะปั่นป่วนกับการจราจล
รัฐประหาร และการปฏิวัติ<br /> <br /><b> คำถาม: สหรัฐจะกลายเป็นยุโรปไหม</b><br /><br />
ลีตอบ: ถ้าตามทิศทางอุดมคติของยุโรปก็อาจเป็นไปได้
คนที่มีปัญหาควรได้รับการช่วยเหลือ
แต่การช่วยคนพวกนี้จะต้องไม่ไปทำลายระบบการสร้างแรงจูงใจ<br /> <br />
ถ้าสหรัฐเดินตามยุโรปที่มีระบบประกันสังคมที่ครอบคลุม เงินช่วยคนตกงาน
และระบบประกันสุขภาพ นั่นจะทำให้พวกเขาต้องใช้เงิน 1.2
ล้านล้านเหรียญในสิบปี แล้วพวกเขาจะหาเงินมาจากไหน ถ้าสหรัฐไปทิศทางนั้น
ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐจะชะลอตัวลง<br /> <br /><b> คำถาม: สหรัฐจะรักษาตำแหน่งจ่าฝูงของโลกได้อย่างไร</b><br />
ลีตอบ: ศตวรรษที่ 21 จะอยู่เป็นการแข่งอำนาจในเอเชียแปซิฟิค
เพราะการเติบโตจะอยู่ที่นี่ ถ้าสหรัฐไม่ลงมาเล่นที่นี่
พวกเขาจะเสียตำแหน่งผู้นำของโลก <br /> <br />
ถ้าสหรัฐจะมาเล่นที่เอเชียแปซิฟิค
พวกเขาจะต้องแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณให้ได้
เพราะไม่เช่นนั้นเงินจะไม่เพียงพอในการใช้จ่าย และเมื่อนั่น นายธนาคาร
เฮดจ์ฟันด์ และนักลงทุนทุกคน จะสรุปว่าอเมริกาแก้ปัยหาการขาดดุลไม่ได้
แล้วเาก็จะย้ายสินทรัพยออกจากสหรัฐ
แล้วนั่นก็จะสร้างปัญหาที่แท้จริงให้เกิดขึ้น<br /> <br /> ลีเป็นห่วงหนี้ของสหรัฐมากที่สุด และปัญหาหนี้จะเป็นปัญหาหลักที่ทำให้อเมริกันสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำของโลก<br /> <br />
สหรัฐจะต้องไม่ให้ภาระใน ตะวันออกกลาง อิรัก อิหร่าน อิสราเอล และน้ำมัน
แล้วละเลยเรื่องอื่นจนทำให้จีนสามารถเข้าครอบงำผลประโยชน์ของตนในเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ พวกจีนไม่มีความลังเลสงสัยในเป้าหมาย
พวกเขามองหาแหล่งพลังงานไปทั่ว และสร้างมิตรทุกแห่ง
รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</span></span></span></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-63467810871637299802013-10-03T15:48:00.001+07:002013-10-03T16:47:25.726+07:003 ตุลาคม 2556 ปลดปล่อย อ.สุรชัย แซ่ด่าน นักสู้เพื่อประชาธิปไตย<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
สังคมไทยกำลังก้าวไปสู่ การปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม
</h3>
<div class="post-header">
</div>
โดย คุณ สุรชัย แซ่ด่าน<br />
ที่มา <a href="http://thaienews.blogspot.com/2008/12/cbnpress-25-2551.html">thaienews.blogspot.com</a><br />
<br />
<br />
สภาพ
การณ์ของสังคมไทยปัจจุบัน ที่เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนอย่างรุนแรง
ทำให้คนไทยโดยทั่วไปงุนงง ไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย
และทางออกจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะเข้าใจเพียงว่า เพราะ พตท.ทักษิณ ชินวัตร
พรรคไทยรักไทย ที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพรรคพลังประชาชนฝ่ายหนึ่ง
กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายหนึ่ง
ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน จนก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในหมู่ประชาชน
ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่ลึกไปกว่านั้น ที่เป็นรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ จึงต้องทำความเข้าใจ
เพื่อจะได้ไม่วิตกกังวลและหาทางออกได้ถูกต้อง<br />
<br />
<a href="http://4.bp.blogspot.com/_nIFuLSFd-dA/SVLLpj1hqkI/AAAAAAAABIM/JIifzsf-gzU/s1600-h/surachai1.jpg"><img alt="" border="0" height="134" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5283509227713833538" src="http://4.bp.blogspot.com/_nIFuLSFd-dA/SVLLpj1hqkI/AAAAAAAABIM/JIifzsf-gzU/s400/surachai1.jpg" style="float: left; height: 80px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 238px;" width="400" /></a>
สภาพการณ์ทางสังคมและการเมืองไทย มองย้อนกลับไปในอดีตกรณีเหตุการณ์ 14
ตุลาคม 2516 ปรากฏการณ์ที่เป็นภาพที่คนโดยทั่วไปเข้าใจ
คือนักศึกษาและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการณ์ จอมพลถนอม
กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร
ออกจากตำแหน่งเท่านั้น แต่เนื้อแท้จริงของเหตุการณ์จะมองไม่เห็น<br />
<br />
จริงๆ
แล้วเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม ยืมมือ
นักศึกษาประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
โค่นล้มกลุ่มเผด็จการณ์ทางการทหารที่มีอำนาจโดดเด่น จนถูกหวาดระแวงว่า
จะเป็นอันตรายต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ดังตัวอย่างในหลายประเทศในโลกที่เกิดขึ้น<br />
<br />
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ถือว่าเป็นการสิ้นยุคของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมทางการทหาร ต่อจากนั้นการเมืองยุคทหารก็ค่อยๆ ลดระดับลง<br />
<br />
แต่
ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมาย จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตยประชาชน แต่กลายเป็นทุนนิยมไทย
ที่ได้รับการปลดโซ่ตรวนจากระบอบเผด็จการทหาร ทำให้ทุนนิยมไทย เริ่มสะสมทุน
ขยายทุน และเข้าสู่การเมือง ตั้งพรรคการเมืองต่างๆ
เริ่มต้นการเมืองยุคทุนนิยม<br />
<br />
ในขณะนั้น
ฝ่ายซ้ายที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท)
ก็ได้เข้มแข็งเติบใหญ่ขึ้นจากกระแสอินโดจีน
และการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาฝ่ายซ้าย
ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ปลอดภัยจากผู้นำเผด็จการทหาร
เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยจากขบวนการฝ่ายซ้าย จึงร่วมมือกับฝ่ายทุนนิยม
และจักรวรรดินิยมอเมริกา ใช้แผน “ขวาพิฆาตซ้าย” จนก่อกรณีนองเลือด 6 ตุลาคม
2519 ขึ้น ทำให้นักศึกษาและประชาชนฝ่ายซ้ายจำนวนมาก ต้องหลบหนีเข้าป่า
ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท)<br />
<br />
ต่อมาเมื่อสถานการณ์โลก
เปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตศรัทธาในฝ่ายสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท) ก็ตกต่ำจนหมดสภาพที่จะนำการปฏิวัติ
กลุ่มอนุรักษ์นิยมจึงปลอดภัยจากขบวนการฝ่ายซ้าย<br />
<br />
ครั้นมาถึงปัจจุบัน
เมื่อทุนนิยมไทย ได้สะสมทุน และขยายทุนจนใหญ่โตขึ้น
อีกทั้งโลกก็ได้พัฒนาเข้าสู่ยุค “ทุนโลกาภิวัตน์” ในประเทศไทย ก็เกิดกลุ่ม
“ทุนนิยมใหม่” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการพรรคการเมืองใหม่ชื่อ
“ไทยรักไทย” มีทิศทางและนโยบาย สอดคล้องกับยุคสมัย
ก้าวหน้ากว่าพรรคการเมืองทุนนิยมเก่า
และพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป)
ความตอบรับของประชาชนจึงมีมาก พรรคจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และหัวหน้าพรรค
คือ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีความโดดเด่น
ถึงขั้นจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ปัญหาจึงเกิดขึ้น<br />
<br />
เพราะ
กลุ่มอนุรักษ์นิยม เริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจ ดังนั้นขบวนการจัดตั้งต่าง
ๆ จึงเกิดขึ้น เพื่อโค่นล้มทำลาย พตท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย
นี้แหละ คือสภาพการณ์ที่แท้จริงของสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบัน<br />
<br />
เมื่อ
ทราบเนื้อแท้ของปัญหาแล้ว ก็จะต้องวิเคราะห์ว่า สถานการณ์จะก้าวไปอย่างไร
และจุดจบของปัญหาจะลงเอยอย่างไร
ก็ต้องพิจารณาทฤษฎีสังคมการเมืองและกฎวิวัฒนาการทางสังคม
โดยศึกษาจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ ในโลกที่ผ่านมา และวิเคราะห์ว่า
สังคมไทยเวลานี้ดำรงอยู่อย่างไร<br />
<br />
ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า
สังคมไทยได้ก้าวพ้นจากสังคมด้อยพัฒนาแล้ว หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
จนถึงปัจจุบัน น่าจะเรียกได้ว่า “เป็นสังคมกำลังพัฒนาขั้นสูง
กำลังก้าวสู่ความเป็นสังคมที่พัฒนาแล้ว เข้าสู่ความเป็นสากล”
แต่เนื่องจากสังคมไทย อยู่ในสภาพพิกลพิการ จึงไม่อาจก้าวสู่ความเป็นสากล<br />
<br />
เป็น
สังคมที่พัฒนาแล้วได้ เนื่องจากขั้นตอนการพัฒนาติดขัด
เพราะในขณะที่เศรษฐกิจและสังคม กำลังก้าวสู่ยุคทุนโลกาภิวัตน์
แต่โครงสร้างทางอำนาจ ไม่ว่าเป็นตำรวจ ทหาร ศาล ระบบราชการต่างๆ
ยังอยู่ในมือกลุ่มอนุรักษ์นิยม เพราะประเทศไทย
ยังไม่ผ่านการปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม<br />
<br />
ปรากฏการณ์ “กลุ่มพันธมิตร”
และเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจน
คือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ในการโค่นล้มรัฐบาล <b>เวลานี้ จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม กับกลุ่มทุนนิยมใหม่</b><br />
สถานการณ์
จึงก้าวเข้าสู่การปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม ที่กลุ่มทุนนิยมใหม่
จะเป็นผู้นำการปฏิวัติ เพื่อช่วงชิงโครงสร้างทางอำนาจจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม
จุดแตกหักจะเริ่มขึ้น ต่อเมื่อใดที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม
ช่วงชิงความเป็นรัฐบาลจากปัจจุบัน (เปลี่ยนขั้ว) อย่างไม่ชอบธรรม
ไปเป็นรัฐบาลภายใต้กลุ่มอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ
หรือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม<br />
<br />
ขบวนการต่อสู้ อาจจะออกมาในรูป
“แนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน” (นปช) หรือเป้าหมาย
อาจจะรุนแรงกว่านี้ก็ได้ และอาจถึงขั้นมีการจัดตั้งกองกำลังอาวุธ
เป็นป่าประสานเมือง และประสานกับคนไทยต่างประเทศเป็น ขบวนการแนวรบสามประสาน
ก็เป็นได้<br />
<br />
นี้คือคาดการณ์ตามการวิเคราะห์ในเชิงวิตกของผู้เขียน
ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ จริงๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น
แต่จากทฤษฎีการปฏิวัติ จากระบอบสังคมศักดินา สู่ระบอบประชาธิปไตยทุนนิยม
ตัวอย่างแรก คือการปฏิวัติฝรั่งเศษ และตัวอย่างล่าสุด
คือการปฏิวัติในประเทศเนปาล เป็นกรณีศึกษาที่เราคนไทย
จะต้องพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางลดความรุนแรง และการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น <b>ให้การเปลี่ยนแปลงใช้ทฤษฏี “เปลี่ยนผ่าน” แทนการใช้ทฤษฏี “โค่นล้ม”</b><br />
<br />
สภาพ
การณ์ที่คนในชาติแตกแยกอย่างรุนแรงในขณะนี้
เกิดจากการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม กับกลุ่มทุนนิยมใหม่
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มอนุรักษ์ยมเท่านั้น<br />
ดังนั้น การแก้ปัญหา
จะต้องพิจารณาว่า ในความขัดแย้งนี้ กลุ่มใหนเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง
และจะแก้อย่างไร ที่ผ่านมา สื่อมวลชนมากมาย นักวิชาการและบุคคลต่างๆ
อาจไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจ โดยโยนปัญหาไปที่รัฐบาลว่า
เป็นด้านหลักของความขัดแย้ง การแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่รัฐบาล
เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา<br />
<br />
ซึ่งที่ผ่านมา ทั้งนายกฯ
ลาออก ยุบสภาถูกยึดอำนาจ และกระทั่งนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกปลดออก
เหตุการณ์ก็ไม่ยุติ จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ด้านหลักของความขัดแย้ง
ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม
ที่หนุนหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่
การแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเป็นด้านหลัก<br />
<br />
ทางออกของ
การแก้ปัญหา ก็คือกลุ่มอนุรักษ์นิยม จะต้องยอมรับความจริง
ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก ค่อยๆ ปล่อยมือจากโครงสร้างทางอำนาจ
ปล่อยให้ใครกลุ่มไหนก็ตาม เมื่อได้รับการเลือกจากประชาชนมาเป็นรัฐบาล
ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง<br />
<br />
ส่วนการทุจริตและความไม่โปร่งใสต่างๆ
ระบอบประชาธิปไตย จะค่อยสะสางขัดเกลาโดยตัวของมันเอง
จะต้องมุ่งที่จะให้การศึกษา ยกระดับจิตสำนึกของประชาชนให้สูงขึ้น
แทนที่จะโค่นล้มทำลายล้างกัน การถ่ายเทโครงสร้างทางอำนาจอย่างปฏิรูป
ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเปลี่ยนผ่าน จะทำให้ไม่เกิดความรุนแรง
แต่ถ้าไม่เป็นไปเช่นนี้ ก็จะเป็นการต่อสู้กัน เพื่อเปลี่ยนแปลงแบบ
“โค่นล้ม” เป็นการปฏิวัติอย่างรุนแรง พลิกฟ้าคว่ำดิน
ความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ก็จะใหญ่หลวง<br />
<br />
“สงคราม” หรือ “สันติภาพ” อยู่ที่การตัดสินใจของกลุ่มด้านหลักของความขัดแย้ง<br />
<br />
โลก
ต้องพัฒนาไปข้างหน้า สังคมไทยก็ต้องพัฒนาไปข้างหน้าตามการพัฒนาของโลก
การคิดถูกต้องและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
คือการคิดและการตัดสินใจที่สอดคล้องกับการพัฒนาของโลก
ฝากข้อคิดข้อเขียนนี้ให้ประชาชนคนไทยพิจารณา
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วยUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-15986013640959667332013-08-22T18:44:00.001+07:002013-08-22T18:44:06.042+07:00สัญญะ การเมือง สัญญาณ ′สงคราม′ จาก ประชาธิปัตย์<a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377071724&grpid=&catid=12&subcatid=1200"><span style="font-size: large;">มติชนออนไลน์</span></a><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><em>(ที่มา:มติชนรายวัน 21 สิงหาคม 2556)</em></span><br />
<br />
<table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" style="width: 20%px;"><tbody>
<tr bgcolor="#400040"><td><strong><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Tahoma;"><img align="bottom" border="1" hspace="0" src="http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2013/08/col01210856p1.jpg" width="300" /></span></span></strong></td></tr>
</tbody></table>
อย่าคิดว่าการผนึกตัวรวมพลังระหว่าง "พรรคประชาธิปัตย์" กับ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้<br /><br />แม้จะมีความเคืองแค้น เมินหมางกัน<br /><br />โดยเฉพาะในห้วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี<br /><br />ขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูก "ลอบสังหาร"<br /><br />โดยเฉพาะในห้วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวในประเด็นปราสาทพระวิหารแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเติมคน<br /><br />ทำให้ม็อบ "หร็อมแหร็ม" อย่างน่าใจหาย<br /><br />หากประเมินจาก "น้ำเสียง" ของ 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะทางด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะทางด้านพรรคประชาธิปัตย์<br /><br />ยังมี "เยื่อใย"<br /><br />เหมือนกับมีอาการงอนสำแดงจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์กลับผ่อนคลายมากกว่า<br /><br />ยื่น "นิ้วก้อย" ให้อย่างเต็มที่<br /><br />สถานการณ์ทางการเมืองนั่นแหละจะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญในการดึงให้พรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรหันมาเป็นหนึ่งเดียว<br /><br />เพราะว่ามี "เป้าหมาย" เดียวกัน<br /><br />เป้าหมายเฉพาะหน้าคือ 1 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป้าหมายในทางยุทธศาสตร์ 1 คือ สิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ"<br /><br />เหตุปัจจัยการเมืองคือ "กาวใจ" อย่างสำคัญ<br /><br />หาก
ไม่มีเหตุปัจจัยทางการเมืองการจับมือกันระหว่าง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กับ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คงไม่เกิดขึ้นผ่านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย<br /><br />ทั้งๆ ที่เมื่อปี 2538 ผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอมเหยียบ<br /><br />เพราะว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ดึงเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแทน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ในกระทรวงการต่างประเทศ<br /><br />แต่เมื่อเกิดการไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง 2 ก็หันมาจูบปากกัน<br /><br />เพราะ
ว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพราะว่า
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
ก็เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวกัน คือ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์<br /><br />ทุกอย่างก็ "เรียบโร้ยยย"<br /><br />ณวันนี้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับ พรรคประชาธิปัตย์
อาจร้องเพลงกันคนละคีย์ ทอดเสียงคร่อมจังหวะ
แต่เพลงนั้นก็มีตัวโน้ตไม่แตกต่างกัน<br /><br />เป็นตัวโน้ตที่มี "ศัตรู" เดียวกัน<br /><br />จังหวะก้าวที่ "ร่วม" กันประการหนึ่ง คือ ต่างฝ่ายต่างยื่นมือแตะไปยัง "กองทัพประชาชน" ซึ่งร่อแร่อย่างยิ่ง ณ เวทีสวนลุมพินี<br /><br />เห็นได้จาก "กองทัพธรรม" เข้าไปเสริม<br /><br />เห็นได้จากเบื้องต้นมีเพียง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ขึ้นเวที ต่อมาก็มี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช<br /><br />จากการไป "สวนลุมพินี" นั้นเองนำไปสู่การพบปะหารือกัน<br /><br />นั่น
ก็คือ การหารือระหว่าง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นายกษิต ภิรมย์ กับ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โดยมี
นายประพันธ์ คูณมี ร่วมอยู่ด้วยในวงสนทนา<br /><br />งานนี้อาจมี นายประพันธ์ คูณมี เป็นตัวเชื่อม<br /><br />แต่น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เห็นดีด้วย ขณะที่ไม่มีความหงุดหงิดจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล<br /><br />การนับ 1 คือจุดเริ่มต้น<br /><br />เบื้องหน้าการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย<br /><br />ถามว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คิดอย่างไร ถามว่าพรรคเพื่อไทยคิดอย่างไร ถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลคิดอย่างไร<br /><br /><em>เพราะนี่คือสัญญาณแห่ง "สงคราม" ครั้งใหม่</em>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-61975098460984181932013-08-14T19:30:00.001+07:002013-08-14T19:30:23.831+07:00ถ้าผมเป็นกรรมการปฏิรูป ผมจะเสนอให้เปลี่ยนการปกครองเป็นสหพันธรัฐไทย โดยมีกษัตริย์เป็นประมุข <h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
ที่มา : <a href="http://thaienews.blogspot.com/2013/08/blog-post_8679.html">ไทย อีนิวส์</a><br /><br /><br />ถ้าผมเป็นกรรมการปฏิรูป ผมจะเสนอให้เปลี่ยนการปกครองเป็นสหพันธรัฐไทย โดยมีกษัตริย์เป็นประมุข
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div dir="ltr" style="text-align: left;">
<img height="299" src="http://www.veteranstoday.com/wp-content/uploads/2011/06/empire-confederation.jpg" width="400" /><br /><br />
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;">โดย อินทรีย์</span></span><br />
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;">ที่มา <a href="http://www.prachatalk.com/webboard/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B">บอร์ดประชาทอล์ก</a></span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 36px;"><br /></span>
<span style="font-size: small;"><span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><b><span style="line-height: 36px;">ถ้าผมเป็นกรรมการปฏิรูป ผมจะเสนอให้เปลี่ยนการปกครองเป็นสหพันธรัฐ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><span>เหมือนมาเลเซีย เป็นการเปิดหน้าใหม่ ของประวัติศาสตร์ประเทศ</span> </span></b></span></span></span><br />
<div>
<span style="background-color: white; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="border: 0px; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การปกครองแบบรัฐเดียว คงเป็นไปไม่ได้แล้ว สำหรับประเทศไทย </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">สิ่งที่ประเทศต้องการคือความใหม่ ไม่ใช่มาพูดเรื่องความสามัคคีไร้สาระที่เป็นไปไม่ได้</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะดูๆ กรรมการปฏิรูป แต่ละคน ไม่เหลาเหย่ ก็บ้อท่า</span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">รสนิยมทางการเมืองที่แตกต่างกันสุดขั้วของประชาชนในแต่ละภาค </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ทำให้ไม่อาจจะใช้รูปแบบเก่าได้อีก</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="border: 0px; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เพราะต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">พรรคแมลงสาปก็ไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">แต่คนภาคใต้ รวมทั้งคนกรุงเทพฯ ก็ยังเลือกพรรคแมลงสาปอยู่ดี</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ก็ควรให้โอกาสพรรคที่พวกเขาชื่นชอบ บริหารภูมิภาคที่ประชาชนชื่นชอบเขา </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ส่วนผลการบริหารจะเป็นอย่างไร ประชาชนเขาก็จะเห็นความแตกต่างเอง</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ในที่สุด</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">การดำรงค์ชาติให้คงมั่นน้้น ไม่จำเป็นจะต้องรวมกันเป็นรัฐเดียว </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">มีรัฐบาลเดียว ทำงานตั้งแต่เหนือจรดใต้ครับ</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">การดำรงค์ชาติ ดำรงค์เผ่าพันธ์เป็นประเทศ ให้เจริญรุ่งเรือง </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">มีแนวคิดแยกออกเป็นภูมิภาค ตามประวัติศาสตร์ เผ่าพันธ์และภาษา </span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ในโลกนี้ มีประเทศมากมายที่ทำเช่นนี้ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อเมริกา อินเดีย มาเลเซีย แม้แต่อังกฤษ ก็ตาม</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">แต่สิ่งหนึ่ง ที่ไม่อาจมองข้ามที่ทุกชาติจะต้องมี นั่นคือ ต้องมีองค์กรหนึ่ง</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">คอยเชื่อมโยง และแก้ไขปัญหาเมื่อมีความขัดแย้ง นั่นคือ</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">องค์กรแห่งภราดรภาพ</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><b>อเมริกา</b> เมื่อครั้งต่อสู้แยกเอกราชจากอังกฤษนั้น ไม่อาจรวมตัวกันได้</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">หากปราศจากองค์กรที่เรียกว่า ฟรีเมสัน ซึ่งคอยประสานงาน และแต่งตั้ง </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">จอร์จ วอชิงตันเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อแยกเอกราชเสร็จ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">องค์กรนี้ก็แปรเปลี่ยนไป แต่บริบทแห่งภราดรภาพยังคงอยู่</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><b>มาเลเซีย</b> แยกเป็นรัฐ แต่ก็มีสถาบันกษัตริย์เป็นองค์กรแห่งภราดรภาพ</span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ผิดกับ<b>พม่า </b>ไม่มีองค์กรเช่นว่านี้ พม่าจึงล้มเหลวด้านการรวมชาติ</span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ดังนั้น หากประเทศไทยต้องแยกออกเป็นหลายรัฐ จึงต้องมีองค์กร</span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">แห่งภราดรภาพที่เข้มแข็ง ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">เหมาะที่จะทำหน้าที่นี้</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">รัฐบาลกลาง ทำหน้าที่ประสานงานในชาติ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">บริหารงานที่สำคัญของชาติ คือความมั่นคง </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ไม่ว่าจะเป็น ด้านต่างประเทศ ด้านการเงินและด้านการทหาร </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">เป็นตัวแทนของประเทศในองค์กรนานาชาติ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ที่มา ต้องมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">และต้องแยกจากรัฐสภา หากจะล้มก่อนวาระต้องมาจากประชามติเท่านั้น</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ผมว่าความวุ่นวายจากความแตกแยกของคนในชาติ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">มาไกลเกินประสานกันได้ด้วยการปกครองระบอบเดิมแล้ว </span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">หากการลงทุนตั้งสภาปฏิรูป แล้วมาพูดเรื่องสามัคคีที่เป็นไปไม่ได้ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">คงไร้ประโยชน์เปล่าๆ สุดท้ายก็ยังแบ่งข้างกันเหมือนเดิม </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">การแก้ปัญหาของประเทศ ท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลาย </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">ต่างฝ่ายต่างก็ยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะพวกที่แพ้ สู้ความนิยมของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">คือการแก้โครงสร้างของประเทศ </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">โดยมีโจทย์ว่า เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรในประเทศเดียวกันให้ได้อย่างสงบสุข </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">โดยไม่ต้องเผชิญหน้าสู้รบกัน สามารถแข่งกันพัฒนาในแนวทางที่ตนเชื่อ</span></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: inherit;"><b><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">วันหนึ่ง เมื่อความคิดเห็นของประชาชนทั้งประเทศ ค่อยๆจูนไปในทางเดียวกัน </span><span style="font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">พรรคที่ไร้คุณภาพ ก็จะถูกกำจัดไปโดยธรรมชาติ</span></b></span></span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: white; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;">********</span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><b>วิกิพีเดีย:สมาพันธรัฐ /<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90">สหพันธรัฐ</a></b></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;"><b>สหพันธรัฐ</b> (<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9" style="background-image: none; text-decoration: none;" title="ภาษาอังกฤษ">อังกฤษ</a>: <span lang="en">federation</span>) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า <b>รัฐสหพันธ์</b> เป็น<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2" style="background-image: none; text-decoration: none;" title="รัฐอธิปไตย">รัฐอธิปไตย</a>ประเภทหนึ่งซึ่งมีลักษณะของสหภาพรัฐหรือภูมิภาคที่ปกครองตนเองบางส่วน ที่รวมเข้าด้วยกันโดย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87" style="background-image: none; text-decoration: none;" title="รัฐบาลกลาง">รัฐบาลกลาง</a> หรือ
รัฐบาลสหพันธ์ ในสหพันธรัฐ
สถานะการปกครองตนเองของรัฐองค์ประกอบนั้นตามแบบได้รับการคุ้มครองตามรัฐ
ธรรมนูญและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยการตัดสินใจฝ่ายเดียวของรัฐบาลกลาง</span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">ระบอบการปกครองหรือโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญที่พบในสหพันธรัฐนั้นทราบกันในชื่อ <b><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ระบอบสหพันธรัฐ">ระบอบสหพันธรัฐ</a></b> เป็นระบอบการปกครองที่ตรงข้ามกับรูปแบบรัฐอีกประเภทหนึ่ง คือ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="รัฐเดี่ยว">รัฐเดี่ยว</a> ตัวอย่างสหพันธรัฐ เช่น <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B5" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศเยอรมนี">ประเทศเยอรมนี</a> ซึ่งประกอบด้วยสิบหกรัฐ (Länder) ที่รวมเข้ากันเป็นสหพันธ์</span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; text-indent: 2.5em;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; text-indent: 2.5em;">สห
พันธรัฐนั้นอาจประกอบไปด้วยประชาชนที่หลากหลายทางเชื้อชาติ
และมีพื้นที่กว้างใหญ่ (ดังเช่น ความหลากหลายอย่างที่สุดในอินเดีย)
แม้สหพันธรัฐจะไม่จำเป็นต้องประกอบด้วยทั้งสองประการที่กล่าวมาก็ตาม
สหพันธรัฐนั้นส่วนมากก่อตั้งขึ้นจากความตกลงแต่เดิมระหว่างรัฐอธิปไตยจำนวน
หนึ่งโดยตั้งอยู่บนความกังวลหรือผลประโยชน์ร่วมกัน
ความตกลงแรกเริ่มได้สร้างเสถียรภาพซึ่งเกื้อหนุนผลประโยชน์ร่วมกันข้ออื่น
นำดินแดนที่แตกต่างกันสิ้นเชิงมาใกล้ชิดกัน
และให้ดินแดนทั้งหมดมีหลักความเห็น (common ground) กว่าแต่ก่อน
ในขณะเดียวกัน
ความตกลงนี้ได้รับการรับรองและมีการจัดขบวนการเพื่อผสานรวมกันให้ใกล้ชิด
ยิ่งขึ้น แต่ก็มีบางช่วง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจัยวัฒนธรรมร่วมเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น
เชื้อชาติหรือภาษา บางขั้นตอนในแบบนี้ถูกเร่งให้เร็วขึ้นหรือบีบอัด</span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; text-indent: 2.5em;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศสหพันธรัฐ คือ องค์ประชุมกลุ่มประเทศสหพันธรัฐ (Forum of Federations) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ออตตาวา">ออตตาวา</a> รัฐ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ออนตาริโอ">ออนตาริโอ</a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศแคนาดา">ประเทศแคนาดา</a> ซึ่งมีจุดประสงค์ในการแบ่งปันแนวคิดและแนวปฏิบัติในการจัดการระบบการปกครองแบบสหพนธ์ ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 9 ประเทศ</span></div>
<h2 style="background-color: white; background-image: none; border-bottom-color: rgb(170, 170, 170); border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; line-height: 19.1875px; margin: 0px 0px 0.6em; overflow: hidden; padding-bottom: 0.17em; padding-top: 0.5em;">
<span style="font-size: x-small;"><span class="mw-headline" id=".E0.B8.A3.E0.B8.B9.E0.B8.9B.E0.B9.81.E0.B8.9A.E0.B8.9A.E0.B8.AA.E0.B8.AB.E0.B8.9E.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90" style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">รูปแบบสหพันธรัฐ</span></span></h2>
<h2 style="background-color: white; background-image: none; border-bottom-color: rgb(170, 170, 170); border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; font-weight: normal; line-height: 19.1875px; margin: 0px 0px 0.6em; overflow: hidden; padding-bottom: 0.17em; padding-top: 0.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; font-size: x-small;"><span style="text-indent: 2.5em;">ใน
ระบอบสหพันธรัฐ รัฐบาลท้องถิ่น (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
"รัฐบาลองค์ประกอบ") นั้นถือว่ามีอำนาจอธิปไตยในบางส่วน
ทั้งยังมีอำนาจเฉพาะที่รัฐบาลกลางไม่สามารถใช้ได้
ส่วนรัฐบาลกลางจะมีอำนาจในการบริหารจัดการระบบราชการส่วนรวม
และมีอำนาจในการกำหนด</span><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%95&action=edit&redlink=1" style="background-image: none; text-decoration: none; text-indent: 2.5em;" title="นโยบายทางการทูต (หน้านี้ไม่มี)">นโยบายทางการทูต</a><span style="text-indent: 2.5em;"> </span><span style="text-indent: 2.5em;">ซึ่งรวมไปถึงการค้า การสื่อสาร และการทหาร ซึ่งเป็นอำนาจที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มีในครอบครอง อีกทั้งยังไม่มีสถานะเป็นรัฐอธิปไตยใน</span><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5&action=edit&redlink=1" style="background-image: none; text-decoration: none; text-indent: 2.5em;" title="กฎหมายสากล (หน้านี้ไม่มี)">กฎหมายสากล</a><span style="text-indent: 2.5em;">ซึ่งจะถือว่ารัฐบาลกลางเป็นตัวแทนของรัฐบาลท้องถิ่นทั้งประเทศ</span></span></h2>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">ส่วนใหญ่
แล้ว ทั่วทั้งของสหพันธรัฐจะใช้ระบบรัฐบาลกลาง-ท้องถิ่นในการบริหารราชการ
แต่ในบางกรณี สหพันธรัฐอาจมีดินแดนที่รัฐบาลกลางเป็นผู้ควบคุมโดยตรง
อย่างเช่น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศแคนาดา">ประเทศแคนาดา</a>และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศออสเตรเลีย">ออสเตรเลีย</a>ที่
รัฐบาลกลางมีอำนาจในการเปลี่ยนหรือยกเลิกขอบเขตอำนาจบริหารของรัฐบาลท้อง
ถิ่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมก่อน
ทำให้ปัจจุบันแต่ละรัฐของสองประเทศนี้มีอำนาจในการปกครองตนเองที่ไม่เท่า
เทียมกัน </span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">หรือ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศอินเดีย">ประเทศอินเดีย</a> ที่นอกจากรัฐบาลองค์ประกอบแล้ว ยังมีดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของสหภาพอีกหลายแห่งด้วยกัน </span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="สหรัฐอเมริกา">สหรัฐอเมริกา</a>ที่มี<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="เขตปกครองพิเศษ">เขตปกครองพิเศษ</a>ของรัฐบาลกลาง คือกรุง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B8%94%E0%B8%B5.%E0%B8%8B%E0%B8%B5." style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="วอชิงตัน ดี.ซี.">วอชิงตัน ดี.ซี.</a> (DC
= District of Columbia; เขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย)
ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษที่ติดต่อกับรัฐเวอร์จิเนียและรัฐแมริแลนด์
โดยวอชิงตัน ดี.ซี. อยู่ในเขตฝั่งซ้ายของแม่น้ำพอตอแมก (Potomac River) </span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">ในกรณี
ข้างต้น รัฐบาลกลางจะแยกเขตปกครองออกจากการปกครองของรัฐบาลท้องถิ่นดั้งเดิม
และใช้พื้นที่ของเขตเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ
ตามที่รัฐบาลกลางกำหนด
ส่วนใหญ่แล้วเขตการปกครองพิเศษที่รัฐบาลกลางเป็นผู้ควบคุมโดยตรงจะอยู่ใน
บริเวณที่มีประชากรเบาบางเกินกว่าที่จะตั้งเป็นรัฐ
หรือไม่ค่อยมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมากเท่าใดนัก
หรือไม่ก็เป็นบริเวณที่เคยมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เช่นเมืองหลวงของประเทศ</span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">ต้นกำเนิด
ของสหพันธรัฐ ส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐอธิปไตย
ซึ่งอาจเป็นข้อตกลงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้าหรือการทหาร
(ในกรณีของสหรัฐอเมริกา) หรือข้อตกลงระหว่างรัฐเพื่อสถาปนารัฐชนชาติเดียว
ที่รวบรวมเขตแดนจากรัฐต่างๆ
ที่มีเชื้อชาติเดียวกันเข้ามารวมกันเป็นประเทศเดียว (ในกรณีของเยอรมนี) </span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">อย่างไรก็
ดี ต้นกำเนิดและความเป็นมาของแต่ละชาติย่อมแตกต่างกัน อย่างในออสเตรเลีย
ที่สถาปนาสหพันธรัฐจากการอนุมัติของประชาชนผ่านการลงคะแนนเสียงใน<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประชามติ">ประชามติ</a> <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #a55858; text-decoration: none;" title="รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย (หน้านี้ไม่มี)">รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย</a> </span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;">ในขณะที่<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ประเทศบราซิล">ประเทศบราซิล</a>เคยใช้ทั้งระบอบสหพันธรัฐและการปกครองแบบรัฐเดียว บราซิลในปัจจุบันประกอบไปด้วยรัฐที่มีอาณาเขตเหมือนในยุคเริ่มแรกที่เพิ่งมี <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AA&action=edit&redlink=1" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #a55858; text-decoration: none;" title="การตั้งอาณานิคมในบราซิลโดยชาวโปรตุเกส (หน้านี้ไม่มี)">การตั้งอาณานิคมในบราซิลโดยชาวโปรตุเกส</a>ซึ่ง
ในปัจจุบันก็ยังคงมีความสำคัญในหลายๆ ด้านต่อประเทศ
และรัฐใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลกลาง
โดยรัฐล่าสุดถูกตั้งขึ้นมาผ่านรัฐธรรมนูญในปี <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2531" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="พ.ศ. 2531">พ.ศ. 2531</a> โดยมีจุดประสงค์หลักคือเป็นที่ตั้งให้กับหน่วยงานบริหารราชการ</span></div>
<div style="border: 0px; line-height: 23px; margin-bottom: 0.8em; margin-right: 10px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; font-style: inherit; font-variant: inherit; line-height: inherit;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90"><b>สมาพันธรัฐ</b> </a>(<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9" style="background-image: none; text-decoration: none;" title="ภาษาอังกฤษ">อังกฤษ</a>: <span lang="en">confederation</span>) เป็นศัพท์การเมืองสมัยใหม่ หมายถึง การรวมกันของหน่วยการเมืองเป็นการถาวรเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวร่วมกันตามหน่วยอื่น<sup class="reference" id="cite_ref-1" style="line-height: 1em; unicode-bidi: -webkit-isolate;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90#cite_note-1" style="background-image: none; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none; white-space: nowrap;">[1]</a></sup> สมาพันธรัฐ
ตามปกติก่อตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญา
แต่ภายหลังมักก่อตั้งขึ้นจากการเห็นชอบรัฐธรรมนูญร่วมกัน
สมาพันธรัฐมีแนวโน้มสถาปนาขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาร้ายแรง เช่น การป้องกัน
การระหว่างประเทศหรือสกุลเงินร่วม
โดยมีรัฐบาลกลางที่ถูกกำหนดให้จัดหาการสนับสนุนแก่สมาชิกทั้งหมด</span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit; text-indent: 2.5em;"><br /></span></div>
<div style="line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: #f3f3f3; font-family: inherit;"><span style="text-indent: 2.5em;">ธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งประกอบขึ้นเป็นสมาพันธรัฐนั้นแตกต่างกันมาก
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์รหว่างรัฐสมาชิก
รัฐบาลกลางและการกระจายอำนาจให้รัฐต่าง ๆ ก็มีแตกต่างกันเช่นกัน
สมาพันธรัฐอย่างหลวมบางแห่งคล้ายคลึงกับองค์การระหว่างรัฐบาล
ขณะที่สมาพันธรัฐอย่างเข้มอาจเหมือน</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90" style="background-image: none; text-decoration: none; text-indent: 2.5em;" title="สหพันธรัฐ">สหพันธรัฐ</a></span></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-3539662092859794632013-08-14T18:40:00.000+07:002013-08-14T18:40:05.415+07:00ข้อพิจารณาเรื่อง สถานการณ์การเมือง และความคืบหน้า 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม' <h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
ที่มา : <a href="http://thaienews.blogspot.com/2013/08/blog-post_14.html"><span style="font-size: small;">Thai E-News</span></a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<br /><br />ข้อพิจารณาเรื่อง สถานการณ์การเมือง และความคืบหน้า 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม'
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div dir="ltr" style="text-align: left;">
<br /><div>
<span style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; text-align: justify;"></span>
โดย กานต์ ยืนยง</div>
<div>
<br />
ที่มา <a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940">TCIJ ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง</a><br />
</div>
<span class="TextLeadArticle" style="background-color: white; color: #107094; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; font-weight: bold; margin: 0px; padding: 0px; text-align: justify;">ใน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์การเมืองโดยทั่วไปไม่ร้อนแรงอย่างที่คาดคิด
เพราะประชาชนทั่วไปไม่ได้ให้ความสนใจมาก
คิดว่าเพราะสาเหตุหลักคือเบื่อหน่ายความขัดแย้ง (ดูสวนดุสิตโพล<a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/%22%22%22#_ftn1%22%22%22" name=""""_ftnref1"""" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title="""""""">[1]</a>)
ทั้งเผอิญมีข่าวที่น่าสนใจเข้ามาในจังหวะเดียวกัน คือ
การเยือนเมืองไทยของทีมบาร์เซโลนา และการแต่งงานระหว่าง เจนี่
เทียนโพธิ์สุวรรณ วัย 32 ปี และหนุ่มใหญ่นักการเมืองชื่อดังวัย 45 ปี
เอ๋-ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม</span><br />
<div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #107094; font-family: Tahoma, sans-serif;"><span style="font-size: 15px;"><b><br /></b></span></span></div>
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 14px;"></span><span class="TextDetailArticle" style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; margin: 0px; padding: 0px; text-align: justify;"></span><br />
<div style="padding: 0px;">
<span class="TextDetailArticle" style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; margin: 0px; padding: 0px; text-align: justify;">
ในขณะที่ปัจจัยภายในของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล-ทักษิณนั้น
ได้แตกออกเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่ม (1) กปท. (กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ)
และคณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) นำโดย พล.อ.ปรีชา
เอี่ยมสุพรรณ ซึ่งมีการชุมนุมมวลชนที่เวทีสวนลุมพินี, (2)
เวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ และ (3)
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งยังอยู่ในที่ตั้ง
การที่มีการแบ่งมวลชนออกไปหลายกลุ่ม
และไม่มีการดำเนินการที่เป็นเอกภาพกันจึงทำให้ทอนกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลง
ไปมาก</span></div>
<span class="TextDetailArticle" style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; margin: 0px; padding: 0px; text-align: justify;">
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
นอกจากนี้ท่าทีที่ไม่ชัดเจนในการดำเนินการทางการเมืองของประชาธิปัตย์
ว่าจะใช้การเมืองนอกสภา หรือในสภาในการต่อสู้ทางการเมือง
จึงทำให้มีลักษณะกลับไปกลับมา
ซึ่งเมื่อมองจากปีกการเมืองสายปฏิรูปของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งน่าจะมีกำลัง
อยู่ไม่น้อยแต่แสดงออกผ่านทางท่าทีของ คุณอลงกรณ์ พลบุตร
ก็น่าจะมองได้ว่าการแสดงออกดังกล่าวมีทิศทางที่ก้าวร้าวและไม่สนับสนุนระบอบ
ประชาธิปไตย
ในขณะที่ปีกการเมืองอีกสายหนึ่งก็คงจะมองว่าการแสดงออกดังกล่าวไม่เข้มแข็ง
และไม่มีลักษณะแตกหักดังที่ควรจะเป็น
คุณอภิสิทธิ์และเครือข่ายนักการเมืองรุ่นใหม่ที่รายล้อมเขาอยู่ก็เลือก
เหมือน ๆ ที่เคยเลือกมาคือเอียงไปทางปีกการเมืองที่ต้องการ “ชน” กับรัฐบาล</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
อย่างไรก็ตามคำตัดสินของศาลอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี 6
ศพที่วัดปทุมวนาราม ก็คงจะไม่เป็นผลดีกับ คุณอภิสิทธิ์
และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์มากนัก</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
<em style="margin: 0px; padding: 0px;">ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้อง
และญาติผู้ตายทั้งหกคน อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม
และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายที่ </em><em style="margin: 0px; padding: 0px;">1
และที่ 3-6 ถึงแก่ความตายเพราะถูงยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด .223
หรือ 5.56 ม.ม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม
กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้า
และผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายเพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด
.223 หรือ 5.56 มมม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2
กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ที่ประจำการอยู่บนถนนพระรามที่ 1
จึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายที่ 1- 6 ถึงแก่ความตายในวัดปทุมฯ เวลากลางวัน
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เหตุและพฤติกรรมที่ตาย
เนื่องจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. <u style="margin: 0px; padding: 0px;">ซึ่งวิถีกระสุนมาจากเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส บริเวณระหว่างถนนพระราม </u><u style="margin: 0px; padding: 0px;">1 และหน้าวัดปทุมฯ ในการควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศอฉ.</u>เป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจเสียโลหิตปริมาณมาก<strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940#_ftn2" name="_ftnref2" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title="">[2]</a></strong></em></div>
<div style="padding: 0px;">
<em style="margin: 0px; padding: 0px;"><br /></em></div>
<div style="padding: 0px;">
ในทางการเมือง นี่จะทำให้ผู้รับผิดชอบต่อคำสั่งในขณะนั้น
ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง
ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธาน
ในขณะนั้นจะปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองได้ยาก
ปัจจัยนี้คงจะเป็นตัวแปรหนึ่ง
ที่ทำให้เอาเข้าจริงแล้วแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์
ยังต้องชั่งน้ำหนักในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่าจะ “ชน”
กับรัฐบาลอย่างเต็มตัวหรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันต้องยอมรับว่าโมเมนตัมของฝ่ายต่อ
ต้านรัฐบาลยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอในการเคลื่อนไหวมากนัก</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
สำหรับการตอบโต้ของรัฐบาลที่ผ่านมามีทั้ง (1) การออก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
(นายกรัฐมนตรีได้สั่งยกเลิกไปแล้ว)
ทำให้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดเส้นทางโดยรอบรัฐสภา (2)
การออกคำสั่งห้ามกดไลค์ ห้าม แชร์ บน social media ของ
กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือแม้แต่ (3) การไม่ถ่ายทอดสดการอภิปราย
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภา เป็นต้น
มาตรการเหล่านี้คงพอจะประเมินได้ว่ารัฐบาลมีความกังวลกับสถานการณ์มากเกิน
จริง จนทำให้มองได้ว่ามีการออกมาตรการที่เกินจำเป็นกว่าสถานการณ์ออกมาใช้
แต่อย่างไรก็ตามอาจเป็นผลมาจากการข่าวกรองภายในของรัฐบาลที่ไม่เป็นที่เปิด
เผยก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ ฝ่ายตรงข้ามปลุกมวลชนไม่ขึ้น (จำนวนมวลชน
เวทีผ่าความจริงมี 2 - 3 พัน คน, จำนวนมวลชน กปท. ที่สวนลุมฯ มี 800 –
1,000 คน เป็นต้น)</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ก็ทราบถึงจุดอ่อนของตนเอง
จึงพยายามรอและคงกำลังของตนเอาไว้
มวลชนจากสันติอโศกเข้ามาที่พื้นที่สวนลุมฯ เพื่อช่วยตรึงสถานการณ์
คนเหล่านี้เป็นมวลชนที่ไม่ใช้เงินเป็นต้นทุนสนับสนุนสูง
พวกเขาสามารถปักหลักพักค้างได้
ทำให้อาจมองได้ว่าการตรึงกำลังดังกล่าวน่าจะรอสถานการณ์จำเพาะ 2 เรื่องคือ
(1) การนิรโทษกรรมให้กับคุณทักษิณ
ถ้าฝ่ายรัฐบาลพยายามเคลื่อนไหวในเรื่องนี้โดยเชื่อมโยงกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
(ซึ่งในปัจจุบันคงทำได้ไม่ง่ายในช่วงแปรญัตติ
แม้จะมองได้ว่ายังมีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกหลายฉบับที่ถูกมองว่า
มีการนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมคุณทักษิณอยู่ด้วย ค้างอยู่ในสภาก็ตาม)
หรือต่อให้ไม่มีก็ฝ่ายต่อต้านก็คงพยายามดึงให้ไปเกี่ยวข้องอยู่ดี และ (2)
สถานการณ์เรื่องคำตัดสินปราสาทพระวิหาร อาจผสมด้วยการโยกย้ายทหาร,
ช่วงระยะเวลาที่คาดว่าจะมีปัญหา
หรือกำหนดการเตรียมเคลื่อนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
รัฐบาลก็คงจะอ่านความเสี่ยงทางการเมืองเหล่านี้ออก
นายกรัฐมนตรีจึงให้ คุณวราเทพ รัตนากร และ คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา
ดำเนินการเรื่องสภาปฏิรูป และการปรองดอง แต่อย่างไรก็ดี
ในขณะนี้มีหลายฝ่ายดำเนินการเรื่อง เวทีสานเสวนา - การปรองดองอยู่แล้ว เช่น
กลุ่มสันติวิธี ทั้งจาก สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ
ในความเป็นจริงรัฐบาลควรจะให้การสนับสนุน และขอข้อสรุปเวทีเหล่านั้น
มากกว่าไปลงมือทำเอง เพราะจะถูกมองว่าไม่เป็นกลาง
และฝ่ายตรงข้ามก็จะปฏิเสธการเข้าร่วม ซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
(ยกเว้นว่าจะมองว่าเป็นการสร้างภาพทางการเมืองซึ่งไม่จำเป็นสำหรับรัฐบาลนี้
เพราะมีภาพบวกจากเรื่องอื่นอยู่แล้ว) จะไปซ้ำรอยประชาธิปัตย์</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
ทั้งนี้ภาพใหญ่ของรัฐบาลคือ จำเป็นจะต้องมีการขับเคลื่อนเรื่อง การปรองดอง +
การปฏิรูปโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือทำ double
play
ในลักษณะเดียวกับการเล่นเบสบอลที่การเล่นของฝ่ายป้องกันในรอบเดียวจะต้องทำ
ให้ผู้เล่นฝ่ายรุกถูกออกจากฐานพร้อมกันทั้งสองคน
คือเป็นการกำจัดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง
และการแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการขนส่งซึ่งล้าสมัยมา
นาน เรื่องพวกนี้ต้องทำให้เกิดผลจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ
นอกจากนี้เรื่องนี้อันที่จริงก็มีความชอบธรรม
เพราะไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็จำเป็นจะต้องดำเนินนโยบาย
ตามแนวทางนี้
เพื่อเตรียมประเทศรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่กำลังมาถึง</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานความขัดแย้ง
ก็จะพบว่าความขัดแย้งในขณะนี้แก้ไขยาก เพราะขัดแย้งถึงระดับรากฐาน
ฝ่ายเสื้อแดงอาจมองได้ว่า ทำไมฝ่าย "เสื้อเหลือง" รัฐประหาร
ซึ่งมีความผิดสูงสุดเพราะเป็นการล้มรัฎฐาธิปัตย์
แต่ผู้กระทำการกลับไม่ต้องรับโทษอะไรเลย
มีการบรรจุมาตราที่ย้ำเรื่องนี้เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ถ้าหากจะมองไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง
และนอกจากนั้นก็มีใช้กระบวนการไม่ถูกต้องในการเอาผิดคุณทักษิณ (หรือพูดง่าย
ๆ คือมีปัญหาเรื่อง due process) ซึ่งถ้าเคร่งครัดเรื่องกฎหมายจริง
ต่อไปนี้จะไม่สามารถเอาผิดคุณทักษิณได้อีกเลย เพราะ due process
ผิดแต่ต้นความผิดที่ได้ตัดสินกับคุณทักษิณไปแล้วจะเป็นอันโมฆะ
และจะย้อนกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ก็ไม่ได้
เพราะกฎหมายห้ามพิจารณาคดีสองครั้งในเรื่องเดิม
(ดูตัวอย่างคดีอาชญากรสงคราม จอมพล ป พิบูลสงคราม<a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940#_ftn3" name="_ftnref3" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title="">[3]</a>)
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(4) เป็นหลักการห้ามดำเนินคดีซ้ำสองแก่จำเลย
อันเป็นการสอดคล้องกับหลักสากลซึ่งเรียกกันในภาษาลาตินว่า Non bis in idem</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
ความขัดแย้งโดยพื้นฐานนี้
พัฒนามาถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องเอาชนะกันให้ได้เด็ดขาด
แต่ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของไทย
ไม่ได้มีความขัดแย้งขนาดใหญ่เหมือนในต่างประเทศ
และในขณะเดียวกันทางสากลที่จับตามองอยู่
รวมถึงข้อเท็จจริงคือทั้งสองฝ่ายยังคงมีกำลังก้ำกึ่งกัน</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
แต่ข้อเท็จจริงพื้นฐานคือ ทั้งสองฝ่ายต่างประสบความสูญเสีย
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสื้อแดง เสื้อเหลืองหรือฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
หรือแม้แต่ฝ่ายที่ไม่มีสี
เช่นญาติของมวลชนฝ่ายเสื้อแดงที่เสียชีวิตในระหว่างชุมนุม, คุณนิชา
หิรัญบูรณะ ธุวธรรม และนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด
(น้องเกด) เป็นต้น ทุกฝ่ายต่างก็ต้องการความจริง
และมีปมปริศนาบางอย่างที่ยังคลี่คลายไม่ได้เช่นคนเสื้อดำ
ข้อมูลเท่าที่ผมทราบมามีปฏิบัติการจริง และมีมากกว่านั้น
และไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใคร เราพร้อมจะรื้อฟื้นหรือไม่
และถ้ารื้อฟื้นแล้วจะยอมรับได้หรือไม่ และให้อภัยได้จริงหรือไม่
เรื่องเหล่านี้คงจะเป็นสิ่งยุ่งยากในตอนนี้
เพราะแม้แต่ผู้ต้องขังจากคดีการทำความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทุกฝ่ายก็ไม่อยากเอาขึ้นพิจารณาบนโต๊ะเจรจาด้วยซ้ำ</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="padding: 0px;">
นี่ยังไม่นับปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ของสังคมไทยที่ผูกกับเรื่องศาสนาด้วย
แม้จะไม่ชัดเจนก็ตาม</div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
<div style="margin: 0px; padding: 0px;">
<br clear="all" style="margin: 0px; padding: 0px;" />
<hr align="left" size="1" style="margin: 0px; padding: 0px;" width="33%" />
<div id="ftn1" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div style="padding: 0px;">
<a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940#_ftnref1" name="_ftn1" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title=""><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">[1]</span></a><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;"> </span><a href="http://dusitpoll.dusit.ac.th/polldata/2556/25561375580340.pdf" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;"><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">http://dusitpoll.dusit.ac.th/polldata/2556/25561375580340.pdf</span></a></div>
</div>
<div id="ftn2" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div style="padding: 0px;">
<a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940#_ftnref2" name="_ftn2" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title=""><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">[2]</span></a><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;"> ดู http://www.dailynews.co.th/crime/224274</span></div>
</div>
<div id="ftn3" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div style="padding: 0px;">
<a href="http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2940#_ftnref3" name="_ftn3" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;" title=""><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">[3]</span></a><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;"> ใน
คดีนั้นคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามได้ยื่นฟ้องจอมพล ป.
พิบูลสงคราม นายเพียร ราชธรรมนิเทศ และนายสังข์ พัฒโนทัย
กล่าวหาเป็นใจความว่าสมัครใจเข้าร่วมสงครามรุกรานกับญี่ปุ่น</span></div>
<div style="padding: 0px;">
<span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">โดยร่วมยุทธทาง
ประเทศพม่ากับโฆษณาชักชวนให้เห็นชอบในการทำสงครามรุกราน
การกระทำหลังสุดที่โจทก์หาว่าจำเลยได้กระทำผิด เกิดระหว่างวันที่ 16
กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2486
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคาม พุทธศักราช 2488 มาตรา 3(1)
และมาตรา 4 ขอให้ริบทรัพย์และเพิกถอนสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย</span></div>
<div style="padding: 0px;">
<span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">พระราชบัญญัติดัง
กล่าวมีบทบัญญัติว่า
ไม่ว่าการกระทำอันบัญญัติว่าเป็นอาชญากรสงครามนั้นจะได้กระทำก่อนหรือหลัง
วันใช้พระราชบัญญัตินี้ผู้กระทำได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรสงคราม
และจะต้องได้รับโทษดังที่บัญญัติไว้ทั้งสิ้น คดีนี้คือ
คดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2-4/2489
ซึ่งศาลฎีกาโดยพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์เป็นเจ้าของสำนวนร่วมวินิจฉัยกับ
พระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์
พระยาธรรมบัณฑิตสิทธิศฤงคารและพระชัยประชาเป็นองค์คณะ</span></div>
<div style="padding: 0px;">
<span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">ได้ชี้ขาดว่าพระ
ราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488
เฉพาะที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำ
ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติด้วยนั้น
ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและเป็นโมฆะ การกระทำที่โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยได้กระทำผิดเกิดก่อนวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2488
อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติอาชญากรสงครามได้ออกใช้ทั้งสิ้น
เมื่อบทบัญญัติที่โจทก์ฟ้องขอให้เอาผิดแก่จำเลยเป็นโมฆะอันจะลงโทษจำเลยไม่
ได้ ศาลฎีกาจึงไม่ฟังคำพยานหลักฐานของโจทก์ในเรื่องนี้ต่อไปอีก
แล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป<br style="margin: 0px; padding: 0px;" />ดูข้อมูล: </span><a href="http://www.museum.coj.go.th/SpPerson/Article07.pdf" style="color: #333333; font-size: 14px; left: 0px; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; top: 0px;"><span style="color: green; margin: 0px; padding: 0px;">http://www.museum.coj.go.th/SpPerson/Article07.pdf</span></a></div>
<div style="padding: 0px;">
</div>
</div>
</div>
<div style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div id="ftn3" style="margin: 0px; padding: 0px;">
<div style="padding: 0px;">
<strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="color: red; margin: 0px; padding: 0px;">ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก The Nation โพสทูเดย์ เดลินิวส์ คมชัดลึก</span></strong></div>
</div>
</div>
</span></div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-87164373988928926282013-08-14T18:20:00.000+07:002013-08-14T18:20:05.299+07:00สดุดีวีรประวัติ 68 ปีไทยมีเอกราช : ไม่มีเทวดาฟ้าประทานให้ แต่ด้วยจิตใจเสียสละรักชาติของราษฎร <h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
ที่มา : <a href="http://thaienews.blogspot.com/2013/08/68_14.html">Thai E-News</a></h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
</h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
สดุดีวีรประวัติ 68 ปีไทยมีเอกราช:ไม่มีเทวดาฟ้าประทานให้ </h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
แต่ด้วยจิตใจเสียสละรักชาติของราษฎร </h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<img height="640" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/431852_490302157709408_1287630458_n.jpg" width="436" /> </h3>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div dir="ltr" style="text-align: left;">
<img alt="รูปภาพ : From War to Peace, August 16, 1945
16 สิงหา 2488/1945 ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการฯ ประกาศสันติภาพ
15 สิงหา จักรพรรดิฮิโรฮิโต ญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้สงครามโลก ครั้งทีี่่ สงครามมหาเอเชียบูรพา
09 สิงหา สหรัฐฯ ทิ้งปรมาณูลูกที่สอง ลงที่นางาซากิ คนตายไปเกือบแสน ในพริบตา
06 สิงหา สหรัฐฯ ทิ้งปรมาณูลูกแรก ลงที่ฮิโรชิมา คนตายไปเกือบแสน ในพริบตา
เดือนสิงหาคม ปี 2488 หรือ 68 ปีมาแล้ว
มีเหตุการณ์สำคัญ ควรเรียน จดจำ จาก ปวศ มากมาย
และสำคัญสำหรับอนาคต ของสยามประเทศ กับ ประชาคมอาเซียน ครับ
ปีนั้น 17 สิงหา ซูการ์โน ก็ประกาศเอกราช อินโดนีเซีย
ปีนั้น 30 สิงหา เบาได๋ ก็ประกาศสละราชสมบัติ
สิ้นสุดระบบจักรพรรดิศักดินา
อีกไม่กี่วันต่อมา คือ 2 พฤศจิกา โฮจิมินห์ ก็ประกาศเอกราช เวียดนาม
ปีนั้น ด้วยการนำของ ฯพณฯ ปรีดี ไทยเรามีความหวัง ไม่ถูกปรับให้แพ้สงคราม
บ้านเมืองจะเป็น ประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยใหม่
5 ธันวา ปีนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 8 ก็เสด็จกลับจากสวิส
พร้อมพระมารดา และอนุชา
แต่ 9 มิถุนา 2489/1946 หรือ 6 เดือนต่อมา
ก็ต้องพระแสงปืน สวรรคต อย่างมีเงื่อนงำ
ฯพณฯ ปรีดี ถูกใส่ร้ายป้ายสี "ฆ่าในหลวง"
8 พฤศจิกา พลโทผิน ขุณหะวัน
ร่วมมือกับพรรค ปชป ของ ควง อภัยวงศ์
ทำ "รัฐประหาร"
และแล้ว สยามประเทศไทย
ก็กลับกลายเป็น อประชาธิปไตย
จนแล้ว จนรอด ก็ยังไม่หลุดออกจาก บ่วงกรรม อันนี้
สรุป
นิทาน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
เรายังไม่ได้เรียน หรือ รับอนุญาต ให้เรียนรู้จาก ปวศ ครับ" src="https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/525724_698666830147747_1532736300_n.jpg" /> <br /><br />
เสรีไทยเดินสวนสนามหลังสงครามสงบ <span style="background-color: white; color: #37404e; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">16 สิงหา 2488 ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการ ประกาศสันติภาพ ทำให้ไทยมีเอกราชสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม </span><br /><br /><br />
<img alt="Name: IMG_0112.JPG
Views: 495
Size: 307.2 KB" height="300" src="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/attachment.php?attachmentid=8948&d=1330182921" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px; margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">
เสรีไทย<a href="https://www.facebook.com/freethaiphrae" style="color: #666666;">แพร่<br /></a></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">
<img alt="Name: IMG_0113.JPG
Views: 502
Size: 370.4 KB" height="388" src="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/attachment.php?attachmentid=8949&d=1330183017" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
<img alt="Name: IMG_0742.JPG
Views: 446
Size: 394.3 KB" height="300" src="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/attachment.php?attachmentid=9154&d=1331015274" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
ภาพจาก<a href="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/showthread.php/36094-The-Free-Thai-Seri-Thai-Museum-amp-Phrae" style="color: #666666;">พิพิธภัณฑ์เสรีไทย จังหวัดแพร่</a><br /><br />
<img height="190" src="http://www.muangkhai.ac.th/_files_school/54100409/data/54100409_0_20120702-150310.jpg" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
<img alt="Name: IMG_0114.JPG
Views: 488
Size: 283.9 KB" height="300" src="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/attachment.php?attachmentid=8950&d=1330183137" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
<img alt="Name: IMG_0766.JPG
Views: 421
Size: 286.6 KB" src="http://www.gt-rider.com/thailand-motorcycle-forum/attachment.php?attachmentid=9153&d=1331015241" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" /><br />
</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">
<img height="246" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/144/19144/images/DSC02606.jpg" style="border: 1px solid rgb(187, 187, 187); margin: 0px 0px 5px; padding: 4px;" width="400" /><br />
<b><br />เสรีไทย สกลนคร</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">
</div>
<i style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;"><br /></i>
<i style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">ใน
เวลานั้นนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการ
ในห้วงเวลานั้นในหลวงรัชกาลที่ 8 รวมทั้งพระชนนี
สมเด็จพระอนุชา(ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน) ประทับอยูที่สวิตเซอร์แลนด์ </i><br />
<br style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;" />
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">พระ
ราชวงศ์ชั้นสูงในเวลานั้นที่ประทับในเมืองไทยมีสมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า
นายปรีดีได้เชิญเสด็จอพยพไปประทับที่อยุธยา
ระหว่างที่เสด็จอพยพหลบภัยอยู่นี้ สมเด็จฯ
ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ ได้ตรัสว่า</span><br />
<br />
<blockquote style="background-color: white; border-color: rgb(187, 187, 187); border-style: dotted; border-width: 1px 0px; color: #335577; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px; margin: 0.75em 0px; padding: 5px 15px;">
<b>“ดีใจ๊ ดีใจ หลานอยู่เมืองนอกไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงเอาไม่รอด ห่วงหลาน”</b></blockquote>
<br style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;" />
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">การ
ถวายความอารักขาให้พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ได้ทรงซาบซึ้งพระทัยดี และเมื่อสิ้นสงคราม ได้รับสั่งเรียกนายปรีดี
ไปที่ประทับและขอบใจ
ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง (</span><a href="http://www.pridi-phoonsuk.org/poonsuks-audiences-with-saovabha-bongsri-and-savang-vadhana/" style="background-color: white; color: #666666; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">อ่านรายละเอียด</a><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Trebuchet MS', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;">)</span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20.796875px;"><span style="font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span></span><br />
<b><br /></b>
<b>ปากคำหัวหน้าเสรีไทย:เราถือประโยชน์ของชาติสำคัญกว่า แต่ผมประมาทเลยโดนพวกเก่าเล่นงาน</b><br /><br />
<img height="320" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/431852_490302157709408_1287630458_n.jpg" width="218" /><br />
<br />
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><b>หมายเหตุไทยอีนิวส์:</b>ประสบการณ์และความเห็นบางปร</span><wbr style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="background-color: white; color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ะการของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี</span><wbr style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="background-color: white; color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"> พนมยงค์ </span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">สัมภาษณ์โดย ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา </span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เผยแพร่ในfacebookของ </span><a data-hovercard="/ajax/hovercard/user.php?id=100001888845107" href="https://www.facebook.com/sinsawat.yodbangtoey" id="js_13" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; font-weight: bold; line-height: 18px;">Sinsawat Yodbangtoey</a> เราได้คัดมาเฉพาะัในส่วนที่พูดถึงขบวนการเสรีไทย<br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /><b>ฉัตรทิพย์</b> :</span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">อาจารย์ครับ เมื่อโยงเรื่องนี้เข้ากับเส</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">รีไทยซึ่งเป็นขบวนการ (movement) ที่มาจากประชาชนเยอะมากทีเด</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ียว ผมได้ไปทางภาคอีสานและได้เค</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ยคุยกับคนที่เคยเป็นเสรีไทย</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">เก่า ได้ไปเห็นสนามบินของเสรีไทย</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ผมรู้สึกว่ามีขบวนการที่มาจ</span><wbr style="color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></wbr><span class="word_break" style="color: #333333; display: inline-block; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ากประชาชนมาก </span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ก็อยากเรียนถามอาจารย์ว่ามี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ช่วงหนึ่งหลังสงครามที่คณะเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สรีไทยมีบทบาทมากทำไมในช่วง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นั้นโอกาสที่จะจัดตั้งทางด้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>านประชาชนหรือชาวนาให้ได้ทำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>การอะไรต่างๆ เพื่อประโยชน์ของเขา หรือเพื่อมีส่วนมีเสียงในสั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งคมในรัฐบาลให้มากยิ่งขึ้นไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ปกว่านั้น มันจึงจบลงไปด้วยเวลาสั้นเห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลือเกิน </span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ทำไมในช่วงนั้นท่านอาจารย์ไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ม่สามารถจะทำให้พลังของประช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าชนอันนั้นมาสนับสนุนความเป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ก้าว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หน้ากว่าได้ ทั้งๆที่รู้สึกว่า เป็นช่วงที่มีเชื้อขึ้นมาเย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อะแยะแล้ว แต่ทำไมกลับฟุบไปอีก อาจารย์กรุณาอธิบายด้วยครับ<br /><br /><b>ท่านปรีดี </b>:คือการต่อสู้ญี่ปุ่นในระหว่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างสงคราม เรามิได้เป็นชนชั้น เพราะถือเช่นนั้นไม่ได้ คือว่าต้องทุกชนชั้น คือคนไทยที่รักชาติจะอยู่ใน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชั้นใดก็ตามที่ร่วมมือการต่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อสู้ญี่ปุ่น และความจริงก็เป็นเช่นนั้น คือมีเจ้าหลายองค์ หรือลูกเจ้า พวกเศรษฐี พวกโดยมากก็เป็นครู ประชาชนผู้แทนที่เขาเคยจัดต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ั้งก็หลายคน และเราได้ตกลงกันว่ามีเพียง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>การกู้เอกราชของชาติและเอกร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าชสมบูรณ์ที่ถูกญี่ปุ่นยึดค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รองให้สำเร็จและให้สัมภาษณ์<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>โดยรับรองมีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คุณอ่านหนังสือของผมหรือยัง <wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หนังสือตอบพระพิศาลเรื่องเส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รีไทย </span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">และเมื่อเราให้คำมั่นไว้อย่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างนั้นแล้ว เมื่อเสร็จสงครามเดือนสิงหา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> เดือนกันยาเราก็ยุบเลิก เ<u>ราจะไปฉวยโอกาสเอามาทำเพื่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อประโยชน์ทางการเมืองของเรา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มันก็ผิดความประสงค์ไป</u><br /><br /><b>ฉัตรทิพย์ :</b>ก็ถ้าเพื่อประชาชนเล่าครับ<br /><br /><b>ท่านปรีดี </b>:มันก็เท่ากับไปหักหลังเขา มันทำไม่ได้ ผมเห็นว่าเราไม่ควรทำ อีกอันหนึ่งเราก็ปล่อยว่าใค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รจะตั้งพรรคอย่างไรก็เอา อย่างเช่น ในภาคอีสานก็มีพรรคสหชีพซึ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งคุณเตียง, ทองอิน, ถวิล, จำลอง บุคคลระดับหัวหน้าที่ถูกเขา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จับเอาไปฆ่า</span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br />ทีนี้เกี่ยวมาถึงสหชีพนั้นผ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู้แทนอีกหลายส่วนก็ได้ช่วยก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ันจัดตั้งขึ้น แต่ว่าก็เป็นอดีตเสรีไทยส่ว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นมากคือ เสรีไทยในบางชนบท ส่วนมากมีผู้แทนราษฎรที่ติด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ต่อกับราษฎรในท้องถิ่นและคร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ูประชาบาล ครูประชาบาลมีอิทธิพล คุณคงเข้าใจ เป็นอันว่าถ้าผมไม่คิดถึงคำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สัญญาว่าเอาเถอะ ทุกคนมาร่วมกันนะเราจะไม่หั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กหลังกัน ถือประโยชน์ของชาติเป็นส่วน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใหญ่ แล้วผมก็อาจพิจารณาทำอย่างท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ี่คุณคิดว่าทำไมผมไม่ทำ แต่นี่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้<br /><br /><b>ฉัตรทิพย์ </b>:อาจารย์สัญญากับคนอื่นๆ ที่มาร่วมที่ไม่ใช่ชนชั้นชา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วนา<br /><br /><b>ท่านปรีดี</b> :ชาวนาแท้จริงที่เข้าร่วมขบว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นเสรีไทยเป็นคนซื่อสัตย์ถือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ประโยชน์ส่วนรวมของชาติเหนื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อชนชั้นของตน และรู้ว่าต้องมีขบวนการกว้า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งใหญ่รวมทุกชนชั้นจึงต่อสู้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ศัตรูระหว่างสงครามโลกครั้ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่ ๒ นั้นได้ เมื่อกองบัญชาการเสรีไทยในน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ามของเสรีไทยได้เห็นสมควรให<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้สัญญากับบุคคลแห่งชนชั้นใด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่มาเข้าร่วมขบวนการแล้ว ขบวนการก็ต้องซื่อสัตย์ </span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><b>ฉัตรทิพย์</b> : เป็นความกดดันจากต่างประเทศ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ด้วยหรือเปล่าครับ<br /><br /><b>ท่านปรีดี </b>: ไม่ใช่ความกดดัน เราก็ต้องการที่ให้ชาวอังกฤ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ษ อเมริกาเขาเข้าใจ เพราะคุณย่อมทราบแล้วจากที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ผมเคยชี้แจงไว้ในหลายบทความ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> รวมทั้งในหนังสือของผมชื่อ “ จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท เรื่องจดหมายเหตุของเสรีไทย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา” ใจความสำคัญ ขบวนการเสรีไทยจำต้องปฏิบัต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิภารกิจในการรับใช้ชาติไทย ๒ ด้านประกอบกันคือ</span><br />
<blockquote class="tr_bq">
<b><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">๑) ต่อสู่ญี่ปุ่นผู้รุกราน และ</span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">๒) ปฏิบัติการเพื่อให้สัมพันธม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิตรรับรองว่าประเทศไทยไม่ตก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เป็นฝ่ายแพ้สงคราม และการผ่อนหนักเป็นเบา</span></b></blockquote>
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br />ทั้งนี้เพราะรัฐบาลไทยได้ปร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สหรัฐอเมริกา และก่อสถานะสงครามกับจีน ฝ่ายบริเตนใหญ่และออสเตรเลี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยและสหภาพอาฟริกา (ขณะนั้นยังอยู่ในเครือจักร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ภพ “Commonwealth” ของอังกฤษ) ก็ได้ประกาศสงครามต่อประเทศ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไทยเป็นการโต้ตอบ ฉะนั้นขบวนการเสรีไทยจึงต้อ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งปฏิบัติด้านสำคัญนี้ด้วย ซึ่งต่างกับขบวนการการจีนก๊<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กมินตั๋ง, จีนคอมมิวนิสต์, กับองค์การที่ขึ้นต่อจีน จึงต่อสู้ญี่ปุ่นด้านเดียวก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>็พอแล้ว เพราะจีนมิได้มีสถานะสงคราม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กับสัมพันธมิตร</span><br />
<blockquote class="tr_bq">
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><u>เราถือประโยชน์ของชาติสำคัญ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่สุดกว่าผลประโยชน์ส่วนตั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วและกลุ่ม แต่ผมประมาทไปก็เลยโดนพวกเก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่าเล่นงาน</u></span></blockquote>
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br />ส่วนขบวนการกุมภาพันธ์นั้น ความจริงคุณเตียงมิได้เกี่ย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วข้องไม่ได้ส้องสุมอะไร แต่เขาเห็นว่าคุณเตียงเป็นศ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิษย์ผม เขาก็จับไปฆ่า<br /><br /><b>ฉัตรทิพย์ </b>:แต่ทำไมพลังถึงสูญไปเร็ว ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้สนับสนุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นเต็มที่แล้ว<br /><br /><b>ท่านปรีดี :</b>ถึงแม้เขาถูกทำลายโดยรัฐประ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หาร ๒๔๙๐ แต่เขาก็ยังคงเกาะเป็นกลุ่ม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กันอยู่ ต่อมาเมื่อบุคคลระดับหัวหน้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าถูกปราบถูกฆ่า กลุ่มก็ค่อยๆ ละลายไป<br />************</span><br />
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><br /></span>
<br />
<div class="clearfix fbPhotoSnowliftAuthorInfo" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; zoom: 1;">
<div class="lfloat" id="fbPhotoSnowliftAuthorPic" style="float: left; margin-right: 10px;">
<a href="https://www.facebook.com/sinsawat.yodbangtoey" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: none;"><img alt="" class="_s0 _rw img" src="https://fbcdn-profile-a.akamaihd.net/hprofile-ak-ash4/211747_100001888845107_1538645656_q.jpg" style="border: 0px; display: block; height: 50px; width: 50px;" /></a></div>
<div>
<div class="fbPhotoContributorName" id="fbPhotoSnowliftAuthorName" style="display: inline; font-size: 15px; font-weight: bold; line-height: 18px; padding-bottom: 3px; padding-top: 1px;">
<a data-hovercard="/ajax/hovercard/user.php?id=100001888845107" href="https://www.facebook.com/sinsawat.yodbangtoey" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: none;">Sinsawat Yodbangtoey</a></div>
<div class="mrs fsm fwn fcg" style="color: grey; margin-right: 5px;">
<span id="fbPhotoSnowliftSubscribe"></span><span id="fbPhotoSnowliftTimestamp"><abbr data-utime="1375156964" style="border-bottom-style: none;" title="30 กรกฎาคม 2013 เวลา 11:02 น.">เมื่อวานนี้</abbr> </span><br />
<div class="mls" id="fbPhotoSnowliftAudienceSelector" style="display: inline-block; margin-bottom: -4px; margin-left: 0px; margin-top: 0px; vertical-align: top;">
</div>
</div>
<div class="fsm fwn fcg" style="color: grey;">
<div class="fbPhotosOnProfile" id="fbPhotoSnowliftOnProfile" style="padding-top: 0px;">
</div>
</div>
<span id="fbPhotoSnowliftViewOnApp"></span><span id="fbPhotoSnowliftUseApp"></span></div>
</div>
<span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"></span><br />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px;">
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45}" id="fbPhotoSnowliftCaption" style="display: inline; font-size: 15px; line-height: 18px; outline: none; width: auto;" tabindex="0"><br /></span>
<br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_51f9045a02eec5c07775592" style="display: inline;">
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45}" id="fbPhotoSnowliftCaption" style="display: inline; font-size: 15px; line-height: 18px; outline: none; width: auto;" tabindex="0"><br /><b>คำชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ประวัติพรรคสหชีพ</b><br /><br />คำบอกเล่าเกี่ยวกับพรรคสหชี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พนั้นมีจำนวนไม่น้อย ฉะนั้นผมจึงขอให้คุณกับสานุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ศิษย์โปรดสอบสวนเอกสารหลักฐ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>านซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แท้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จริงของการเมืองแห่งประเทศไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทย ดังต่อไปนี้<br /><br />๑. เมื่อขบวนการเสรีไทยได้ยุบต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นเองในวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๘ แล้ว สมาชิกแห่งขบวนการนั้นก็แยก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ย้ายกันไปประกอบกิจต่างๆ กันตามสมัครใจ อาทิ บางคนกลับไปเป็นข้าราชการปร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะจำตามเดิม บางคนประกอบธุรกิจส่วนตัว บางคนรับใช้ชาติในทางการเมื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>องโดยสมัครเป็นผู้แทนราษฎรอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิสระบ้าง ประกอบเป็นพรรคการเมืองตามอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ุดมการณ์ของตนบ้าง ฯลฯ<br /><br />๒. พรรคสหชีพเป็นพรรคหนึ่งในบร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รดาหลายพรรคที่ตั้งขึ้นภายห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลังกันยายน ๒๔๘๘ โดยใช้วีธีต่อสู้ทางรัฐสภา<br /><br />การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรภาย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงก่อนรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ นั้น สมาชิกพรรคสหชีพได้รับเลือก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจำนวนมา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ก แต่ยังมีจำนวนไม่พอที่จะตั้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งเป็นรัฐบาลโดยลำพังผู้แทนร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าษฎรของพรรคสหชีพได้ ฉะนั้นพรรคสหชีพจึงร่วมกับพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคอิส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ระกับผู้แทนอิสระที่ไม่สังก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ัดพรรคใดประกอบเป็นรัฐบาลขึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้น<br /><br />๓. ต่อมาในวันที่ ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ได้มีบุคคลคณะหนึ่งทำรัฐประ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หารล้มระบบปกครองประชาธิปไต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ และได้สถาปนาระบบรัฐธรรมนูญ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชั่วคราวฉบับ ๙ พ.ย. ๒๔๙๐ ที่มีฉายาว่ารัฐธรรมนูญฉบับ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใต้ตุ่ม และได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นรัฐบาล<br /><br />การรัฐประหารครั้งนั้นได้จั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บกุมสมาชิกพรรคสหชีพไปคุมขั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งไว้หลายคน และคุกคามที่จะจับกุมผู้ที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สงสัยว่าเตรียมการต่อต้าน<br /><br />๔. แม้สมาชิกพรรคสหชีพถูกจับกุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มและถูกคุกคามก็ดี แต่สมาชิกพรรคสหชีพก็พยายาม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ต่อสู้ตามวิถีทางรัฐสภา<br /><br />ฝ่ายรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ กับผู้ร่วมมือได้ใช้วิธีกีด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กันอดีตผู้แทนรุ่นหนุ่มจำนว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นมากที่สังกัด<br />พรรคสหชีพ, แนวรัฐธรรมนูญ, อิสระ มิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ั้งเป็นผู้แทนราษฎร</span></div>
</div>
</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-17147543121937689992013-08-14T15:23:00.002+07:002013-08-14T15:26:21.111+07:00พิมพ์เขียวปฏิรูป แค่ "ทักษิณ" คุย "พล.อ.เปรม" ก็ไม่จบ โดย ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ <br />
<nav class="subnav"><span style="font-size: large;">ที่มา : <a href="http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1376210809">ประชาชาติธุรกิจออนไลน์</a></span></nav><nav class="subnav"><br /></nav><nav class="subnav"><br /></nav>
<br />
<div class="pushdown_ads">
</div>
<h1>
<span style="font-size: large;">"ดร.ชัยวัฒน์" วิจัยพิมพ์เขียวปฏิรูป แค่ "ทักษิณ" คุย "พล.อ.เปรม" ก็ไม่จบ</span></h1>
<div id="article_thumbnail">
<div class="wrap">
<a href="http://www.prachachat.net/online/2013/08/13762108091376210888l.jpg" rel="lightbox[roadtrip]" title="คลิกเพื่อขยายภาพ"><img border="0" height="430" src="http://www.prachachat.net/online/2013/08/13762108091376210888m.jpg" width="640" /></a></div>
</div>
<div class="author">
<br /></div>
<br />
<i><span style="color: blue;"><span class="text_l" style="font-size: small;"><strong class="text_l">ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นนักวิชาการด้านสันติวิธี</strong>
เป็นหนึ่งในหลายคนที่ "สภาปฏิรูปการเมือง" ของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
นายกรัฐมนตรี ส่งเทียบเชิญเพื่อให้เข้าร่วมองคาพยพ
แต่สุดท้ายเขาปฏิเสธคำเชิญนั้น โดยบอกว่า เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัว</span></span></i><br class="text_l" /><span class="text_l" style="font-size: small;"><br class="text_l" /><i><span style="color: blue;">แต่ก่อนหน้านั้น เขาและลูกทีมหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยปัญหาความขัดแย้งทางสังคม-การเมือง เรื่อง "พื้นที่สันติวิธี/หนทางสังคมไทย"<br class="text_l" /><br class="text_l" />"ดร.ชัย
วัฒน์" จึงสังเคราะห์ความคิดที่ตกผลึกจากงานวิจัยผ่านหน้ากระดาษ
"ประชาชาติธุรกิจ" แม้เขาไม่เข้าร่วมวงสภาปฏิรูปการเมือง
แต่เขาได้วางวิธีพูดคุยแบบสันติวิธีอย่างน่าสนใจ</span></i><br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- สภาปฏิรูปการเมืองช่วยให้เกิดความปรองดองได้ไหม<br class="text_l" /></strong>ไม่
ทราบว่านายกฯอยากเห็นอนาคตของสภาปฏิรูปการเมืองเป็นอะไร
เท่าที่ฟังบอกว่าจะให้ใครต่อใครเข้ามา มีอะไรจะได้แลกเปลี่ยนกัน
แต่การพยายามให้มีทุกฝ่ายในสังคมที่แยกขั้ว นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
แล้วเราเริ่มเห็นว่าคนจำนวนหนึ่งเข้ามา แต่คนอีกจำนวนหนึ่งไม่ยอมเข้ามา
เรื่องสำคัญไม่ใช่คนที่มา แต่เป็นคนที่ไม่ยอมมา
ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีสะพานสร้างไปสู่คนเหล่านั้น
เพราะถ้าไม่มีมุมมองจากคนเหล่านั้น
มันก็จะเป็นที่ประชุมของคนที่มีความเห็นคล้ายกัน<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- วิธีที่จะนำคนที่ไม่ยอมมา เปลี่ยนใจมาเข้าร่วมสภาปฏิรูปได้ต้องทำอย่างไร<br class="text_l" /></strong>มัน
เริ่มได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ทำอย่างไรถึงมองปัญหาจากมุมของเขา
ในการศึกษาวิจัยด้านความขัดแย้งจะอธิบายเสมอว่า สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำ
คือ มองเรื่อง ๆ เดียวกัน แต่อย่ามองในมุมมองของตัว ต้องมองมุมของอีกฝ่าย
เราก็จะเห็นว่าเรื่องนี้ทำไมถึงสำคัญขนาดนี้กับเขา
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจะเป็นจะตาย <br class="text_l" /><br class="text_l" />-<strong class="text_l"> คิดว่านายกฯมองจากมุมมองของฝ่ายตรงข้ามไหม</strong><br class="text_l" />ถ้า
คิดจากมุมของรัฐบาล คิดว่ารัฐบาลคงหาวิธี และวิธีที่รัฐบาลอยากทำ คือ
อยากใช้วิธีที่ไม่อยากให้มีฝ่ายใดเสีย บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น
สามารถเชิญฝ่ายต่าง ๆ เข้ามาพูดคุยกันได้ก็เข้ามาก่อน
ส่วนจะคุยได้ผลไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เขาคิดออก
ไปเชิญคนสำคัญของชาติบ้านเมืองเข้ามา ไม่ว่าคุณบรรหาร (ศิลปอาชา)
พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ) คุณอุทัย (พิมพ์ใจชน)
คนเหล่านั้นเขาเห็นดีเห็นงามด้วยก็มา<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- การเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมเป็นคณะกรรมการ สามารถช่วยทำให้ปรองดองเกิดขึ้นไหม<br class="text_l" /></strong>ท่าน
เหล่านี้คงมีความเห็นอะไรของท่านอยู่ แต่ช่วยได้จริงไหม...มันตอบยาก
คือแน่นอนคนต้องมองว่านี่เป็นวิธีการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล
แต่เชื่อในที่สุดว่าคุยกันดีกว่าตีกัน แต่มันต้องมีวิธีการคุยเหมือนกัน
บางเรื่องสำคัญ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดในที่สาธารณะ<br class="text_l" /><br class="text_l" />-<strong class="text_l"> ปัญหาความขัดแย้งขณะนี้ ควรคุยในที่ลับหรือที่แจ้งจะเหมาะสมที่สุด<br class="text_l" /></strong>ควร
จะใช้ทั้งสองอย่าง แต่ควรดูเป็นเรื่อง ๆ ไป
ว่าอะไรควรนั่งคุยกันบนโต๊ะกาแฟตอนเช้าที่ไม่มีนักข่าวอยู่
เหตุผลคือความขัดแย้งบางเรื่องไม่ใช่แค่ประเด็นของเรื่อง
สมมติญาติพี่น้องทะเลาะกันเรื่องมรดก บางทีนำเรื่องไปถึงศาล
นำเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ พอเป็นอย่างนั้นสิ่งที่เสียหายไปไม่ใช่ใครจะได้
หรือใครจะชนะ แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องซ่อม
ซึ่งมันไม่ได้ซ่อมในที่สาธารณะ มันอาจจะค่อย ๆ ซ่อมในที่รโหฐาน
หลังจากนั้นค่อยมาที่สาธารณะ แล้วจับมือกัน ถ่ายรูปกัน จริง ๆ
ในการเจรจาระหว่างประเทศและเจรจาความเมืองมันมีเวทีต้องคุยกันก่อน
มีคณะทำงานละเอียดรอบคอบ พอสุดท้ายค่อยบอกว่าเราตกลง เราจะเจรจากันแบบนี้นะ
มันแบบนี้ทั้งนั้น<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">-
ถ้าโฟกัสตัวคู่ขัดแย้งอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ที่ปรากฏผ่านคลิปเสียงคล้ายนักการเมือง คิดว่าความขัดแย้งจะจบไหม <br class="text_l" /></strong>เรา
กำลังอธิบายว่าความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำ
เป็นความขัดแย้งของคุณทักษิณกับคุณเปรม แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ
คือผมมองว่าความขัดแย้งของบุคคลมันสัมพันธ์อยู่กับความขัดแย้งแบบอื่น ๆ
ซึ่งฝังอยู่ในโครงสร้าง การดีกันในระดับบุคคลช่วยไหม...ช่วย
แต่ทำให้ความขัดแย้งในโครงสร้างหายไปไหม...ไม่<br class="text_l" /><br class="text_l" />-<strong class="text_l"> 6-7 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม แต่เป็นความขัดแย้งลึกถึงโครงสร้าง<br class="text_l" /></strong>จึง
ไม่เห็นด้วยว่าทั้งหมดเป็นปัญหาของคุณทักษิณ หรือของคุณอภิสิทธิ์
ผมเห็นว่าคุณทักษิณหรือคุณอภิสิทธิ์อยู่ในบริบททางสังคมการเมือง
และบริบททางสังคมการเมืองมีพลังสังคมการเมืองหลายอย่าง เช่น พลังเศรษฐกิจ
พลังวัฒนธรรม ซึ่งเวลานี้สังคมกำลังเปลี่ยน
และคนแต่ละคนอาจเป็นตัวแทนของพลัง 2 อย่างซึ่งต่างกัน
พวกนั้นจำเป็นต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้
ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลง<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง <br class="text_l" /></strong>โจทย์
ของนักวิจัยสันติภาพที่น่าสนใจ คือ อารมณ์ในสังคมไทย ซึ่งน่าสนใจ 2 อัน คือ
อารมณ์ขัน กับความเกลียดชัง
ซึ่งอารมณ์ขันเป็นพลังทางการเมืองได้จากกลุ่มบางกลุ่มที่ใช้อารมณ์ขันเป็น
เครื่องมือ มีการใช้ในต่างประเทศ เช่น เซอร์เบีย
ที่ต่อสู้กับเผด็จการสันติวิธีผ่านอารมณ์ขัน
ส่วนด้านที่เป็นปัญหาคือความเกลียดชังที่เป็นปัญหาใหญ่
อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่ายที่สุด<br class="text_l" /><br class="text_l" />-<strong class="text_l"> หลังจากวิจัยความขัดแย้งในปัจจุบัน อะไรที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความปรองดองมากที่สุด<br class="text_l" /></strong>การ
ปรองดองที่เป็นภาพใหญ่มันยาก
โดยเฉพาะการปรองดองที่เกิดหลังจากความรุนแรงไปแล้วมันเลยยิ่งยาก
สังคมไทยตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน มันเกิดเหตุสำคัญ 2 อย่าง คือ
การยึดอำนาจ 19 กันยา มันทำให้สังคมฉีกออกจากกัน
ผลของมันทำให้ความมั่นใจในสังคมการเมืองไทยมันแยกออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกยังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ
อีกฝ่ายหนึ่งไม่...การยอมรับการรัฐประหารคือการสูญเสียศรัทธาที่มีต่อระบอบ
ประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นฐาน
แต่นั่นยังพอพูดกันได้อยู่บ้างในบางเรื่อง<br class="text_l" /><br class="text_l" />แต่
พอถึงการชุมนุมปี 2553 เกิดความรุนแรงบนท้องถนน ต่อสู้กัน
นำไปสู่การเผาพื้นที่บางพื้นที่ มีผู้เสียชีวิต 90 คน บาดเจ็บ 1,700 คน
พอทำอย่างนี้จึงทำให้ความปรองดองมันยาก รอยแผลแบบนี้มันจัดการลำบาก
รอยแผลแบบนี้มันมีผู้เสียหายที่จะอยากเห็นความจริง อยากได้ความยุติธรรม
แต่ทั้งความจริงและความยุติธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขของการปรองดองมันมีต้นทุน
ต่อการปรองดองสูง คือโจทย์อันหนึ่งที่เรากำลังเจออยู่ในสังคมไทย<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- จะแก้โจทย์ที่ยากได้อย่างไร<br class="text_l" /></strong>คง
ต้องไปดูตัวอย่างจากที่ต่าง ๆ บางเรื่องเชื่อว่าความจริงรักษาได้ทุกอย่าง
บางทีเขาก็คิดว่าการลืมสำคัญ
แม้กระทั่งตัวอย่างของประเทศแอฟริกาใต้ที่มักเอ่ยถึงเสมอ คือ
คณะกรรมการสัจจะและการปรองดอง คนที่เป็นคนทำเรื่องนี้มี 2-3 คน คือ เนลสัน
เมนเดลล่า, เดสมอนด์ ตูตู, เอฟ ดับบลิว เดอ เคลิร์ก ซึ่งเมลเดลล่าบอกว่า
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้บางเรื่องมันต้องลืมบ้าง
ผมตอบไม่ได้ว่าต้องทำอะไร แต่บอกเพียงว่ามีเงื่อนไขพวกนี้อยู่
เวลาเราคิดเรื่องปรองดองมันไม่ได้ไป Track เดียว <br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">-
แต่เมื่อศาลอาญาชี้ว่าคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม เป็นการถูกยิงจากเจ้าหน้าที่
ฝ่ายคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลอภิสิทธิ์
แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าเรื่องทั้งหมดมีคุณทักษิณและคนเสื้อแดงเป็นต้นเหตุ
อย่างนี้จะหันหน้ามาแล้วลืมกันได้อย่างไร <br class="text_l" /></strong>โจทย์
ใหญ่ของสังคมไทยมันเลยกลายเป็นว่าเราจะอยู่กับความจริงที่เกี่ยวข้องกับตัว
เราเองอย่างไร แต่ความจริงที่มีอยู่ในสังคมไทยมี 2 ชั้นซ้อนอยู่เสมอ
1.ความจริงของเรื่องที่เราพูดถึง คือ ใครเป็นคนยิงที่วัดปทุมฯ
อันนี้เป็นข้อเท็จจริง แต่ 2.สังคมไทยเวลาที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
คนผิดชี้ตัวได้ว่าใครคนยิงคนสั่ง
แต่สังคมไทยทั้งหมดได้ทำเพียงพอหรือเปล่าที่จะทำไม่ให้ความรุนแรงนั้นเกิด
ขึ้น ถ้าคำตอบคือ
ทุกคนยังไม่ได้ทำอย่างเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้น
เราเองก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยในความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่คนพวกนั้นเท่านั้น<br class="text_l" /><br class="text_l" />เหมือนกับ
บอกว่า ในที่สุดมีคนยิง แต่ก่อนคนยิงจะเหนี่ยวไกก็มีผู้บังคับบัญชา
ก่อนมีผู้บังคับบัญชาต้องมีการสั่ง ก่อนมีการสั่งต้องมีกระบวนการบางอย่าง
ก่อนมีกระบวนการบางอย่างต้องมีการสร้างความเกลียดชัง
ถ้าพูดอย่างนี้เราอาจเห็นมากขึ้นไหมว่า ไม่ใช่ฝั่งนู้นที่ผิดคนเดียว
เราก็มีส่วนผิดด้วยแม้จะอยู่ไกลก็ตาม<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- เราจะจัดสมดุลระหว่างผู้ที่เป็นเหยื่อ กับผู้ที่สั่งการตามกฎหมายอย่างไรให้ไปด้วยกันได้<br class="text_l" /></strong>วิธี
คิดของผม ปืนทุกกระบอกเวลามันยิงมีเหยื่อ 2 ด้าน ด้านหนึ่งอยู่ที่ด้ามปืน
อีกด้านหนึ่งอยู่ที่ปลายกระบอกปืน คนเรามักจะเห็นเหยื่อที่ปลายกระบอกปืน
แต่เรามักไม่เห็นว่าคนที่ยิงเป็นเหยื่อเหมือนกัน ใครก็ตามที่เหนี่ยวไกในปี
2553 คนเหล่านั้นผมคิดว่าเขาก็ถูกหล่อหลอมมาว่า<br class="text_l" /><br class="text_l" />อีก
ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ทำร้ายบ้านเมือง ในแง่นั้นเขาจึงเป็นเหยื่อ ดังนั้น
หนึ่งในที่วิจัยจึงมุ่งไปที่ความเกลียดชังมาจากไหน กลไกอะไรที่ทำ
ของพวกนี้ต่างหากที่สังคมไทยต้องเข้าใจ<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">-
ทุกวันนี้วาทกรรมการสร้างความเกลียดชังก็ยังมีจากพรรคการเมือง 2 พรรค
แม้ด้านหนึ่งรัฐบาลประกาศปรองดอง
แต่ด้านหนึ่งก็ยังสร้างความเกลียดชังตลอดเวลา</strong><br class="text_l" />คือ
เขาอาจทำไปโดยยังไม่ได้เห็นชัดเจนว่าความเกลียดชังมีประสิทธิภาพ
การผลิตอารมณ์มันจึงส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการเมือง ฉะนั้น
คนที่รู้ดีที่สุดในเรื่องนี้คือพวกนักการเมือง
เพราะสิ่งที่เขาขับขี่มันไม่ใช่เรื่องเหตุผล เรื่องที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องอารมณ์ของผู้คน<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- ถ้าเตือนนักการเมืองในฐานะที่เป็นผู้สร้างวาทกรรมการเกลียดชังได้จะบอกว่าอะไร<br class="text_l" /></strong>ก็
จะตอบว่าความเกลียดชังมันเป็นยาพิษ เพราะยาพิษนี้ออกฤทธิ์ช้า
เวลามันออกฤทธิ์มันรักษาลำบาก
เพราะความเกลียดชังบางอย่างพอลงไปลึกแล้วมันก่อรูปเป็นอคติ
แล้วเราก็มองโลกเป็นอีกแบบหนึ่ง โลกที่เรามองเห็นมันอันตรายต่ออนาคต
มันทำร้ายอดีต และมันแย่งชิงปัจจุบันไปจากเรา<br class="text_l" /><br class="text_l" /><strong class="text_l">- ความปรองดองจะเกิดขึ้นอีกนานไหม<br class="text_l" /></strong>ตอบไม่ได้ มันยาก (หัวเราะ)</span><br />
<span style="font-size: small;"><b></b><br /></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-32517494655317223502013-08-14T15:12:00.002+07:002013-08-14T15:13:03.543+07:00เงินกู้ 2 ล้านล้าน โดย วีรพงษ์ รามางกูร <h1>
<span style="font-size: large;">ที่มา :<a href="http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1376295325"> ประชาชาติธุรกิจ</a></span></h1>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<h1 style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-large;">เงินกู้ 2 ล้านล้าน</span></h1>
<br />
<article>
<div id="article_thumbnail">
<div class="wrap" style="text-align: center;">
<img align="bottom" border="0" class="text_l" height="424" hspace="0" src="http://www.prachachat.net/news-photo/prachachat/2013/08/edi04120856p1.jpg" width="640" /></div>
<div class="wrap">
</div>
</div>
<div class="author">
คอลัมน์ คนเดินตรอก</div>
<div class="article_content text_l" style="line-height: 1.65em;">
<div class="scatter text_l">
โดย วีรพงษ์ รามางกูร </div>
<div class="scatter text_l">
<br /></div>
<div class="text_l">
</div>
<div class="text_l">
ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่สื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามกัน
มากคือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
เพื่อมาตั้งเป็นกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อันได้แก่
ระบบการขนส่งโดยราง ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน ทางด่วน
แต่ไม่เห็นพูดถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
<br class="text_l" />
อ่าน
ข่าวดูแล้วก็อดสงสารประเทศไทยไม่ได้ เพราะมีนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์
นักการเงิน การคลัง ออกมาผสมโรงอยู่ด้วยมากมาย เหตุผลก็คือ
กลัวรัฐบาลนี้จะสร้างหนี้ให้ลูกหลานต้องแบกภาระ<br />
<br class="text_l" />
สาเหตุ
ที่จะมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ก็เพราะว่าประเทศไทยมีเงินออมสูงกว่าเงินลงทุนมาตลอด 15 ปีแล้ว หลักฐานง่าย
ๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นก็คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล<br />
<br class="text_l" />
มาตลอด 15 ปี จนบัดนี้ก็ยังเกินดุลอยู่ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแปลว่าเรามีเงินออมสูงกว่าเงินลงทุนมาตลอด 15 ปี<br />
<br class="text_l" />
เงินออมส่วนเกินที่สูงกว่าเงินลงทุนนี้แหละคือหยาดเหงื่อของคนรุ่นเราที่อดออมไว้ให้ลูกหลาน นับ ๆ ดูแล้วก็กว่า 6-7 ล้านล้านบาท</div>
<div class="text_l">
<br class="text_l" /></div>
เงินออมส่วนเกินจากหยาดเหงื่อรุ่นเรา
นี้ เมื่อไม่ลงทุนเป็นสิ่งของจริง ๆ ก็เอาไปให้รัฐบาลอเมริกันกู้บ้าง
อังกฤษกู้บ้าง ยุโรปกู้บ้าง โดยไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยถูก ๆ
ของเขามาเป็นทรัพย์สินของชาติ<br />
<div class="text_l">
<br class="text_l" />
เรา
แต่เป็นทรัพย์สินที่จะเสื่อมค่าลงทุกวัน ซึ่งเป็นความคิดของรัฐบาลที่ผ่าน ๆ
มาที่คิดไม่เป็น เพราะคิดว่าเราไม่มีเงิน
ถ้าจะทำต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศมาลงทุน<br />
<br class="text_l" />
ทาง
ที่ถูกก็คือ ควรเปลี่ยนทรัพย์สินของชาติจากกระดาษที่ออกโดยรัฐบาลอเมริกัน
อังกฤษ ยุโรป มาเป็นสิ่งของที่จับต้องได้
ซึ่งจะมีมูลค่าราคาการลงทุนก่อสร้างแพงขึ้นเรื่อย ๆ ไว้ให้ลูกหลาน<br />
<br class="text_l" />
เรา
ใช้ เพราะถ้ารอให้ลูกหลานทำ ราคาคงแพงกว่านี้มาก
อีกทั้งเงินออมในกระเป๋าเราที่อยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา อังกฤษ ยุโรป
ก็คงเสื่อมค่าลงไปทุกวันด้วย<br />
<br class="text_l" />
เมื่อ
จะลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินมาก
จะระดมเงินออมในประเทศที่มีอย่างเหลือเฟือมาลงทุนอย่างไร ก็มี 2 วิธี คือ
ใช้จากภาษีอากร หรือไม่ก็กู้จากประชาชนผู้ออม
ขอใช้คำว่ากู้จากประชาชนผู้ออม ไม่ใช่กู้จากต่างประเทศ<br />
<br class="text_l" />
ลอง
มาดูว่าถ้าใช้จากภาษีอากรโดยบรรจุไว้ในงบประมาณประจำปี ซึ่งตาม
พ.ร.บ.วิธีการของบประมาณ ถ้ารายได้ไม่พอและเงินกู้ตามปกติติดเพดาน
ก็ต้องขึ้นภาษีเอากับประชาชน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง
เพราะของเหล่านี้ใช้ไปถึงลูกถึงหลาน
แล้วให้รุ่นเราจ่ายทั้งหมดก็ไม่น่าจะถูก
เพราะโครงการที่ลงทุนมีอายุการใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะเลยศตวรรษก็ได้<br />
<br class="text_l" />
แต่
ถ้าไม่เอาภาษีมาใช้โดยใส่ในงบประมาณประจำปี ก็ต้องกู้จากประชาชนผู้ออม
ผู้ออมก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนต่อการอดออมมาตลอด 15 ปี
ดอกเบี้ยก็ไม่ได้แพงอะไรนัก แล้วก็ทยอยจ่ายเงินต้นไป 50 ปี ทั้ง ๆ
ที่อายุการใช้งานของระบบราง สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ นั้น<br />
<br class="text_l" />
ยืน
ยาวกว่า 50 ปีมากนัก อาจจะถึง 100 ปีก็ได้ ดูอย่างรางรถไฟ
ทางรถไฟที่รัฐบาลพระพุทธเจ้าหลวงท่านไปออกพันธบัตรเงินปอนด์ที่ฝรั่งเศสมาลง
ทุน ใช้มา 120 ปี<br />
<br class="text_l" />
แล้วก็ยังอยู่ ถ้ารุ่นเราต้องมาจ่ายค่าเวนคืนที่ดิน ค่าราง อาจจะต้องรออีกจนเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างเดี๋ยวนี้ถึงจะทำได้<br />
<br class="text_l" />
มรดก
จากรุ่นพระองค์ท่านนี้ รับภาระหนี้มาตั้งแต่รุ่นทวดรุ่นปู่
แต่มีรางรถไฟให้รุ่นเราใช้
รางรถไฟของพระองค์ท่านนอกจากให้ผู้คนใช้เดินทางแล้ว
ยังสามารถนำอำนาจรัฐไปสู่ท้องถิ่น ทำให้ประเทศไทยเป็น <br />
<br class="text_l" />
"รัฐ
ชาติ" อย่างสมบูรณ์ด้วย มิฉะนั้นป่านนี้ 4 จังหวัดภาคใต้กับ 7
จังหวัดภาคเหนือ แล้วยังจังหวัดภาคอีสานคงไม่ได้รวมอยู่ใน "รัฐไทย" แล้ว<br />
<br class="text_l" />
ของ
ที่มีอายุเป็นร้อย ๆ ปี และลงทุนด้วยเงินออมของประชาชนในประเทศ
เป็นของที่ไม่อันตรายต่อฐานะการคลังของประเทศ
จะคิดอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนของโครงการที่มีอายุยาว ๆ ขนาดนั้นคิดลำบาก<br />
<br class="text_l" />
ที่
สำคัญเมื่อกู้มา 2 ล้านล้านบาทแล้ว
ไม่ได้กู้มาก่อสร้างสิ่งที่ไม่มีผลตอบแทนคืน
เพราะกู้มาให้รัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการกู้ต่อ
หรือบางอย่างอาจจะเอาไปร่วมทุนกับรัฐบาลกู้ต่อ
ซึ่งจะมีผลตอบแทนคืนให้รัฐบาลไปใช้หนี้ประชาชนผู้ออมในอนาคตด้วย
เพราะโครงการเหล่านี้ไม่ได้ใช้ฟรีเหมือนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบท
แต่รัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการ<br />
<br class="text_l" />
ย่อมต้องใช้หนี้คืนรัฐบาล ให้ไปคืนประชาชน ถึงตอนนั้นประชาชนผู้ออมอาจจะไม่<br />
<br class="text_l" />
อยาก
ให้ใช้คืนก็ได้ เพราะได้ดอกเบี้ยดีกว่าฝากธนาคารและมั่นคงกว่าฝากธนาคาร
แม้ว่าจะสร้างรางให้ฟรีเหมือนทางหลวงแผ่นดินก็ยังคุ้มค่า
ดีกว่าเอาไปซื้อพันธบัตรอเมริกันดอกเบี้ยถูก ๆ <br />
<br class="text_l" />
คำ
ถามที่ควรถามแต่ยังไม่ได้ถามก็คือ
เมื่อลงทุนแล้วรัฐบาลจะจัดการบริหารอย่างไร
จึงจะมีประสิทธิภาพและสามารถคืนทุนได้ภายใน 50 ปี รัฐบาลจะลงทุนเรื่องราง
แล้วจัดประมูลสัมปทานให้เอกชนลงทุน<br />
<br class="text_l" />
เรื่องรถ การเดินรถ การบำรุงรักษา โรงซ่อมบำรุง จะทำเองหรือให้เอกชนทำ ค่าโดยสารจะคิดเท่าไหร่<br />
<br class="text_l" />
ระยะ
เวลาขาดทุนนานเท่าไหร่ 10 ปี หรือ 15 ปี
กระแสเงินสดระหว่างนั้นจะจัดการอย่างไร ถ้าค่าโดยสารแพงไปคนอาจจะใช้น้อย
ถ้าถูกเกินไปกระแสเงินสดจะไหวไหม จะขาดทุนแค่ไหน <br />
<br class="text_l" />
ถ้าไม่ไหวจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันดู<br />
<br class="text_l" />
ที่
ควรจะทำก็คือ รางเป็นของรัฐบาลเหมือนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบท
ลงทุนให้ฟรี ตั้งเงื่อนไขค่าโดยสารและคุณภาพของบริการ
แล้วเปิดประมูลไปทั่วโลก ให้สัมปทานเอกชนมา<br />
<br class="text_l" />
เดินรถ ทำนองเดียวกันกับรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพฯ<br />
<br class="text_l" />
คราว
นี้ ถ้ากู้จากแหล่งเงินทุนภายในประเทศ รัฐบาลเป็นลูกหนี้
แต่ประชาชนเป็นเจ้าหนี้ ประชาชนผู้เสียภาษีเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้
ลูกหลานรับภาระจ่ายคืนหนี้สินที่ตนเองก็เป็นเจ้าหนี้ด้วย
แต่ประชาชนทั้งหมดเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่รัฐบาลจะลงทุน<br />
<br class="text_l" />
การ
บำรุงรักษาซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการบริหารจัดการ
ก็ควรจะตั้งเงื่อนไขแล้วเปิดประมูล
หรือจะพ่วงไปกับการประมูลสัมปทานการเดินรถด้วยก็จะดี
จะได้ไม่มีปัญหาระหว่างผู้บำรุงรักษาและผู้เดินรถ
รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจอย่าทำเองเลย ได้ไม่คุ้มเสีย ทั้งในแง่รายได้ รายจ่าย
และคุณภาพของบริการ<br />
<br class="text_l" />
สำหรับรถไฟราง
คู่ความกว้าง 1 เมตรของเดิมก็ควรวางให้ทั่วประเทศ
เอาไว้ใช้ขนสินค้าที่ไม่ต้องการความเร็ว และไว้บริการประชาชนรายได้น้อย
รวมทั้งบริการฟรีสำหรับประชาชนที่ยากจน
เป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน รวมทั้งสร้างสายใหม่
แต่ที่อยากเห็นคือรถไฟรางแคบก็ใช้ไฟฟ้า
จะได้ประหยัดพลังงานได้ด้วยอีกโสดหนึ่ง<br />
<br class="text_l" />
พวก
เราเคยสร้างประวัติศาสตร์ค้านโครงการเขื่อนยันฮี หรือเขื่อนภูมิพล
สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาแล้ว คราวนี้ก็คงเป็นประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน
คือคัดค้านโครงการลงทุนไปเสียหมด เพราะกลัวการคอร์รัปชั่น
ไม่ใช่กลัวการลงทุนมากเกินไป หรือลงทุนในโครงการที่ไม่มีประโยชน์<br />
<br class="text_l" />
คราวนี้ก็คงเหมือนกัน</div>
</div>
</article>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8641208157552634048.post-35198868439790871682013-08-14T15:05:00.000+07:002013-08-14T15:05:13.448+07:00เอาอีกแล้ว...ปฏิรูปประเทศ<h3 class="read-h" style="text-align: left;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-weight: normal;"> ที่มา : <a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1376385158&grpid=03&catid&subcatid">มติชนออนไลน์</a></span><a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1376385158&grpid=03&catid&subcatid"> </a></span></h3>
<h3 class="read-h" style="text-align: left;">
<span style="font-size: large;"> </span></h3>
<h3 class="read-h" style="text-align: center;">
<span style="font-size: large;">เอาอีกแล้ว...ปฏิรูปประเทศ โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ </span></h3>
<div class="date-fb">
<div class="read-time" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="read-time" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="read-time" style="text-align: center;">
<a class="lytebox" data-lyte-options="group:showimg" data-title=" " href="http://www.matichon.co.th/online/2013/08/13763851581376385180l.jpg"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;"><img align="bottom" border="1" height="334" hspace="0" src="http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2013/08/act01130856p1.jpg" width="400" /></span></span></a> </div>
<div class="read-time" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="read-time" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<span style="font-size: small;">ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้วว่าในชีวิตนี้มีคำพูดและความพยายามในการปฏิรูปประเทศกัน
มากี่หนแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนว่าบ้านนี้เมืองนี้จะชื่นชอบการปฏิรูปประเทศเป็นพิเศษ<br /><br />ทั้ง
ที่บางทีคำว่า "ปฏิรูป" นั้นก็อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน
หรือบางทีคนใช้คำนี้เองก็อาจจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าปฏิรูปนั้นแปลว่าอะไร
แต่เมื่อใช้คำว่าปฏิรูปแล้วมันดูดี ก็น่าจะหยิบมาใช้อยู่<br /><br />ก็เพราะยังเชื่อว่าตนเองนั้นมีเจตนาดีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงและต้องการความร่วมมือร่วมใจกันของหลายฝ่าย<br /><br />ทีนี้เรื่องที่ควรจะตั้งคำถามก่อนที่จะเริ่มปฏิรูปประเทศก็คงจะมีกันอยู่หลายๆ คำถามนั่นแหละครับ<br /><br />หนึ่ง
เราได้เคยสรุปบทเรียนและติดตามกันบ้างไหมว่าการปฏิรูปประเทศในแต่ละครั้งที่
ผ่านมานั้นประสบความสำเร็จอย่างไร และมีอะไรที่ยังเป็นประเด็นท้าทายอยู่
ทั้งในแง่ที่อ้าง/ต้องการจะทำแต่ทำไม่ได้
หรือมันมีผลบางประการที่ไม่ได้คาดหมายเกิดขึ้นจากการปฏิรูปประเทศ
ที่นำไปสู่ปมปัญหาใหม่ๆ ที่ตามมา <br /><br />อาทิ
เราเคยพูดถึงการปฏิรูปประเทศที่เรียกตามพระราชดำรัสของรัชกาลที่ห้าว่า
"Government Reform" หรือการปฏิรูปการปกครองบ้านเมือง
ซึ่งนำมาสู่บูรณภาพดินแดน เอกราชและอธิปไตย
และเครื่องมือเครื่องไม้ใหม่ที่เรียกว่า ระบบราชการ
แต่ในวันนี้เราก็รู้ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในท้าย
ที่สุด รวมทั้งระบบราชการอย่างกองทัพ และกระทรวงมหาดไทยเอง
ก็ถูกเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงต่อไปอีก ทั้งจากการกำหนดภารกิจของตนเอง
ตั้งแต่การ "กำหนด-ต่อสู้กับศัตรู" และการ "บำบัดทุกข์บำรุงสุข" ของประชาชน<br /><br />หรือ
เมื่อเราพูดถึงการปฏิรูปการเมืองในสมัย 2540
เราก็พบว่ามีความตื่นตัวและความเปลี่ยนแปลงของประเทศมากมายในการประกันสิทธิ
เสรีภาพของประชาชน และผลักดันให้ระบอบประชาธิปไตยนั้นมีเหตุมีผลมากขึ้น
แต่เราก็รับรู้ว่าประเด็นท้าทายในการปฏิรูปการเมืองในครั้งนั้นก็มีอยู่หลาย
เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ไม่ได้เป็นไปตามที่สัญญา
เอาไว้ และการหลบเลี่ยงที่จะอยู่ภายใต้กฎกติกาของการปฏิรูป
ไม่ว่าจะจากการคอร์รัปชั่น ที่สลับซับซ้อน
หรือการปฏิเสธที่จะใช้กลไกภายในรัฐธรรมนูญเองในการแก้ปัญหาทางการเมือง
แต่ไปใช้กลไกนอกรัฐธรรมนูญในการแก้ปัญหาการเมือง
ซึ่งได้แก่การผลักดันจนทำให้เกิดการทำรัฐประหารขึ้นในปี 2549 <br /><br />และก็
จะอดกล่าวถึงไม่ได้ในกรณีของการพยายามในการปฏิรูปประเทศอีกครั้งในยุคสมัย
หลังการกระชับพื้นที่และความขัดแย้งของสังคมหลังจากมีคนตายไปเกือบจะร้อยคน
ภายใต้การนำของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการตีฆ้องร้องป่าว
รวมทั้งผูกพันงบประมาณจำนวนมหาศาลเข้ากับคณะกรรมการสองชุดที่นำโดยคุณ
อานันท์ ปันยารชุน และหมอประเวศ วะสี
ซึ่งสุดท้ายเราก็จำกันไม่ได้แล้วว่าประเด็นหลักๆ
ของการปฏิรูปในรอบล่าสุดนั้นคืออะไร เว้นแต่จะ "พอเดาทางได้" ว่าหาก
"หมอประเวศและทีมงาน" อยู่ในการขับเคลื่อนประเทศในชุดไหน ในเรื่องไหน
เรื่องราวก็จะออกมาในลักษณะของการขับเคลื่อนประเทศทุกองคาพยพ
ดึงการมีส่วนร่วม ลดอคติ และเร่งกระจายอำนาจเพราะประชาชนพร้อมแล้ว
(แต่ว่าต้องพร้อมในแบบที่หมอประเวศและทีมงานเชื่อว่าพร้อม
จะพร้อมแบบอื่นไม่ได้ เช่นพร้อมกันเองบนท้องถนน
หรือพร้อมกันเองบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าทีวีดาวเทียม
หรือพร้อมกันนอกโครงการ "ตระกูล ส." อะไรทำนองนี้)<br /><br />กล่าวโดยสรุป
จะเดินไปข้างหน้าด้วยคำว่าปฏิรูป ก็ต้องทบทวนก่อนว่าปฏิรูปครั้งที่แล้วๆ
มานั้นทำอะไรกันไปบ้างแล้ว
ไม่เช่นนั้นคำว่าปฏิรูปก็จะเป็นถ้อยคำที่ค่อนข้างจะ "กลวงเปล่า"
ที่พร้อมจะกลายเป็นเรื่องของพื้นที่ที่ช่วงชิงกันกำหนดนิยามหรือผลักดัน
เรื่องราวที่อาจจะไม่ค่อยจะเข้าใจหรือร่วมมือกันมากนัก<br /><br />สอง
คำถามที่สำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองในรอบนี้ก็คือ
โครงสร้างการเมืองของประเทศนี้ไม่ได้เอื้อให้ผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งมาเล่นการ
เมืองแบบปฏิรูปได้แล้ว เพราะว่าผู้ใหญ่จำนวนนั้นอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อื่นๆ
ในสังคมนี้<br /><br />อธิบายให้ชัดเจนก็คือ การไปเชิญคนอย่างคุณชวน หลีกภัย
หรือคุณบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมาร่วมขบวนนั้น
ไม่ใช่ว่าจะไปโทษว่าท่านเหล่านี้ไม่มาร่วมงาน
แต่ต้องตระหนักว่าการเมืองแบบรัฐสภานั้น
อดีตนายกรัมนตรีเองก็ยังสามารถมีบทบาทในรัฐสภาได้อยู่
เขายังไม่ได้วางมือจากตำแหน่งเหล่านั้น
และก็ไม่ได้มีสัญญาณว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้พยายามทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่
สุดในตำแหน่งเหล่านั้น<br /><br />เรื่องเดียวกันนี้สามารถอธิบายตำแหน่งของ
ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในบ้านในเมือง อาทิ ที่ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เป็นต้น
ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้คงจะยุ่งกับการเมืองได้ลำบาก
(แม้ว่าบางท่านจะถูกกล่าวหาว่ายุ่งกับการเมืองก็ตาม)<br /><br />ดังนั้น
การนำเสนอวิธีคิดว่าควรเอาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาช่วยกันทำงานในองค์กร
ใหม่นี้จึงไม่น่าจะสามารถเข้าถึงตัวผู้ใหญ่ที่มีอำนาจจริงๆ
ในบ้านเมืองวันนี้ได้สักเท่าไหร่
ด้วยว่าตำแหน่งที่ตัวเองมีอยู่ก็ไม่ได้ทำให้มาเข้าร่วมได้ง่ายนัก <br /><br />เว้น
แต่ว่าการเชื้อเชิญให้เกิดการปฏิรูปประเทศในรอบนี้จะทำไปในลักษณะที่เป็นการ
ไป "ส่องไฟ"
ถึงตัวผู้ใหญ่เหล่านั้นทีละคนว่ามีท่าทีอย่างไรในการให้ความร่วมมือกับ
รัฐบาลกับความพยายามในรอบนี้
ซึ่งเรื่องน่าสนใจสำหรับผมจึงไม่ใช่เรื่องของการตอบรับ <br /><br />แต่เป็นเรื่องของการให้เหตุผลในการปฏิเสธเสียมากกว่า<br /><br />และเรื่องที่น่าสนใจก็คือ คนหน้าเดิมๆ ที่มีการเปิดเผยชื่อขึ้นมาในอุตสาหกรรมปฏิรูปนั้นจะมีใครกันบ้างนั่นแหละครับ<br /><br />สาม แก่นสารสาระของการปฏิรูปน่าจะมีประเด็นอะไรบ้าง?<br /><br />1.การ
ปฏิรูปประเทศไม่ควรจะเป็นเรื่องของคำถามสำเร็จรูป
หรือความใฝ่ฝันอะไรให้มันยิ่งใหญ่มากนัก
เพราะประเทศชาตินั้นมีหน่วยงานที่ว่าด้วยการวางแผนอยู่มากมายอยู่แล้ว
และวิธีคิดเรื่องการวางแผนนั้นก็ถูกใช้ราวกับยาสามัญประจำบ้าน
ทั้งที่การวางแผนในสมัยใหม่นี้เขาพัฒนาทฤษฎีไปอีกมากมาย
โดยเฉพาะที่ว่าด้วยเรื่องของการสร้างฉันทามติร่วมกัน
หรือการผลักดันให้เกิดความแตกต่างหลากหลายมากกว่าเนื้อหาสาระและเหตุผลชุด
เดียวของกลุ่มคนที่ครอบงำกลุ่มอื่นๆ<br /><br />การปฏิรูปประเทศจึงน่าจะเป็น
เรื่องของการตั้งคำถามว่าจะแปรเปลี่ยนความขัดแย้งที่มีแนวโน้มของการทำลาย
ล้าง และการใช้กำลัง (หรืออ้างว่าจะใช้กำลัง)
ให้มาอยู่ในกระบวนการสันติได้อย่างไร<br /><br />นั่นหมายถึงการยอมรับว่าความ
ขัดแย้งในสังคมเป็นเรื่องปกติ
ไม่ใช่มองว่าสังคมนั้นจะต้องมีอภิมหาเหตุผลแห่งความดีงามหนึ่งเดียวที่ทุกคน
จะต้องก้มหัวให้ร่วมกัน
เว้นแต่เรื่องของการจำกัดให้มิติของความขัดแย้งแตกแยกนั้นอยู่ภายใต้กระบวน
การที่มีส่วนร่วมและไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา<br /><br />2.การปฏิรูป
ประเทศควรจะมุ่งเน้นไปที่การยอมรับมิติการมีส่วนร่วมและการทำงานที่มีอยู่
เดิม แต่ทำให้ข้อจำกัดที่มีอยู่เดิมนั้นลดลง อาทิ การยอมรับการเลือกตั้ง
การทำงานในรัฐสภา การเมืองบนท้องถนน และการเมืองในสื่อทางเลือกใหม่ๆ
โดยมองว่าแต่ละภาคส่วนเดิมนั้นก็มีคุณค่าอยู่ด้วย
แต่จะทำอย่างไรให้เกิดการประสานสอดคล้องกัน
ไม่ใช่คิดแต่จะทำแต่หน่วยงานใหม่ๆ แล้วก็อ้างว่าของใหม่ไฉไลกว่าเดิม และ
"จริงแท้" กว่าเดิม<br /><br />3.การปฏิรูปประเทศควรผลักดันประเด็นที่คิดว่า
กระบวนการที่มีอยู่เดิมนั้นเกิดการสะดุดติดขัด
และควรมีลักษณะของการทำงานที่มีเงื่อนเวลาที่ชัดเจน
ซึ่งในวันนี้สิ่งที่ยังคาอกคาใจของคนทุกฝ่ายสำหรับผม
โดยที่กระบวนการที่มีอยู่เดิมไม่สามารถให้หลักประกันได้ว่าจะมีความเข้าใจ
และทางออกร่วมกัน นั่นก็คือ เรื่องของ "ความยุติธรรม"
เพราะการเมืองในวันนี้วนเวียนอยู่ในเรื่องของการอ้างถึงความยุติธรรมและการ
ไม่ได้รับความยุติธรรม
หรือการไม่ยอมรับคำอธิบายเรื่องความยุติธรรมของอีกฝ่ายหนึ่ง
นับเนื่องมาจากเรื่องของนโยบายสาธารณะ รวมทั้งความขัดแย้งทางการเมืองต่างๆ
ต่อตัวบุคคล หรือคณะบุคคล<br /><br />และที่ทำให้เรื่องมันมีทางออกยากขึ้นก็คือ
สถาบันที่เชื่อว่าจะผดุงเอาไว้ซึ่งความยุติธรรมเองที่มีอยู่บ่อยครั้งก็ไม่
เป็นที่ยอมรับ เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย
หรือไม่สามารถที่จะอธิบายจนเป็นที่เข้าใจและยอมรับได้ว่าความยุติธรรมนั้น
คืออะไร<br /><br />ดังนั้น หากจะปฏิรูปประเทศในรอบนี้ การพูดถึงความยุติธรรม
ซึ่งย่อมจะโยงไปถึงเรื่องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมน่าจะเป็นเรื่องราว
ที่สำคัญ<br /><br />4.การปฏิรูปประเทศไม่ควรมีลักษณะของการจัดแถวจัดระเบียบว่า
มีลักษณะเดียวที่ถูกต้อง
หรือจะต้องเน้นเรื่องความสามัคคีพร้อมเพรียงหนึ่งเดียวตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นการจัดแถวแบบที่ชอบอ้างถึง "รัฐบาลแห่งชาติ"
ที่ทุกฝ่ายร่วมใช้อำนาจกันโดยไม่ตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการคิดต่าง
หรือการชอบอ้างว่าประชาชนนั้นจะต้องเข้าร่วมกลไกใหม่ๆ
ที่ดูเหมือนว่าจะหลากหลายและยืดหยุ่น
แต่สุดท้ายก็เป็นการกำกับและสร้างวินัยให้ประชาชนมีเงื่อนไขการมีส่วนร่วมใน
แบบเดียวคือต้องเข้าร่วมเครือข่ายภาคีภายใต้กระบวนการที่คนฉลาดไม่กี่คนวาง
แนวทางให้เดิน<br /><br />แต่ต้องหมายถึงการส่งเสริมความหลากหลายและส่งเสริมแนว
ทางต่างๆ
ให้นวัตกรรมทางการเมืองนั้นเกิดได้โดยไม่ทำให้ทุกอย่างอยู่ในระเบียบแห่ง
ความถูกต้องหนึ่งเดียวเสียมากกว่า<br /><br />สี่เราจะปฏิรูปการเมืองได้หรือไม่
ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องใกล้ตัวด้วย นั่นก็คือการสื่อสารสาธารณะ
และท่าทีของฝ่ายที่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่มีอยู่แต่เห็นไม่ชัดเช่น
สื่อ และที่เห็นชัดเช่นพรรคฝ่ายค้าน<br /><br />ถ้ายังจำบทเรียนเรื่องของการจุด
ประเด็นเรื่องความปรองดองและรายงานเรื่องการปรองดองที่จัดทำขึ้นจากสถาบัน
พระปกเกล้าได้ เราก็คงจะจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับข้อเสนอต่างๆ
ที่บรรจุอยู่ในเล่ม <br /><br />รวมทั้งถ้าเรายังลืมไปแล้วว่ากระบวนการจัดทำ
เวทีรับฟังความเห็นของประชาชนและงานวิจัยที่รัฐบาลมอบหมายให้สถาบันการศึกษา
ทำมาในเรื่องของความปรองดองว่าตกลงผลออกมาหรือยัง?
เราก็คงจะเดินกันไม่ได้ง่ายนักหรอกครับ<br /><br /><em>แต่กระนั้นก็ตาม
การปฏิรูปก็ยังเป็นคำที่มีเสน่ห์อยู่ดี
แต่มันมีเสน่ห์ตรงที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพราะใครๆ
ก็มีแนวทางเป็นของตนเองเสียล่ะมั้งครับ</em></span> </div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="read-time">
<br /></div>
<div class="fb">
</div>
<div class="fb">
<span style="height: 21px; width: 82px;"></span>
<span style="height: 19px; vertical-align: bottom; width: 82px;"></span>
</div>
</div>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 650px;">
<tbody>
<tr>
<td align="left" valign="top" width="90">
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;"></span></span></td><td align="left" valign="top" width="90"><span style="font-size: small;"></span></td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 650px;"><tbody>
<tr><td align="left" valign="top" width="90"><span style="font-size: small;"></span></td><td align="left" valign="top" width="90"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;"></span></span></td><td align="left" valign="top" width="90"><a class="lytebox" data-lyte-options="group:showimg" data-title=" " href="http://www.matichon.co.th/online/2013/08/13763851581376385180l.jpg"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;"></span></span><br /> </a>
<br /><br />
</td>
<td align="left" valign="top" width="560"><br /></td>
</tr>
</tbody></table>
Unknownnoreply@blogger.com0