แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมมันถึงเรียกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

กฤษณ์ วงศ์วิเศษธร
http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=1478

บทนำ

บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ

บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น

การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ

นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?

การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น

หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)

จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย

การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก

อย่างไรก็ตาม ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ

แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)


สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ

เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"


เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"

รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก

บทสรุป

สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)

การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎร ได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน