แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ปริศนาสิ่งมีชีวิตที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปริศนาสิ่งมีชีวิตที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

http://www.prachatai1.info/journal/2010/05/29677


หมาย เหตุ : เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสีที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้เขียนถูกทวงนามสกุลคืน ดังนั้น นับแต่นี้ผู้เขียนไม่สามารถใช้นามสกุลที่เคยใช้ในการเขียนหนังสืออีก จึงเรียนผู้อ่านมาเพื่อทราบ ณ ที่นี้ด้วย

โดยปรกติผู้เขียนไม่ใช่คนที่ใส่ใจในตัวบุคคลนัก จึงไม่นิยมวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลคนไหนในฐานะ “ตัวกระทำหลัก” ทางประวัติศาสตร์ แต่ก็มีคนบางคนที่ประหลาดพิสดารเพียงพอที่จะทำให้ผู้เขียนรู้สึกฉงนฉงาย จนอดไม่ได้ที่จะพูดถึง ในแง่นี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดอยู่ในสถานะประหลาด เพราะในสายตาของผู้เขียน เขาไม่ได้มีฐานะเป็น “บุคคล” ชั้นแต่จะจัดให้เป็น “โมฆะบุรุษ” ก็ยังไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจชีวิตหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในฉากพระเพลิงที่โหมกระหน่ำประเทศสยาม แต่ดูอีกทีก็เหมือนหุ่นชักเชิดตายซากที่มีนายโรงคอยกำกับอยู่เบื้องหลัง ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่า ความคิดอันไหนที่ถูกต้องกันแน่ และคงเป็นปริศนาคาใจผู้เขียนไปอีกนาน

อันที่จริง ปริศนาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดในใจผู้เขียน ผู้เขียนรับทราบข่าวคราวทั่ว ๆ ไปของเขามาตั้งแต่เขาเริ่มย่างก้าวเข้าสู่การเมือง มีเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่น่าเป็นไปได้ของคนคนนี้อยู่เสมอ อาทิ เขาจบเศรษฐศาสตร์ระดับเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและเคยเป็นอาจารย์ ในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ผู้เขียนไม่เคยเห็นผลงานเชิงวิชาการเป็นชิ้นเป็นอันจากคนที่ได้ชื่อว่า “เรียนเก่ง” มากคนนี้ ซึ่งค่อนข้างผิดวิสัย เรื่องนี้อาจอธิบายได้ว่า เขาเป็นอาจารย์เพียงชั่วระยะเวลาสั้นมาก จนไม่มีเวลาพอที่จะเขียนงานวิชาการ แต่ผู้เขียนก็เคยเห็นนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่สามารถผลิตงานออกมาได้มาก ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ ขอเพียงนักวิชาการคนนั้นมีประเด็นความคิดที่จะบอกต่อสังคมหรือวงการวิชาการ

เรื่องต่อมาที่ผู้เขียนรู้สึกฉงนมานมนานก็คือ ถึงแม้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมด้วย โปรดอย่าลืม) แต่ผู้เขียนไม่เคยเห็นคนคนนี้แสดงความคิดเห็นหรือวิสัยทัศน์ในเชิงเศรษฐกิจ ใด ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว หากการศึกษาที่ประสบผลสำเร็จคือการทำให้ผู้ได้รับการศึกษามีความรู้ความเข้า ใจในศาสตร์นั้น ๆ และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้ ผู้เขียนก็คิดว่ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดน่าจะประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของ ตนใหม่ เพราะขนาดนักศึกษาเกียรตินิยมยังไม่มีความคิดอะไรเลยในเชิงเศรษฐกิจขนาดนี้ แล้วพวกนักศึกษาที่จบมาอย่างร่อแร่มิยิ่งแย่ไปใหญ่หรือ? หรือเราควรประเมินชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเสียใหม่? หรือไม่เราก็คงต้องยอมรับว่า เกียรติประวัติทางการศึกษากับการมีความคิดอ่านเป็นคนละเรื่องกัน

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดตัวต่อสื่อได้อย่างสวยหรูใน พ.ศ. 2534 หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ร.ส.ช. โดยเขาแสดงตนเป็นนักวิชาการที่คัดค้านการรัฐประหารและแสดงความไม่เห็นด้วย กับการที่บิดาของเขา น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลทหาร ช่างดูดีมีความยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตย แต่ความยึดมั่นในหลักการที่ว่าก็ดูเหมือนจะสลายกลายเป็นหมอกควันซีดจาง เมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหันมาสนับสนุนกระบวนการนอกระบบ ทั้งการขอนายกพระราชทานจนได้รับฉายา “มาร์ค ม.7” ทั้งการแสดงท่าทีสนับสนุนการรัฐประหารของ คมช. มิหนำซ้ำ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกระบวนการที่พอจะเทียบเคียงได้กับ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา คราประยูร ทั้งยังเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะต้องรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่ประชาชนในเดือน พฤษภาคมเดือนเดียวกันเสียด้วย จึงนับว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและพลเอกสุจินดา คราประยูรมีดวงสมพงศ์กันอยู่หลายประการ

แต่การละทิ้งความยึดมั่นในหลักการหรืออุดมการณ์ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ดังคำพังเพยที่มีคนกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยู่ในช่วงวัยยี่สิบแล้วไม่เป็นฝ่ายซ้าย คุณก็ไม่มีหัวใจ แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงวัยสี่สิบแล้วยังเป็นฝ่ายซ้าย คุณก็ไม่มีสมอง” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองก้อนใหญ่ เรื่องนี้เป็นข้อที่แน่ใจได้ เพียงแต่ประจุไฟฟ้าในสมองก้อนนี้ทำงานอย่างไร ยังคงเป็นเรื่องน่ากังขาอยู่

เหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ตอนนั้นทำให้ผู้เขียนประหลาดใจในตัวอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นอย่างยิ่งก็คือ เมื่อตอนที่ชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีและอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นโฆษกรัฐบาล พรรคความหวังใหม่ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลด้วย เหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จำไม่ได้แล้ว ชวน หลีกภัย ตัดสินใจดึงพรรคชาติพัฒนาเข้ามาเสียบแทน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะถึงกับวิพากษ์วิจารณ์ชวน หลีกภัยออกมาตรง ๆ ว่า การทำเช่นนี้เป็นการเล่นการเมืองเท่านั้น แต่จะไม่ทำให้ชวน หลีกภัยได้เป็นรัฐบุรุษ ชวน หลีกภัยจึงตอบโต้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า ให้กลับบ้านไปถามคุณแม่ ตอนนั้นผู้เขียนนึกว่าผู้ดีอังกฤษอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่น่าจะทนได้ แต่เขาก็แสดงว่ามีความทนทานต่อเรื่องนี้อย่างสูง ไม่ทราบว่าเขาได้กลับไปถามคุณแม่ตามคำแนะนำของไอดอลทางการเมืองของตนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยอมจับมือกับเนวิน ชิดชอบ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้เขียนก็เข้าใจแล้วว่า หากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นรัฐบุรุษอยู่บ้าง ความใฝ่ฝันนั้นก็คงสลายกลายเป็นหมอกควันซีดจางไปนานแล้วพอ ๆ กับหลักการประชาธิปไตยของเขา รวมทั้งศักดิ์ศรีของการเป็นลูกผู้ชายที่ไม่พึงให้ใครมาพาดพิงถึงมารดาตนเอง ด้วย

ดังนั้น คราวนี้ผู้เขียนจึงไม่ประหลาดใจเท่าไร เมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเคยพูดในสมัยที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าเป็นเขาแล้ว ต่อให้ประชาชนประท้วงเพียงหนึ่งเสียง เขาก็จะยุบสภาทันที แต่ต่อมาปรากฏว่าประชาชนพากันมาประท้วงเป็นหมื่นเป็นแสนคน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกลับทำราวกับการยุบสภาเป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญ ทั้ง ๆ ที่ไอดอลทางการเมืองของเขาก็เคยยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่อง สปก. 4-01 อย่างง่าย ๆ ถึงแม้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเลียนแบบชวน หลีกภัยในทุก ๆ เรื่อง แม้แต่เรื่องวิธีการพูด (นี่ก็เป็นปริศนาอีกประการที่ผู้เขียนขบไม่แตกว่าทำไม) แต่ดูเหมือนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะปลงใจแล้วว่า เขาจะไม่เลียนแบบชวน หลีกภัยในเรื่องนี้ และยินดีเลียนแบบพลเอกสุจินดา คราประยูรมากกว่า (โดยปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่นที่ป๊อบปูลาร์กว่า) การยึดมั่นในคำพูดหรือสัจจะวาจาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงสลายกลายเป็นหมอกควันซีดจางไปอย่างง่ายดายเฉกเช่นเดียวกับสาระ เรื่องอื่น ๆ ในตัวเขา

ในเมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่มีทั้งความคิดอ่านเป็นของตัวเอง ไม่มีหลักการ ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีสัจจะวาจา แล้วเขามีอะไร? เขาไม่น่าจะมีความฉลาดหรือลูกล่อลูกชนทางการเมืองมากนัก เพราะไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนอนาคตทางการเมืองของตนริบหรี่ขนาดนี้ จริงอยู่ เขาอาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่า เขาจะเดินทางไปไหนมาไหนในประเทศนี้อย่างปรกติสุขได้อย่างไร ไม่เพียงตัวเขาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งความปรกติสุขของครอบครัวและตระกูลของเขาก็ดูเหมือนคลอนแคลนไป ด้วย แล้วอนาคตทางการเมืองของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้า? พรรคประชาธิปัตย์จะถีบหัวส่งหรือไม่เมื่อหมดประโยชน์? เขาไม่มีความกล้าบ้าบิ่นแบบนักเลงการเมืองอย่างสมัคร สุนทรเวช ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแต้มคูอย่างบรรหาร ศิลปอาชา ไม่มีอะไรสักอย่าง (นอกจากพูดภาษาอังกฤษคล่อง อันเป็นคุณสมบัติสุดยอดปรารถนาสำหรับคนเป็นนายกรัฐมนตรีในสายตาของชาวกรุง)

เมื่อมองดูอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เขียนนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา จริง ๆ แล้วเรียกว่า “คน” ก็ไม่ใช่ แต่เป็นตัวละครสมมติที่ไม่มีตัวมีตนต่างหาก นั่นคือ ตัวละครที่เป็นนางเอกในหนังเรื่อง ทไวไลท์ และ นิวมูน นางเอกคนนี้เป็นปรากฏการณ์ที่มีคนวิเคราะห์ถึงมากมาย เพราะเธอเป็นตัวละครที่ไม่มีแก่นสารอย่างแท้จริง ไม่มีความสนใจ ไม่มีเป้าหมายชีวิต สาระในตัวเธอนั้นกลวงโบ๋เบ๋ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจาก “ผู้ชาย” ในลมหายใจ ตอนที่แวมไพร์ตนหนึ่งบอกว่า เขาอ่านใจเธอไม่ได้ ก็แน่สิ เพราะใจเธอนั้นไม่มีอะไรให้อ่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็เช่นกัน เขาไม่มีสาระอะไร นอกจากคำว่า “นายกรัฐมนตรี” ในลมหายใจ

แต่การที่หนังซึ่งมีตัวละครเอกกลวงโบ๋เช่นนั้น กลับได้รับความนิยมมากมาย ก็คงเป็นปริศนาเช่นเดียวกับความนิยมที่คนกรุงเทพฯ จำนวนมากมีต่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปริศนาอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนยังสงสัยอยู่ก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีบทบาทแค่ไหนในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตครั้งนี้ เพราะในช่วงเวลา 2-3 วันที่เหตุการณ์วิกฤตสุดขีด หากมีมนุษย์ต่างดาวมาจอดยานในประเทศไทย มนุษย์ต่างดาวนั้นคงคิดว่า ผู้พันไก่อูเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยเป็นแน่ สำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เพียงแค่จะแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังทำไม่ได้ เขาจะสั่งกองทัพปฏิบัติการได้อย่างไร และหากเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกคนนี้เชิดมาทางนี้ทีไปทางโน้นที ชะตากรรมของเขาก็ยิ่งน่าสมเพชระคนน่าหัวร่อ

หากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง เขาก็เป็นหุ่นเชิดที่สุดยอดชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในสามภพ เพราะเปลือกนอกนั้นสร้างจากวัสดุชั้นเลิศ หรูหราวิจิตรบรรจง ส่วนแกนในนั้นกลวงเปล่าเบาหวิว เหมาะอย่างยิ่งที่นายโรงจะเชิดชักตามอำเภอใจ เพราะไม่มีสารัตถะอันใดจะมาถ่วงหน่วงสายชักให้ฝืด บางทีแล้ว ปริศนาของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจไม่ใช่ปริศนาอะไรเลย แต่เป็นเช่นความกลวงเปล่าในตัวเขาที่พร้อมจะสลายกลายเป็นหมอกควันซีดจาง เมื่อลมพัดมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน