แดงเสรีชน…เช็ดคราบน้้าตา จับมือแล้วเดินต่อไป
โดย ปัญญาแห่งตน
จากเหตุการณ์พฤษภามหาวิปโยคในครั้งนี้ ทำาให้คนไทยทั่วหล้าได้เห็นว่าสังคมไทยนั้นแท้จริงแล้วมี เพียง 4 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
กลุ่มที่ 1 อำมาตย์และสมุนอำามาตย์ กลุ่มนี้คงไม่ต้องขยายความให้มากมาย เพราะมีความชัดเจนมามากนักแล้วทั้งในรูปของหน้าที่และพฤติกรรม แต่ไม่นานมานี้มีคนหลายๆคนพยายามอ้างด้วยความยโสว่า ตนนั้นก็เป็นอำมาตย์คนหนึ่งเช่นกัน หากใครที่ได้ติดตามละครจักรๆวงศ์ๆ ได้ฟังแล้วน่าขันเป็นที่สุด เพราะว่าอำมาตย์นั้น “มีได้เพียง คนเดียว” คนอื่นๆ ที่พยายามแอบอ้างนั้น แท้จริงแล้วได้เป็นเพียง “สมุนอำมาตย์” เท่านั้น โดยอำมาตย์และสมุนนั้นมีจุดแข็งที่สุดในการครองอำนาจผ่านเครื่องมือคือ “ทหาร”
กลุ่มที่ 2 ศักดินา คนกลุ่มนี้คือกลุ่มของผลประโยชน์ซึ่งใช้เส้นสาย ความสัมพันธ์ในการหาผลประโยชน์กับกลุ่มอำมาตย์อย่างใกล้ชิด เป็นกลุ่มที่ถูกจัดเป็นผู้ทำนาบนหลังคนอย่างต่อเนื่อง การล่มสลายของสมาชิก ของกลุ่มนี้มักมาจากการต่อสู้ของคนในกลุ่มเองและการไปขัดขากับกลุ่มอำมาตย์ คนเหล่านี้มักมีความคิดกดขี่ข่มเห่งประชาชน ที่รู้จักมีความคิดเป็นของตนเอง กระด้างกระเดื่องต่อการชี้นำของพวกเขาโดยเรียกคนเหล่านั้นว่า “ไพร่” ส่วนใครที่เชื่อในการชักชวน และตกเป็นเครื่องมือของเขาและกลุ่มอำมาตย์จะถูกเรียกว่า
“ทาส” โดยเครื่องมือของคนในกลุ่มนี้คือระบอบตุลาการภิวัฒน์ และเส้นสนกลในในหน่วยงานของรัฐและสถาบันการเงินต่างๆ
กลุ่มที่ 3 ทาส คนกลุ่มนี้จริงๆแล้วไม่ได้เป็นทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสท่านให้หรือทาสประเภทใดๆ ตามกฎหมายเพราะล้นเกล้ารัชการที่5 พระราชทานความเป็นอิสระให้ไปแล้ว แต่สิ่งที่คนเหล่านี้มักผูกเอาตนเข้าไปเป็นทาสคือ “ขาดอุดมการณ์” คนเหล่านี้มักยินยอมให้ใครบางคน เป็นผู้ชักนำทางความเชื่อ ทางความคิด หลงเชื่อด้วยการโฆษณา ไร้ซึ่งความอิสรเสรีทางความคิด และเป็นคนที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า ขาดความเชื่อมโยงและเข้าใจสภาพสังคมไทย โดยรวม และมักคิดหลงว่าตนเองเป็น “ศักดินา” แต่กว่าจะรู้สึกตัวก็ต่อ เมื่อถึงวันถูกอำนาจรัฐกดขี่ข่มเหงรังแกและรู้สึกถึงความอยุติธรรม จึงจะรู้สึกว่าตนเองเป็นทาสดีๆนี่เอง
กลุ่มที่ 4 ไพร่ คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ไพร่สม หรือไพร่ประเภทใดๆ ในตำรา แต่บัดนี้ในสังคมไทยกำาลังมีไพร่ปัจจุบันประเภทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นกลุ่มคนที่หลากหลายอาชีพ หลากหลายในระดับของรายได้ แต่มีสิ่งที่เหมือน แก่นร่วมกันคือ “ความเป็นเสรีชน” ผู้มีอิสระทางความคิด ไม่ยอมให้ใครเป็นผู้นำาทางความคิดของตนเองอย่างถาวร ไพร่ในสังคม ไทยส่วนใหญ่ต่อจากนี้ไปจะมีการแสดงออกอย่างชัดเจนทางความคิด มากกว่าเดิม มีความเข้มแข็งมากกว่าเดิม เนื่องจากผ่านประสบการณ์อันโหดร้าย และไร้ซึ่งความยุติธรรมมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ศรัทธาในบุคคลหรือสิ่งใดนอกจากความคิดที่ว่า “อยากได้สิ่งใด ต้องต่อสู้ด้วยตนเอง” คนที่จะเป็นผู้นำของไพร่ได้ เป็นคนที่ไพร่ยอมรับ ด้วยกายและใจ จักต้องเป็นคนที่ไพร่เลือกมาเท่านั้น
จุดแข็งที่สุด ของอำมาตย์คือสามารถใช้ทหารดูแลกลุ่มตนเอง กลุ่มศักดินา และกลุ่มทาสที่ถูกนำไปใช้ในการทำลายไพร่ได้เป็นอย่างดี
ส่วน การต่อสู้ของ “ตัวแทน” ของกลุ่มไพร่ คือกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ซึ่งได้ผ่านเหตุการณ์เมษาเลือด ซึ่งขณะนั้นคนเสื้อแดงยัง “ไม่แข็งแรง” เพียงพอ จากนั้นแกนนำนปช. ได้ประเมินแล้วลงมติว่าทุกคนจะต้องทำงานหนักร่วมกันกับคนเสื้อแดงที่มีในการเดินทางหลายพันกิโลเมตร เพื่อการเพิ่มพูนกลุ่มของตัวแทนไพร่หรือการขยายขนาดของกลุ่ม นปช. แดงทั้งแผ่นดิน โดยใช้เวลากว่า 1 ปี ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ตากแดด ตากฝน ยอมลำบากมาด้วยกัน จึงเข้าสู่การต่อสู้เพื่อการเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นและอยู่ในสังคม
ด้วยข้อเรียกร้อง “ยุบสภา” เรียกคืนอำานาจจากอำมาตย์ สมุนและขุนทหาร โดยขนาดของผู้ชุมนุมมีกำลังหลักจากต่างจังหวัดและที่ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนเข้าและออกพื้นที่ชุมนุม โดยสามารถสร้างสถิติอย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือมีผู้เข้าร่วมคืนหนึ่งๆกว่าสองแสนคนกินพื้นที่กว่าสามตารางกิโลเมตร ผู้คนเข้าร่วมชุมนุมหมุนเวียนนับล้านคน ได้รับการตอบรับจากผู้อยู่อาศัยและ ไพร่ด้วยกันที่เข้ามาทำางานในกรุงเทพฯมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเคลื่อนที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมไปรอบพื้นที่กรุงเทพฯ โดยใช้เวลาเคลื่อนที่กว่าสิบชั่วโมงจากหัวขบวนถึงท้ายขบวนจนเป็นที่ประจักษ์
เหนือความคาดหมายของแกนนำที่ใช้ยุทธศาสตร์การต่อสู้ คือ “ความอดทนรอเวลาการเพลี่ยงพล้ำจากฝ่ายตรงข้าม” โดยที่แกนนำเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเมื่อใด เมื่อกลุ่มอำามาตย์ต้องการรุกก่อนเพื่อชิง ความได้เปรียบ โดยอำมาตย์และสมุนเองก็ถูกกดดันจากหลายกลุ่ม จึงกดปุ่มและพยักหน้ากับสื่อซึ่งถูกบรรจุผสมปนเปไว้แล้วในกลุ่ม ศักดินาและทาส เมื่อวันที่ 10 เมษายน ให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ “ทดลอง” การใช้กำาลังเข้าปราบผู้ชุมนุมที่แยกผ่านฟ้า จนปรากฏภาพความโหดเหี้ยมไปทั่วโลกจากความล้าหลังของความไม่รู้จักศักยภาพ ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จากนั้นมาจึงเป็น“ความล้มเหลว” ของระบอบนี้
จากปัจจัยนี้ทำให้ไพร่ในกรุงเทพฯได้พัฒนาเข้ามาเป็น “ตัวแทนของไพร่” ทั้งระบบในรูปของ “แดงเสรีชน” มากขึ้นเหลือคณา แกนนำนปช.เองก็ คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นในการชุมนุมครั้งนี้ และจำต้องสู้ต่อไปด้วยศรัทธาแห่งเสรีชนในหัวใจคนเสื้อแดง นั้นลุกโชนยิ่ง ความต้องการเป็นไพร่ที่มีเสรีและเรียกร้องหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเต็มแห่งประชาธิปไตยกลับคืนนั้น ต้องการเรียกร้องความ ยุติธรรมให้แก่วีรชนที่ตายไปจากการฆ่าของนายอภิสิทธิ์และพวก การต่อสู้ดำเนินมานอกเหนือจากการควบคุมได้ของกลุ่มเครือ
ข่าย อำมาตย์และศักดินา
ดังนั้นจึงมีความพยายามใช้พลังของ “กลุ่มทาส” ที่ตนเองมี ให้ออกมาในรูป “คนเสื้อหลากสี” เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้ตนเองในการฆ่า แต่แล้วการชุมนุมกี่ครั้งกี่หนก็จุดไฟใดๆของทาส ไม่ติด การต่อสู้ของคนเสื้อแดงมาเกินกว่าความคาดไว้ของแกนนำนปช. ด้วยซ้ำา และจุดจบใกล้มาถึงตัวนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในฐานะผู้อำานวยการศอฉ. ทุกขณะ ทุกครั้งที่ส่องกระจกทั้งสอง เห็นแต่คำว่า “ทรราช” อยู่บนหน้าผากตนเอง จึงจำต้องเสนอแผน“ปรองดอง 5 ข้อ” เพื่อต่อทางรอดให้ตนเองและพวก
กลุ่มคนเสื้อแดงเสรีชนชัยชนะอยู่แค่ เอื้อม ประธานนปช. วีระ มุสิกพงศ์ และแกนนำบางส่วนที่เจนจัดและรอบคอบเห็นว่าจังหวะนี้เหมาะที่ สุดที่คนเสื้อแดงจะได้กลับบ้านอย่าง “ผู้ชนะ” แต่แกนนำบางส่วน เห็นว่านอกจาก “ชัยชนะ” แล้ว “ความยุติธรรม” ของวีรชนต้องได้รับการ เรียกร้อง จึงขอเพิ่มข้อเสนอเพียงเล็กน้อยคือให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เนื่องด้วยความจริงใจที่มีมากไป และประสบการณ์ที่ยังไม่เพียงพอจึงคิดว่านี่คือการ “เจรจา” อย่างแท้ จริง เพราะนิยามของการเจรจานั้นคือให้ฝ่ายหนึ่งเสนอมาก่อน แล้วให้ อีกฝ่ายเสนอไป แล้วจึงมาดูว่าแต่ละฝ่ายรับอะไรกันได้บ้าง
แต่แล้วด้วยความไม่จริงใจของข้อเสนอ 5 ข้อ มาตั้งแต่ต้นและมีสมุนอำมาตย์ เสนอแผน “เลือด” และแผนที่ได้รับ “ไฟเขียว” ทำให้ทุกอย่างดำเนินเข้า สู่กระบวนการ “สังหาร ปราบปราม แทรกซึมและบ่อนทำลาย” โดยปิดเงื่อนไขการเจรจาด้วยการลอบสังหารแกนนำซึ่งมีเป้ าหมายมีหลายคนแต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล กลับถูกเลือก คนที่ดูเหมือนไม่มีบทบาทมากนักในข้อเรียกร้องทางการเมือง แต่แท้จริงแล้วมีบทบาทสูงยิ่งในการต่อสู้และความรู้สึกอุ่นใจรวมถึงขวัญ กำาลังใจของผู้ชุมนุม เสธ.แดงเป็นเพียงนายทหารที่รักความ
ยุติธรรม รักชาวบ้านและอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อประชาชนเพิ่งจะคุโชน อย่างหนักหน่วงเมื่อเขามานั่งฟังอย่างตั้งใจที่เวทีสนามหลวงพร้อมๆ กับนปก.ในรุ่นแรกเท่านั้นเอง เพราะเขาเป็นผู้มีพื้นความรู้เดิมทาง การเมืองอย่างมากมายอยู่เป็นทุนและได้มาเติมเต็มในมิติของประชาชนที่สนามหลวงในวัยห้าสิบปลายๆนี่เอง
ดังนั้นการลอบสังหาร นี้เป็นเพียงหนึ่งหมากที่มุ่งหวังเพียงลดขนาดของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ เป็นแนวร่วมซึ่งเป็นผู้เรียกร้องที่นิยมการเจรจาที่พ้องกับแกนนำกลุ่ม แรก และเขย่าขวัญผู้ชุมนุมบางส่วน ผลลัพธ์ที่ฝ่ายวางแผนได้
รับนั้นดังความคาดหมาย อีกทั้งเป็นการความพยายามปิดประตูการเจรจาใดๆ ของฝ่ายกระหายเลือดที่ไม่ต้องแสดงออกมากนัก เพราะเหตุการณ์นี้เหล่าคนเสื้อแดงจะแสดงออกโดยดันให้ปิดประตูเอง หมากนี้ของอำมาตย์ และศักดินามีความอำมหิตยิ่ง และต้องยอมรับว่าความเชี่ยวกรากและความอำมหิตนั้นแกนนำนปช.นั้นยังบริสุทธิ์เกินไป ที่จะต่อกร
แกนนำนปช. เห็นแล้วว่าไม่เหลือทางถอย ไม่เหลือทางชนะ เหลือทางเดียวคือทางสู้ด้วยใจบริสุทธิ์เท่านั้น แกนนำบางส่วนถอนตัว ผู้ชุมนุมบางส่วนเข้าใจผิดว่าแกนนำทอดทิ้ง แต่แท้จริงแล้วแกนนำที่ถอนตัวไปเพราะพิจารณาตนเองแล้วว่าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำในการต่อสู้ ในภาวะนี้และการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเสรีชนนั้นเกินกว่าจะฟังคำทัดทานใดๆ จะพูดอย่างไรให้ไพร่ที่กอดคอร่วมต่อสู้มาด้วยกันหันหลังแบกศพวีรชนเดินกลับบ้านมือเปล่าก็หาได้ไม่ จึงเหลือเพียงแกนนำที่จำเป็นและเพียงพอเท่านั้นที่จะต้องสู้ต่อ โดยชาวเสื้อแดง
ส่วนใหญ่ก็เข้าใจบทบาทของแกนนำที่จำต้องหายหน้าไป ยังมีไม่น้อย ที่เข้าใจผิดไปอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้ตัดสินใจให้สู้ต่อ
แต่แท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงหนึ่งในผู้สนับสนุนทุนในการชุมนุมก้อนใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น เพราะนักบริหารชั้นอ๋องอย่างเขาจะ ไม่ตัดสินใจหากไม่ได้อยู่กับปัญหานั้นจริงๆ เขาจึงมอบอิสระให้กับแกนนำเป็นอย่างสูง
แกนนำที่เหลือฝากความหวังที่มองไม่เห็นไว้ที่ปลายทางข้างหน้า หวังว่าปาฏิหาริย์จะมีจริง แต่ฝ่ายนายอภิสิทธิ์และศอฉ.โดยอำมาตย์ได้ใช้ เครื่องมืออันอำมหิตตามแผนคือกำลังทหาร อาวุธสงครามยุทโธปกรณ์ ต่างๆ เข้าห้ำหั่นประชาชนไทยด้วยกันเอง ประชาชนและคนเสื้อแดงที่ ไม่สามารถเข้าที่ชุมนุมราชประสงค์ได้จึงเข้าต่อสู้ด้วย “หัวใจ” ตามจุดต่างๆรอบๆพื้นที่ปิดล้อม พวกเขามีแค่ก้อนหิน ยางรถยนต์และประทัด และหัวใจอันหาญกล้าเท่านั้น ดังนั้นผลลัพธ์จึงเห็นได้ชัด เหมือนหงายไพ่เล่น กองกำาลังประชาชนไม่สามารถจะ
ระคายผิวกองทหารขนาดสามกองผลได้แม้แต่คนเดียว เมื่อกองทหารกระหายเลือดปะทะกับผู้มีอุดมการณ์ที่ไม่กลัวตายสิ่งที่ได้คือกองซาก ศพของวีรชนและประชาชนคนแล้วคนเล่า จำานวนศพเดินไปเรื่อยๆราย ชั่วโมงใกล้หนึ่งร้อยเข้าไปทุกขณะ แกนนำที่เหลือเข้าใจสถานการณ์ดีว่า “วันนี้ไม่ใช่วันที่ฟ้าเป็นสีทองผ่องอำาไพ”และรู้ดีว่าเหล่าไพร่คนเสื้อแดงที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่ตรงหน้านี้มีอุดมการณ์ อันสูงส่งยิ่งคือ “ยอมตายดีกว่าให้ปกครอง” และมีพวกเขาค่าเกินกว่าคำว่า “สู้แค่ตาย” ดังคำกล่าวว่า “ขุนเขายังอยู่ ใยกลัวไม่มีฟืน”
การมอบตัว ของแกนนำจึงดำเนินมาถึง เมื่อแกนนำประกาศไม่นานนัก กำลังทหารที่เข้าแทรกซึมอยู่ก่อนหน้าได้ทำการก่อความวุ่นวาย ใช้ระเบิดทันทีตามแผนแทรกซึม-บ่อนทำลาย ทำให้แกนนำไม่มีโอกาสได้ใช้เครื่องขยายเสียงโน้มน้าวให้ผู้ชุมนุมเดินกลับบ้านอย่างเป็นระเบียบและอำลากันอย่างมิตรรัก ทั้งกองกำลังทหารไร้แผน “หยุดการใช้กำาลัง” เมื่อแกนนำประกาศมอบตัว แล้วให้ประชาชนถอนออกจากที่ชุมนุมอย่างช้าๆ น่าเศร้าที่ไม่มีแผนนี้บรรจุไว้เลย เนื่องจากมีแต่แผนใช้อาวุธสังหารผู้ชุมนุมที่ต่อต้านเท่านั้น อีก
ทั้ง ทันทีที่แกนนำาประกาศมอบตัวในนาทีนั้น ศอฉ. แทรกรายการพิเศษเข้าทุกช่องโทรทัศน์ ออกอากาศเพียงเพื่อ “ประกาศชัยชนะ” แถลงโดย พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำาเนิด เพื่อ “สมน้ำหน้า” คนเสื้อแดงในทันที ดั่งราดน้ำมันเข้าสู่กองไฟและเหมือนใช้เท้าเหยียบหัวซ้ำ เหล่าเสรีชนคนเสื้อแดง ผู้ชุมนุมภายในราชประสงค์
และพื้นที่โดยรอบแสดงความรู้สึก “ยอมตายดีกว่าให้ปกครอง” ออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยศักยภาพเท่าที่เขาจะทำได้ เป้ าหมายต่างๆที่เป็นสัญลักษณ์ ทางการเมืองมาก่อนหน้าจึงถูกเลือกและเผากรุงเทพฯและหลายจังหวัด กลายเป็นทะเลเพลิงในทันที
องค์พรหมคงรับรู้และดลบันดาลพลังแห่งพลังไฟโลกันต์เผาผลาญดั่งจะให้สามโลกได้รับรู้ในความอยุติธรรมในแผ่นดินนี้ อภิสิทธิ์ ขุนทหารและอำมาตย์สะดุดเท้าตัวเองด้วยกระทำโง่ๆ หากเป็นซามูไรคงต้องฮาราคีรี
ตนเอง เพราะนอกจากได้ฆ่าเพื่อเขย่าขวัญคนเสื้อแดงแล้ว แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือผู้ครองอำนาจเหล่านี้จะต้องแก้ปัญหาที่เขาสร้างขึ้นอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ดาบสุดท้ายที่ไพร่ได้ฝากไว้คือการแทง ทะลุอกพวกอำมาตย์และศักดินาอย่างจัง
แม้แดงเสรีชนเดินทั้งคราบน้ำตา ออกไปให้อมนุษย์เครื่องมืออำมาตย์และทรราชจับมัดมือไพล่หลังอย่างไพร่ที่ยอมรับชะตากรรม ไพร่จำนวนหนึ่งยังคงถูกสังหารโหดอย่างต่อเนื่องตามจุดต่างๆตลอดคืนรวมถึงในเขตอภัยทานที่หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารอย่างไร้ปราณี น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย มองไปทางไหนมีแต่เสียงร้องระงมด้วยความเจ็บปวดทั้งกายใจ เสียงแห่งความทุกข์ที่คนไทยที่ขับเคลื่อนประเทศนี้ผู้ที่ถูกกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมมาตลอดชีวิตจวบสิ้นลมหายใจ
ความเจ็บใจ เสียใจ ท้อแท้ ผิดหวัง แต่กลับมีความรู้สึกที่ยังเพรียกร้องคือ “ไม่มีวันยอมจำนน”
น่าแปลกที่ทันทีที่เท้าก้าวลงแตะพื้น ชานชาลา สถานีรถไฟ อ้อมกอดของคนเสื้อแดงที่มารอรับนั้น ทำให้นายอภิสิทธ์ทรราช อำมาตย์และเหล่าสมุนศักดินาครั่นคร้าม คือการสวมกอดนั้น ดั่งจะบอกว่าให้โลก
รู้ว่า “อีกไม่นาน...เราจะกลับมา” (We shall return!)
รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน
แดงเชียงใหม่
กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม
เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน
"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น