จาตุนต์ ฉายแสง แถลงข่าว
30 พฤษภาคม 2553
นาย จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยกล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางการแก้ไข วิกฤตประเทศของรัฐบาลว่า ดูเหมือนนายกรัฐมนตรีจะใช้คารมโวหารแก้ปัญหาเอาตัวรอดไปวันๆ และมีบทบาทอย่างสำคัญที่ทำให้แผนปรองดองของรัฐบาลกลับเป็นเรื่องลม ๆ แลง ๆ ที่ไม่มีวันจะปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ แต่กลับจะทำให้บ้านเมืองยิ่งแตกแยกและวิกฤตยิ่งซึมลึกไปเรื่อย ๆ
นายกฯได้อาศัยการชี้แจงต่อทูตและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่เป็นการแก้ตัวอย่างน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น ตอบไม่ตรงประเด็น แต่กลับนำมาฟอกตัวเองโดยพูดแทนทูตทั้งหลายว่า ฟังแล้วเข้าใจดี ทั้งๆที่สังเกตจากคำถามก็แสดงให้เห็นว่ายังมีคำถามใหญ่ๆที่ทูตหลายประเทศยัง ห่วงใยไม่สบายใจ เช่น ที่ถามว่าจะขอโทษหรือไม่ ลาออกหรือไม่ จะเลือกตั้งตามกำหนดที่เคยพูดไว้หรือไม่ รวมทั้งการที่ทูตประเทศต่างๆย้ำว่า เห็นด้วยกับการปรองดอง แต่นายกฯกลับไม่สามารถชี้แจงให้เห็นได้เลยว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่าง ไร
นอกจากนายกรัฐมนตรีจะทึกทักเอาเองว่าทูตประเทศต่างๆเข้าใจดี นายกรัฐมนตรียังปิดหูปิดตาและปิดปากบรรดาทูตทั้งหลาย ด้วยการขอบคุณที่ทูตไม่แทรกแซงกิจการภายในของไทย ปิดกั้นแทรกแซงสื่อให้เสนอข่าวด้านเดียว ตำหนิทูตที่รับฟังข้อมูลความเห็นจากฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ในการชี้แจงครั้งนี้นายกฯได้ฉวยโอกาสแก้ต่างแทนทหารว่าไม่ได้ยิงประชาชน แก้ตัวเกี่ยวกับการสั่งการให้ใช้ความรุนแรง การชี้แจงในลักษณะนี้ มีแต่จะทำให้คนไม่ยอมรับหรือกระทั่งโกรธแค้น และยังสร้างปัญหาตามมาว่า เมื่อนายกฯยืนยันว่าฝ่ายรัฐบาลไม่ผิดเลย แล้วยังจะตรวจสอบข้อเท็จจริงไปเพื่ออะไร
สำหรับการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเป็นในอดีตคงมีคนเรียกร้องให้มีการรัฐประหารไปแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาของประเทศร้ายแรงจริงๆ แต่ที่ไม่เกิดการรัฐประหาร เพราะนายกฯและรัฐบาลสามารถร่วมมือกับทหารปราบปรามประชาชนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย กัน ต่างตอบแทนของประโยชน์ซึ่งกันและกัน จนทำให้การปกครองบ้านเมืองอยู่ในลักษณะเผด็จการที่ร้ายแรงและซับซ้อนกว่ายุค สมัยใดๆ
สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรไปจากการรัฐประหารนั่นเอง มีการปราบปรามเข่นฆ่าแระชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และยังมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปิดกั้น ครอบงำแทรกแซงสื่อ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในชาติ เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลและพรรคการเมืองเพียงบางพรรคเท่านั้น
หากจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น คณะกรรมการฯชุดนี้ควรตรวจสอบ ศึกษาวิเคราะห์ถึงต้นเหตุวิกฤตของประเทศที่นำมาสู่การชุมนุมและเกิดความสูญ เสียในที่สุด ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครทำผิดกฎหมายในเรื่องใด ฝ่ายนปช. - คนเสื้อแดงผิดกฎหมายอะไร รวมทั้งผิดฐานก่อการร้ายและล้มสถาบันจริงหรือไม่
ส่วนฝ่ายรัฐบาลกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมาย ขัดข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และควรวิเคราะห์ทางออกจากวิกฤต และการป้องกันไม่ให้วิกฤตบานปลายและยืดเยื้อไม่สิ้นสุดด้วย การตั้งคณะกรรมการฯนี้จะต้องเป็นที่ยอมรับของหลายๆฝ่ายและสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะทุกวันนี้หาคนกลางที่เป็นที่ยอมรับของหลายๆฝ่ายได้ยากมาก
นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาว่าใครจะเป็นคนตั้ง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นคู่กรณีโดยตรงและยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาเสียเองด้วย การให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการฯจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะได้คนที่เป็น ที่ยอมรับ ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกฯและยังกำกับสั่งการทั้งตำรวจ , DSI และอีกหลายหน่วยงานที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาหรือเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยใน ความเป็นกลาง ตราบนั้นจะหวังให้เกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับไม่ได้เลย
สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนั้น นับเป็นโอกาสเดียวในรอบ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ที่ประชาชนจะมีโอกาสรับฟังข้อมูล ความคิดเห็นที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอมาแต่ฝ่ายเดียวโดยตลอด แต่การอภิปรายในครั้งนี้จะคาดหวังผลมากนักก็คงไม่ได้เพราะรัฐบาลได้ครอบงำ ความคิดของสังคมไปมากจากการแทรกแซงสื่ออย่างได้ผล
นอกจากนี้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ยังแสดงท่าที่จะขัดขวาง ปิดกั้นการเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยอ้างเหตุผลความเหมาะสมที่ฝ่ายเสียงข้างมากจะเป็นผู้ตัดสิน โดยเฉพาะรูปภาพและคลิปวีดีโอที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อน ก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้นำเสนอ
ส่วนการอภิปรายจะมีผลอย่างไร ทำให้เกิดการปรับครม.หรือไม่นั้น คิดว่าเป็นการบิดเบือนประเด็นของนายกรัฐมนตรี การปรับครม.เป็นเพียงการจัดสรรผลประโยชน์กันใหม่ในครม. ที่พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจต่อรองมากขึ้น จากการรับหน้าในการปราบปรามประชาชนโดยตรง
แต่การปรับครม.จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการแก้วิกฤตของประเทศเลย เพราะผู้สมควรโดนปรับออก คือ นายกรัฐมนตรีมากกว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ หากนายกฯยังคงอยู่ในตำแหน่งย่อมไม่มีทางตั้งคณะกรรมการฯที่เป็นอิสระและเป็น ที่ยอมรับได้ และไม่มีทางที่จะทำให้เกิดการปรองดองได้จริง มีแต่จะทำให้สังคมไทยยิ่งแตกแยกมากขึ้น ไม่มีสิ้นสุด
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น