แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลทหารไทยเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับรัฐบาลทหารพม่า


โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมจาก Huffington Post

หลายคนสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดรัฐบาลทหารพม่าซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของ ความโหดเหี้ยมถึงได้ออกมาประกาศให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เหตุใดรัฐบาลทหารพม่าต้องกระทำเช่นนั้น? ทั้งนี้เพราะไม่มีใครเชื่อในละครฉากนี้อีกต่อไป โดยอย่างน้อยที่สุดก็คงจะเป็นกลุ่มคนผู้ให้การสนับสนุนนักโทษทางการ เมืองอย่างนาง อองซานซูจี ซึ่งนางอองซูจีถูกสั่งกักบริเวณไม่กี่วันหลังจากมีลงมติให้มีเลือกตั้ง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทหารพม่าไม่ได้มีความจริงใจต่อการการเลือกตั้งแต่อย่าง ใด นักหนังสือพิมพ์อย่าง นายโจนาธาน เมนโทปร์ กล่าวว่า รัฐบาลทหารพม่าสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาขึ้นมาเพื่อเอาใจคนที่ไม่รู้ประสีประสา โดยหลีดเลี่ยงที่จะไม่ทำให้อำนาจของตนเองสั่นคลอน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความอดทนที่รัฐบาลสหรัฐของนายโอบามามีต่อความรุนแรงที่เกิด ขึ้นโดยรัฐบาลไทยที่มีกองทัพหนุนหลังแล้วจะพบว่าเราไม่สามารถกล่าวโทษเหล่า นายพลทหารพม่าที่คิดว่านีคือกฎเกณฑ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐ กลุ่มคนที่ไม่ประสีประสาเหล่านี้ได้ถลำเชื่อในเกมการเมืองเหล่านี้มากขึ้น

เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยคือประเทศประชาธิปไตยประเทศเดียวในภูมิภาค มีความโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคในเรื่องของสิทธิทางการเมืองและสิทธิ พลเรือน เสรีภาพในการนับถือศาสนา และเคารพในสิทธิของชนกลุ่มน้อย ในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคได้พัฒนาการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ เสรีภาพทางการเมือง และการยึดมั่นในระบบนิติรัฐขึ้นอย่างช้าๆ ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่ถอยหลังลงคลอง

ประเทศสัมพันธมิตรที่ยาวนานเป็นที่พึ่งพาของประเทศภูมิภาคนี้อย่างสหรัฐ อเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนางฮิลลารี คลินตัน ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่คุกคามสันติภาพของภูมิภาคและมีการุกคามสิทธิ มนุษยชนในประเทศอย่างต่อเนื่อง หากมองในหลายแง่มุมแล้วประเทศไทยมีความคล้ายกับประเทศพม่ามากกว่าประเทศที่ กำลังก้าวไปสู่ประชาธิปไตยอย่างอินโดนีเชีย

ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาล ได้ขึ้นสู่อำนาจหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ผลการเลือกตั้งปีที่แล้วเป็น โมฆะ โดยมีกลุ่มนายทหารคนสำคัญของประเทศ คณะองคมนตรี และกลุ่มอำมาตย์หัวเก่า ให้การสนับสนุน ได้มีการดำเนินนโยบายทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตยของคนยากคนจน อันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศทุกรูปแบบ

มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเป็นจำนวนมากที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่อำมหิต ของรัฐบาลไทยที่ถูกมองข้ามโดยรัฐบาลสหรัฐ ในปลายปี 2551 ซึ่งไม่นานหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นสู่อำนาจ สื่อต่างชาติได้นำเสนอเรื่องราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันน่ารังเกียจของเจ้า หน้ารัฐไทยที่กระทำต่อกลุ่มผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวโรหิงญ่า หลายวันหลังจากที่กลุ่มคนเหล่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม กองทัพไทยได้ผลักเรือของกลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่าออกไปยังน่านน้ำสากล และปล่อยให้คนเหล่านั้นเสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหารบนเรือที่ไม่มีเครื่อง ยนต์และเครื่องมือนำทิศทาง มีการประมาณตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการกระทำของกองทัพไทยอย่าง คร่าวๆว่ามีประมาณ 500ราย แต่กระนั้นนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อกล่าวที่มีการจัดทำขึ้นเป็นเอกสารอย่างรวดเร็ว แทนที่จะจัดให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว

หากกว่าถึงเสรีภาพในการแสดงออก จะพบว่าประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับประเทศพม่ามากขึ้นทุกวัน รัฐบาลพยายามปิดกั้นข่าวสารจากแหล่งข่าวทางเลือก ซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ของฝ่ายตรงข้าม วิทยุชุมชนหลายแห่ง และเวปไซค์ประมาณ 50000เวปไซค์ถูกสั่งปิดหรือบล็อกโดยเจ้าหน้าที่ไทย นอกจากนี้ยังมีการคุกคามสิทธิด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดอย่าง กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากสถิติของการดำเนินคดีอาชญาที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นแล้วพบว่ามีผู้ถูกฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 164 คดี ซึ่งรวมถึงคดีของนักกิจกรรมอย่างนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล(ดา ตอปิโด) ที่ถูกตัดสินให้จำคุกในความผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้ง 3 กระทงเป็นเวลา 18ปี จากคำกล่าวปราศรัยของดาในเดือนกรกฎาคมปี 2551

กลุ่มเอ็นจีโอได้เริ่มสังเกตเห็นการคุกคามเสรีภาพการแสดงออกจากรายงานของคณะกรรมการคุ้มครองนักข่าว ไปจนถึงรายงานข่าวของนักข่าวข่าวไร้พรมแดน จากสถิติการดำเนินนคดีนี้และการคุกคามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ในเดือนมกราคมปี 2553 Human Rights Watch ได้กล่าวว่าสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ตกต่ำลง ไปอย่างมาก ทั้งนี้การไล่ล่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามยังมีความรุนแรงมากขึ้น นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ให้สัญญาเมื่อไม่นานมานี้ว่าการไล่ล่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องเพราะที่ผ่านมา รัฐบาลให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากเกินไป

สิ่งที่แย่กว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือคือนโยบายการใช้ความรุนแรง ระบบศาลเตี้ย และมีการคุมขังฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะใน กลุ่มคนเสื้อแดงหรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ในรัฐบาลอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งองค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรที่เกิดชึ้นภายหลังจากการทำรัฐประหารในปี 2549 นโยบายเหล่านี้ของรัฐบาลเป็นสาเหตุทำให้ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธถูกสังหาร เกือบร้อยราย และอีกประมาณสองพันคนได้รับบาดเจ็บ

การคุกคามเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2552 เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้กำลังเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในกรุงเทพ มหานคร แต่ในวันที่ 14 มีนาคม 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้เดินทางเข้ามาชุมนุมในกรุเทพมหานคร จากนั้นรัฐบาลได้สั่งให้สลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นผลทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 27ราย แต่ทั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ถูกใช้กำลังสลายลงอย่างราบคราบเมื่อวัน ที่ 19 พฤษภาคม หลังจากทหารได้ใช้กระสุนจริงนับพันลูกยิงใส่ผู้ชุมนุมที่ไร้อาวุธ ผู้บริสุทธิ์ที่ยืนดูเหตุการณ์ อาสาพยาบาล และนักข่าว เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ แม้จะมีการกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติการสลายการ ชุมนุมในเดือนพฤษภาคม และเจ้าหน้ารัฐยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นทั้ง 55 รายที่ถูกยิงสังหารนั้นมีอาวุธ รายงานข่าวไร้พรมแดนกล่าว ว่าการกระทำของรัฐบาลไทยคือการออก ใบสั่งฆ่าผู้ชุมนุมให้กับทหาร ซึ่งกองกำลังเหล่านี้เหล่านี้นำไปใช้ใช้เพื่อเป็นการเพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศและระบบกฎหมายไทยที่ปกป้องพลเรือน

กองทัพได้เข้ามามีอำนาจในปกครองประเทศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากรัฐประหารในปี 2549ในครั้งก่อนที่กองทัพปกครองประเทศโดยใช้กฎหมายบังหน้า หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็คือ ครั้งนี้กองทัพบิดเบือนใช้ระบบกฎหมายคุกคามเพื่อเอื้ออำนาจอย่างล้นเหลือแก่ รัฐบาลทหาร โดยรัฐบาลทหารไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำใดๆทั้งสิ้น การที่รัฐบาลปัจจุบันใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในทางที่ผิดทำให้ระบบนิติรัฐถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงซึ่งไม่ต่างอะไร จากการทำรัฐประหาร อย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐบาลพยายามเสแสร้งว่าได้ปฏิบัติกฎหมาย เราต้องไม่ลืมว่า การประกาศและยืดเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้นบ่งบอกว่านี้คือการทำรัฐประหารเงียบของรัฐบาลอภิสิทธิ์และนาย ทหารที่ให้การสนับสนุนรัฐบาล

ต้นปีนี้ องค์กรระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงอย่าง Freedom House ได้รายงานว่าประเทศไทยไม่สามารถถูกจัดไว้ในกลุ่มประเทศที่มีการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตย” (ซึ่งต่ำกว่าประเทศ เสรีประชาธิปไตย”) เพราะมีการแทรกแซงกระบวนการทางการเมืองโดยกลุ่มทหารและการขึ้นสู่อำนาจของ นายอภิสิทธิ์ที่ปราศจากความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง Freedom House ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในประเภทที่ มีเสรีภาพเพียงบางส่วนโดยให้คะแนนประเทศไทยในเรื่องเสรีภาพทางการเมืองและพลเรือนเท่ากับประเทศเว เนซูเอล่า (ซึ่งแย่กว่าประเทศที่มีปัญหาในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างบัง คลาเทศ เนปาล พิลิปปินส์ ปากีสถาณี และศรีลังกา) การจัดอันดับของ Freedom House ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความตกต่ำของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย (ในปี 2548 ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศ เสรีนิยม”) ทั้งนี้คะแนนของ Freedom House ในปี 2553 ไม่ได้รวมถึงการประเมินการใช้อำนาจรัฐในประเทศไทย ใน 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากนำมารวมกันอาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยน่าจะได้คะแนนใกล้เคียงกับรัส เซียหรืออิหร่านมากกว่า

เป็นเรื่องตลกที่น่าเศร้าว่า ในขณะที่รัฐบาลทหารพม่าได้ประกาศให้มีการเลือกตั้ง (ถึงแม้จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสก็ตาม) แต่รัฐบาลทหารไทยกลับเลือกที่จะสังหารประชาชนเกือบร้อยและละเมิดพันธกรณี ระหว่างประเทศมากกว่าที่จะจัดการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคที่เกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรและพรรค ประชาธิปัตย์ได้ส่งสัญญาณเตือนประเทศคู่ค้าของประเทศไทยว่า รัฐบาลไทยได้พยายามอย่างหนักที่จะทำลายความพยายามของประชาคมโลกที่จะนำ ประชาธิปไตยกลับคืนสู่ภูมิภาคอีกครั้ง

ทุกวันนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐนายบารัก โอบาม่า และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนางฮิลลารี คลินตันยังคงเพิกเฉยที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์การทำลายระบอบประชาธิปไตยใน ประเทศไทย นอกจากนี้สภาคองเกสได้ลงมติรับแผนการการแก้ปัญหาพื้นๆอย่างแผนการปรองดองสมานฉันท์อันจอมปลอม และยังล้มเหลวที่จะหยุดประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริต ฉ้อฉล ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลสหรัฐจะกำหนดทีท่าใหม่และใช้อิทธิพลโน้มน้าวให้รัฐบาล ไทยยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ยุติการระบบการคุกคามฝ่ายตรงข้าม และจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงให้นั้นมีความ สำคัญต่อสหรัฐอเมริกาอย่างไร การปล่อยให้รัฐบาลไทยรอดจากการถูกลงโทษในกรณีของการสังหารประชาชนนั้นเป็น ภัยต่อความสงบและเสถียรภาพในภูมิภาค ที่มากกว่านั้นคือการกดดันเพียงเล็กน้อยอาจของรัฐบาลสหรัฐจะเป็นการนำไปสู่ การกระตุ้นความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยในประเทศซึ่งระบอบประชาธิปไตยนั้นตก อยู่ภายใต้รัฐที่เสื่อมโทรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน