แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’ ของคู่ประเทศไทย


แซม มวล โคลท์ (Samuel Colt) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งปืนลูกโม่"
ได้กล่าวถ้อยคำที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการปืนเอาไว้ว่า
“Be not afraid of any man no matter what his size; when danger
threatens, call on me, and I will equalize.”
แปลเป็นสำนวนทื่อๆ ก็ได้ว่า
อย่า ไปกลัวไอ้มนุษย์หน้าไหน ไม่ว่ามันจะตัวใหญ่โต บิ๊กเบิ้มสักแค่ไหน
เมื่ออันตรายมาคุกคามคุณ ก็จงเรียกใช้ผมเถอะ แล้วผมจะทำให้มันสมดุลเอง
ปืนที่ใช้ระบบลูกโม่ จากการค้นคิดของแซมมวล โคลท์ ทำให้การยิงง่ายขึ้น
ไม่มีปัญหาระหว่างการยิง เพราะหากลูกกระสุนด้าน เมื่อเหนี่ยวไกต่อ ลูกโม่ก็จะพลิก
และนำกระสุนใหม่ถัดไปขึ้นอยู่ในตำแหน่งรังเพลิง พร้อมสำหรับการยิงนัดต่อไป
โดยไม่ต้องกังวลกับการคัดกระสุน ที่ใช้การไม่ได้แล้ว ออกไปเสียก่อน
ปืนลูกโม่ของคุณทวดแซมมวล โคลท์ นั้น คว่ำคนที่ตัวโตก
ว่าได้ชะงัดนัก แกจึงโอ่ถึงนวัตกรรมใหม่ของตัวเอง (ในยุคนั้น) ว่า
เป็นการปรับสมดุลให้ผู้ที่มีร่างกายเล็ก สามารถขึ้นไปวัดดวง
หรือจัดการกับคนตัวใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย
เพียงเหนี่ยวไกปืนลูกโม่ของคุณทวดเท่านั้น
อาวุธปืนนั้น นอกจากเป็น เครื่องทุ่นแรงในการป้องกันตนเองแล้ว
ยังสามารถนำไปไปเป็นยมทูต ใช้สังหารผู้อื่นได้ไม่ยากเย็น ถ้าหากคนที่ถือปืนอยู่
ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็หันมาเลือกใช้มันเป็นเครื่องทุ่นแรง
ในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน แทน การใช้กฎหมาย และเพราะอานุภาพของปืนนี่แหละ
มีหลายคนที่เห็นช่องทางหาเงิน จากการรับขจัดความขัดแย้ง
โดยรับเป็นผู้ลงมือแทนคู่กรณี อาสาปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามให้
ทั้งนี้มีการเรียกรับผลประโยชน์เป็นตัวเงิน เป็นค่าตอบแทน
ซึ่งเป็นการรับจ้างอย่างหนึ่ง เราจึงเรียกคนพวกนี้ว่ามือปืนรับจ้าง
หรือเรียกกันโดยย่อว่า
มือปืน
มีการศึกษาวิจัยเรื่อง มือปืนในสถาบันต่างๆ เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แม้กระทั่งในสถานศึกษาชั้นสูง
อย่างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) ก็ยังมีการทำวิทยานิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับ
มือปืนด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องเล็กเสียแล้ว
เมื่อปี พ.ศ.2549 ผมได้ยินนักศึกษาปริญญาโทสตรีคนหนึ่ง
(
ไม่ทันได้ฟังชื่อของเธอ) ให้สัมภาษณ์วิทยุ การทำวิทยานิพนธ์ของเธอเรื่องมือปืน
โดยหาข้อมูลจากผู้ถูกตัดสินให้ลงโทษจำคุก เธอผู้นี้บอกว่า
จาก การศึกษาพบว่าสาเหตุคนกลายมาเป็นมือปืน
ที่สำคัญก็คือเรื่องเงินเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กันมานมนานแล้ว
แต่คนที่หันเข้ามาวงจรนี้ เมื่อกระทำความผิดแล้วยังไม่ถูกจับก็ย่ามใจ
จนเมื่อต้องติดคุกนั่นแหละ จึงจะสำนึกได้!
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เรื่องของ มือปืนเมืองไทยนั้น
ยังไม่หมดลงง่ายๆ เพราะยังมีคนยังยากจนอยู่ และ
ผู้นิยมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงนั้น ก็มิได้หมดไปจากสังคม เราจึงเห็นบางหมู่บ้าน
ผู้คนนิยมการเป็น มือปืนกันเกือบทั้งหมู่
แถมยังมีการผ่องถ่ายประสบการณ์ให้แก่กัน ตั้งแต่รุ่นพ่อ อา น้า
มาถึงชั้นลูกและหลาน
อย่างไรก็ตาม มันก็มีคนที่เกิดมาในโลก
โดยพ่อแม่ของตัวก็ไม่เคยประกอบกรรมชั่ว แต่เจ้าตัวกลับเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา
ฆ่าคนอื่นได้ ทั้งๆที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคือง
หรือยังไม่ทันจะถูกจ้างวานเลยก็มี
จะขอเล่า ให้ท่านผู้อ่านฟังสักเรื่อง
เจ้าของร้านอาหารชื่อดังภาคเหนือตอนล่าง จะกำจัดคู่แข่งทางการค้า
แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้เหนียว เขาไปจ้างเด็กอายุไม่ถึงสิบห้าที่คนบอกว่า ใจถึง
มารับงานฆ่าคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน