17 Aug, 2010 | Author: Blackhead | No Comments »
มาตรฐานที่ 1
นาย
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง สั่งปรับเป็นเงิน 200,100 บาท แต่จำเลยเคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน คงลดโทษให้เหลือปรับ 133,400 บาท ถ้าไม่จ่ายค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ จำเลยฟังคำพิพากษาแล้ว ขอยื่นประกันตัว ศาลสั่งอนุญาตในวงเงิน 100,000บาท โดยจำเลยจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาให้ศาลลดค่าปรับให้ต่อไป
ทั้งนี้คดีนี้เป็นอุทธาหรณ์ของชาวบ้านที่เก็บ ของขายข้างถนน แต่ถูกจับเพราะไม่รู้ว่ามีพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์พ.ศ.2551 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2551 เพราะไม่รู้ อีกทั้งถ้ารู้ก็ต้องไปขออนุญาตจำหน่าย โดยไปขอที่กระทรวงวัฒนธรรม ค่าธรรมเนียม 5,000 บาท กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์จะเอาผิดกับผู้ประกอบกิจการค้าภาพยนตร์ที่ไม่ได้ รับอนุญาตโดยฝ่าฝืน ดังนั้นจำเลยจะอุทธรณ์ในประเด็นว่าไม่ได้เป็นผู้ค้า และจะขอให้ศาลลดค่าปรับลงด้วย เพราะเป็นเพียงคนเก็บขยะมาขายเท่านั้น
อ้อ…ลืมเตือนความจำว่า ตอนนี้คนเสื้อแดงนับร้อยนับพันคนต้องนอนอยู่ในคุกมากว่า 3 เดือนแล้ว ทั้งๆที่ยังหาพยานหลักฐานอะไรไม่ได้
————————————————————————————-
มาตรฐานที่ 2
นาย
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สรุปว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกเป็นกลุ่ม พธม. ไปร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่มีนาย
จำเลยได้ขับ รถดังกล่าวไล่ชนผู้เสียหายทั้งห้าอย่างแรง จนผู้เสียหายล้มลง จากนั้นจำเลยขับรถกระบะถอยหลังทับผู้เสียหายที่นอนบาดเจ็บอยู่ จำเลยกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เมื่อผู้เสียหายไม่เสียชีวิต เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม. ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215,288,289,297
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์–จำเลย แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลย ร่วมชุมุมกับกลุ่มพันธมิตร ฯ และวันเกิดเหตุ ช่วงเวลา 06.00 น. จำเลยออกมาจากบริเวณรัฐสภาเพื่อหาอาหารรับประทาน แต่ขณะนี้เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก บางรายขาขาด ซึ่งจำเลยมองเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน ขณะที่จำเลยได้รู้สึกว่ามีสิ่งมากระทบที่บริเวณใบหน้า เมื่อลูบใบหน้ามีเลือดไหลออกมา จึงขึ้นรถขับรถยนต์กระบะ ของจำเลย โดยขณะนั้นมีผู้ชุมนุมได้กระโดดขึ้นมาท้ายรถด้วย แต่จำเลยไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านข้างรถ ซึ่งเวลาดังกล่าวจำเลย เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ทำให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กายที่ภายหลัง พบว่าตาขวาของจำเลยได้รับบาดเจ็บจนตาบอดจากสิ่งที่มากระทบใบหน้า จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เพราะบันดาลโทสะที่ได้รับบาดเจ็บและเข้าใจว่าเกิดจากการกระทำของเจ้า หน้าที่ตำรวจ
แม้จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า ที่ขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้ง 5 คน แต่การที่จำเลยขับรถพุ่งชน เป็นการกระทำที่เล็งเห็นผลที่จะให้ผู้เสียหายได้รับอันตราย และเมื่อผู้เสียหาย เป็นเจ้าหน้าที่ที่ถูกสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ขณะเกิดเหตุ จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่โดยบันดาลโทสะ จึงพิพากษา ว่า จำเลย กระทำผิดฐานพยายามฆ่า ฯ ตามมาตรา 289 ลงโทษดังกล่าว ส่วนความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ฯ นั้น แม้จำเลยจะเข้าร่วมชุมนุม แต่โจทก์ ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลย ร่วมกับบุคคลใดในการวางแผนก่อความวุ่นวาย พฤติการณ์ของจำเลย ยังมีเหตุที่น่าพิรุธสงสัยตามสมควร จึงพิพากษายกฟ้องข้อหานี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายปรีชา ไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น