การ ใช้อำนาจแบบ “ลับๆล่อๆ” ภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน..ทำให้มีความโน้มเอียงไปในทางที่จะเชื่อว่ารัฐบาลและ ศอฉ. ใช้กำลัง “เกินความจำเป็น” ดังนั้น หาก ศอฉ.และรัฐบาล ต้องการที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนก็ต้องทำ “ความจริง” ให้ปรากฏ ไม่ว่าความจริงจะ “เจ็บปวด” เพียงใดก็ตาม ไม่ใช่คิดเพียงโฆษณาชวนเชื่อ!!(ภาพปกซีดีศอฉ.)
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ที่มา เวบบางกอกวอยซ์
กระบวนการ “ประชาสัมพันธ์” ที่เข้าขั้น “โฆษณาชวนเชื่อ” ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ “ศอฉ.” ยังคงเส้นคงวาดังเช่นเดิม
ตั้งแต่เริ่มต้นการจัดตั้ง ศอฉ. เมื่อมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ต่อเนื่องมาในช่วงต่อสู้กับการเคลื่อนไหวชุมนุม ทั้งการ “ขอพื้นที่คืน” ที่นำไปสู่ความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 20 คน ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ในวันที่ 10 เมษายน
สู่การ “กระชับพื้นที่” ในช่วงวันที่ 10-19 พฤษภาคม บริเวณราชประสงค์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตร่วม 70 คน
รวม สองเหตุการณ์ เป็น 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน และสูญหายจำนวนหนึ่ง โดยที่ ศอฉ. หรือรัฐบาลยังไม่เคยที่จะแยกแยะชี้แจงที่ไปที่มาของความสูญเสียในแต่ละกรณี แต่อย่างใด
แต่กลับมีข่าวว่า ศอฉ. ได้จัดทำ “ซีดี” เพื่อเตรียมนำออกอากาศชี้แจงต่อสาธารณะ ความยาวประมาณ 29 นาที โดยจะเล่าเรื่องความเป็นมาของเหตุการณ์การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ ต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
( คลิ้กชมคลิปซีดีของศอฉ.ได้ที่นี่ )
http://www.matichon.co.th/mtc-flv-window.php?newsid=1280919099
ทั้ง เน้นการนำเสนอว่าฝ่ายรัฐได้เจรจากับผู้ชุมนุมแล้ว มีภาพแสดงให้เห็นถึง “ชายชุดดำ” ในกลุ่มคนเสื้อแดงถืออาวุธไปมา และภาพ “ชายชุดดำ” ยิงทหาร มีการบรรยายถึงเหตุผลความจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้กำลังในการปฏิบัติการ
คิดไปแล้ว ศอฉ. อาจเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้อง “เล่าเรื่อง” ในมุมมองของตน เพื่อชักจูงในประชาชน “เชื่อ” ว่าสิ่งที่ ศอฉ. และรัฐบาลได้ดำเนินการไปนั้น มีความถูกต้องชอบธรรม
และ คงไม่แปลกในยุคของข้อมูลข่าวสารและกลไกประชาสัมพันธ์การตลาดที่ทุกคนก็เน้น การ “นำเสนอ” โดยใช้เครื่องมืออย่าง “ซีดี” ที่จัดทำเสร็จก็สามารถ “ปั๊ม” เป็นแสนเป็นล้านแผ่นกระจายไปทั่วประเทศได้
ขนาดฝ่ายค้านอย่าง พรรคเพื่อไทย ยังต้องลงทุน “จัดอีเว้นท์” การ แสดงจำลองเหตุการณ์ และเชิญทูตานุทูตไปเข้าชมเลย เชื่อว่าก็ต้องมีการผลิต “ซีดี” เล่าเรื่องในมุมองของตนขึ้นมา ไม่นับสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆที่เน้นโชว์รูปและเรื่องของผู้ที่เสียชีวิตและบาด เจ็บ ที่ส่วนใหญ่มีแต่ข่าวว่า “ทหารทำ ทหารยิง”
ส่วนจะจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ได้ เห็นว่าต่างรอ ดร.คณิต ณ นคร ที่ยังใช้เวลาเดินสาย “ตามล่าหาความจริง” อยู่
ศอฉ. จึงอาจจะคิด “โต้ตอบ” และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ “ปฏิบัติการจิตวิทยา – ปจว.” ที่ บุคลากรของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ จะถือไปแสดงให้ชาวบ้านที่เรียกมาประชุมเพื่อประกอบการ “ชี้แจงข้อเท็จจริง” ด้วยวิธีพูดไปเปิด “ซีดี” ให้ดูให้ฟังกันไป นัยว่าย้ำคิดย้ำทำและย้ำพูด ซ้ำบ่อยๆจะเป็นการ “ล้างสมอง” ชาวบ้านให้ลืม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้จนได้
ในขณะเดียวกัน ศอฉ. จะต้องไม่ลืมว่า ประชาชนส่วนหนึ่งได้ตัดสินใจไปแล้ว เลือกข้างเทใจจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “แดง” หรือเป็น “เหลือง ทั้งมีประชาชนตรง “กลาง” ยังมีคำถามค้างคาใจที่ถามไปยังทั้งสองฝ่าย และจะไม่เชื่อการ “โฆษณาชวนเชื่อ” ใดๆ
แต่ด้วยการที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดย เฉพาะจากสื่อต่างประเทศ และการถ่ายรูปหรือวีดีโอคลิปของประชาชนทั่วไป และการใช้อำนาจแบบ “ลับๆล่อๆ” ภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน อย่างกรณีที่มีการชันสูตรพลิกศพแล้วแต่ไม่เปิดเผยรายงาน หรือการที่ตำรวจสอบปากคำพยานส่งให้ “ดีเอสไอ” แล้วเรื่องหายเงียบ ทำให้มีความโน้มเอียงไปในทางที่จะเชื่อว่ารัฐบาลและ ศอฉ. ใช้กำลัง “เกินความจำเป็น”
ดังนั้น หาก ศอฉ. และรัฐบาล ต้องการที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนก็ต้องทำ “ความจริง” ให้ปรากฏ ไม่ว่าความจริงจะ “เจ็บปวด” เพียงใดก็ตาม ไม่ใช่คิดเพียงโฆษณาชวนเชื่อ!!
โดย ศอฉ. และรัฐบาล ควรฟังและทำตามคำแนะนำของ ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่เสนอผ่าน “ทวิตเตอร์” ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐมนตรีควรพิจารณาใช้ พรก.ฉุกเฉิน เท่าที่จำเป็น
และกล่าว ถึงการใส่โซ่ตรวนผู้ต้องขัง การสร้างความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรม การเปิดเผยข้อมูลผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย โดยให้รัฐบาลประมวลข้อมูลและรายงานต่อสาธารณชน พร้อมทั้งให้รัฐบาลเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ชุมนุมที่ถูกแจ้งข้อหาและ ถูกควบคุมตัวตาม พรก.ฉุกเฉิน
ซึ่งหาก ศอฉ. และรัฐบาลทำด้วยความจริงใจและโปร่งใส พื้นฐานความไว้วางใจและน่าเชื่อถือก็จะเริ่มกลับมา ถึงจะไม่เต็มที่ชั่วข้ามคืน แต่อย่างน้อยจะทำให้พอเริ่ม “มองหน้ากันได้” และเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง
แต่ในที่สุดแล้ว ศอฉ. และรัฐบาล ก็ต้องพร้อมที่จะ “ลงโทษ” ผู้ที่กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด เพราะหากเป็นการ “โยนบาป” และ “หาแพะ”
จะเข้าหลักความยุติธรรมไม่มี ความปรองดองไม่เกิด!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น