"วสันต์" หนุ่มกู้ภัยวัย 27 ปี ผู้มีใจรักงานอาสามาตั้งแต่อายุ 14 ปี ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ที่มีการสูญเสียโดยไม่แยกฝ่าย ควักเงินเก็บส่วนตัวจากงานรับ-ส่ง เลือด-ยาไปส่งตามโรงพยาบาล แบ่งบางส่วนไปซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ไว้คอยปฐมพยาบาลฉุกเฉินทั้งในยามปกติ และมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แม้กระทั่งรถกระบะกู้ชีพเป็นรถยนต์ส่วนตัวเพลิงลุกไหม้วอดวายไปในเหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน ก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องหาคนรับผิดชอบเพียง แค่ได้ช่วยเหลือคนก็เพียงพอแล้วสำหรับหนุ่มคนนี้
เมื่ออาสากู้ชีพ ได้รับหมายเรียกจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ให้เข้าไปรายงานตัวเหมือนกับอีกหลาย ๆ คน อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง
คำถามที่ นายวสันต์ ถามตัวเองและเป็นเหตุผลที่ไม่ยอมเข้าไปพบศอฉ.แต่ยอมใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ
"ลำบาก มากจากชีวิตคนคนหนึ่งเคยทำงานตอนเช้าเย็นกลับบ้าน เสาร์-อาทิตย์ พาลูกไปเที่ยว ต้องอยู่อย่างโจรต้องคอยหลบตรงนั้นตรงนี้โดนตาม โดนไถ่ถาม เหมือนวันที่เอาหมายเรียกไปติดหน้าบ้านให้เข้ารายงานตัว ผมเป็นกู้ชีพคนหนึ่งที่ช่วยเหลือชาวบ้านแต่มองผมเป็นเหมือนผู้ก่อการร้าย อย่างตอนนี้ผมก็ไม่มีงานทำเพราะผมมีชื่อใน ศอฉ.ไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงานที่เดิมก็ไม่ให้ทำ ต้องหลบๆซ่อนๆ ถ้าเขาจับตัวผมไปก็จบชีวิตแค่นั้น" นาย
"ผม ต้องมีชีวิตเพื่อช่วยคนที่มีชีวิตอยู่และทวงความยุติธรรมกับคนที่เสียชีวิต ไปแล้ว จะสู้จนลมหายใจสุดท้ายต่อให้นานแค่ไหนก็ไม่ท้อขอแค่ยังมีชีวิตอยู่จะสู้ต่อ ไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิดผมเป็นกู้ชีพมีบัตรเป็นกลางช่วยทุกฝ่ายทหารโดนยิงก็ช่วย ผมเสียรถกระบะไป 1 คันในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว หลังจากลงไปช่วยคนแก่หันไปอีกทีรถไม่เหลืออะไรแล้วไฟลุกท่วมทั้งคัน ผมไม่เคยออกมาเรียกร้องให้ใครชดใช้เอารถคืน"
สิ่งที่นาย
"อ๊อฟไม่ใช่ศพแรกที่ ผมเห็นก่อนเกิดเหตุวันที่ 19 พ.ค.แม้กระทั่งคนที่นั่งหมอบข้างๆผมยังถูกยิงเสียชีวิตข้างผมก็มีบางคนที่ ยังมีลมหายใจก็ช่วยยื้อนำส่งโรงพยาบาลต่อไป"
นายวสันต์ เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. ที่แยกศาลาแดง หลังเสธ.แดงโดนยิง จากนั้นมีประชาชนถูกยิงแถวสะพานไทย-เบลเยี่ยมหลังจากที่ถือกล้องไปถ่ายรูป เป็นศพที่ 2 จากเสธ.แดง ตอนนั้นตระเวนอยู่รอบนอก จากนั้นมีการยิงกันเกิดขึ้น
วันที่ 14 พ.ค. ภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นคือมีภาพชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหลบกระสุนปืน บริเวณฐานอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 โดนยิงที่อกข้างซ้ายและคอเสียชีวิต แต่มันไม่หยุดแค่นั้นยังมีคนโดนยิงแขน ขาเราก็ช่วยพยาบาลเบื้องต้นห้ามเลือดทำแผลส่งโรงพยาบาลตำรวจ แต่ที่ยังจำได้ติดตา คือ คนที่อยู่ข้างๆอยู่ยิงที่ศีรษะเสียชีวิต จากนั้นก็เงียบลงกระทั่งตอนใกล้ค่ำมีคนดื่มกาแฟแล้วล้มลง ช็อค จำนวนมาก กระทั่งดึกมีการยิงกันดุเดือดมากที่ศาลาแดง เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดกลางเมืองไทย
"คืนนั้นประมาณตี 1 มีมาปลุกผมให้ไปดูที่เกิดเหตุว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย เป็นประชาชนขี่รถมอเตอร์ไซต์มาแล้วโดนทหารยิง เพราะวิถีกระสุนออกมาจากสวนลุมพินี ซึ่งในสวนนั้นมีแต่ทหารไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดง"
วันที่ 19 พ.ค. ที่แยกศาลาแดง เป็นวันที่ร้ายแรงที่สุด "ตอนเช้าผมอยู่บริเวณศาลาแดงทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นมันได้เกิดขึ้น มีชายชุดดำผ้าพันคอสีเขียวนอนตายบนถนนที่ ศอฉ. บอกว่าโดนยิงตั้งแต่กลางคืนแต่เสื้อแดงมาจัดฉากไว้ นั่นเป็นศพแรกที่เสียชีวิตตรงศาลาแดงและมีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปช่วย ประชาชนกลุ่มนั้นที่เข้าไปช่วยได้เสียชีวิตอีก 3 รายและเจ็บจนนับไม่ถ้วนเลยเมื่อตอนเช้า
เกือบเที่ยงวันประชาชนได้ ถอยร่นมาถึงแยกราชดำริ ส่วนชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่บริเวณแยกสารสินถูกจับกุมหมดแล้ว ส่วนคนที่ถอยกลับมาขนยางรถยนต์มากั้นเพื่อหลบวิถีกระสุนทหาร จากนั้นเสียงปืนได้เงียบลง
"บ่าย 3 โมงกว่า แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมให้ประชาชนกลับบ้านแล้วก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น มีการเผาตึกทำลายข้าวของแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงหรือเปล่า แต่วสิ่งที่ผมเห็นคือมีคนแก่หน้าเวที ตกใจ ล้มลง ผมก็นำส่งเข้าโรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นทุกคนกระจัดกระจายไปอยู่ตามวัดปทุมวนาราม โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจ และอาคารต่างๆ
บ่าย 5 โมงกว่า เริ่มมีเสียงปืนดังเกิดขึ้นตั้งแต่ตรงข้างสยามพารากอนเริ่มมีเสียงปืนดัง เข้ามาบริเวณวัด การยิงของทหาร คือ กราดยิงเข้ามาเรื่อยๆไม่มีคำว่าหยุดยิงลงมาจากลานรถไฟฟ้า บีทีเอส ชั้น 2 ภาพที่ประชาชนส่วนมากมองขึ้นไป คือ "เห็นทหารยืนอยู่ข้างบนมีการกราดยิงมาใส่ประชาชนข้างล่างที่ไม่มีแม้แต่ อาวุธมีเพียงเสื้อผ้า หมอน น้ำดื่ม ที่ใช้ประทังชีวิต"
หลายคนโดน ยิงแต่สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือ เห็นออฟโดนยิงแล้วล้มลงลงไปชักต่อหน้าต่อตา ตอนเช้าสิ่งที่ได้เผชิญมาคิดว่ามันร้ายแรงที่สุดแล้วในสังคมไทย แต่พอมาเกิดเรื่องในวัดมันกลับแย่มากกว่า มีคนถูกยิงบาดเจ็บ 5 คน เป็นชาวบ้านชาวต่างชาติมีนักข่าวชาวออสเตรเลียด้วย "
"จากนั้นผมได้ ประสานงานกับศูนย์วิทยุเพื่อช่วยเหลือคนบาดเจ็บที่ยังไม่เสียชีวิต ทั้งที่วัดปทุมฯอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลตำรวจ ถ้าไปก็คือไปได้ แต่เราไม่สามารถไปได้เพราะไม่มีการหยุดยิง ทำได้แค่ทำใจภาวนาขอให้ทุกคนรอด จนสุดท้ายเราก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้ได้ปลั๊กเสียชีวิต เหลือคนแก่ 3 คนโดนยิงที่ขา มือ หลัง สะโพก ผมติดต่อศูนย์วิทยุไปตั้งแต่ 6 โมงแต่ไม่มีใครสามารถเข้ามาช่วยได้ มีวิทยุสื่อสารแจ้งเข้ามาว่าทหารไม่ให้เข้าไป รอจนประมาณ 3 ทุ่มกว่ารถพยาบาลถึงเข้ามาได้ โดยรถพยาบาลประกาศขอให้ทหารหยุดยิงเพราะจะเข้าไปรับคนเจ็บส่งโรงพยาบาล"
"เพื่อน อาสากู้ภัยชวนออกจากวัดด้วยกันแต่ผมขออยู่ต่อเพราะยังมีคนเจ็บอยู่ผมจะรอจน กว่าจะได้เห็นทุกคนปลอดภัยและอยู่เฝ้าศพทั้ง 6 จนเช้า ตอนนั้นไม่มีความกลัวอยู่แล้ว ตั้งแต่เจอเหตุการณ์ตอนเช้า มีแต่ความโกรธ แค้น ว่า ทำไมต้องทำกับพยาบาลอาสาและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันขนาดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงที่สุดในชีวิต"
"เช้าวันที่ 20 พ.ค.ไม่น่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีกเมื่อมีทหารกราดยิงลงมาอีกในตอนเช้ามืด ชาวบ้านต้องวิ่งกลับเข้าไปอยู่ในวัดเหมือนเดิม กว่าจะยอมออกมาได้ต้องมีแกนนำคนเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปรับออกมา อยากให้สื่อเผยแพร่ภาพความจริงจากประชาชนคนหนึ่งที่เก็บและถ่ายมาได้ ผมเป็นพยานก็จริงแต่รัฐบาลก็กดดันผมออกหมายเรียก ศอฉ.ให้ไปรายงานตัว แต่ผมจะสู้ไม่ยอมเข้าไปตอนนี้กำลังหาทนายความต่อสู้ ผมอยากได้ความยุติธรรมกลับคืนมาให้กับเพื่อนมนุษย์ที่เสียชีวิตไปวันนั้น เพราะว่าเงินทองมันไม่สามารถช่วยให้ชีวิตคนกลับมาได้" นายวสันต์ กล่าว
นาย วสันต์บอกว่า ตอนนี้ชีวิตที่เคยปกติตอนนี้ไม่ปกติอีกต่อไป และห่วงคนที่บ้านมากมีคุณ
"ตัวผมเองเกิดมาไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองเลยแต่ผมก็ดีใจที่ได้ เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยและมีความสุขที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่คอยให้ความสุขความ หวังของประชาชนจนทุกวันนี้ แต่สิ่งที่แย่มากที่สุดคือการเมืองที่มีรัฐบาลที่ไม่เคยใยดีไม่เคยสนใจว่า ประชาชนต้องการอะไร กระทั้ง อาสากู้ชีพที่รับใช้สังคมโดยที่ไม่มีผลตอบแทนอะไร เขายังต้องมาเสียชีวิต โดยที่รัฐบาลไม่เคยออกมาใยดีแม้แต่น้อย ผมขอให้ทุกคนที่ยังอยู่ช่วยกันต่อสู้เพื่อความสุขของทุกคน ผม วสันต์ สายรัศมี จะขอสู้ต่อไปเพื่อความยุติธรรม "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น