รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน
แดงเชียงใหม่
กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม
เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน
"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
กฎ หมา (ย) นิติ รัฐ ยัด ข้อหา? นิติธรรม อำมหิต?
เรื่อง จากปก เวบไซต์ โลก วันนี้ ฉบับ ที่ ปี ที่ 6
9 มิถุนายน 2553 September 2553
“ผมมอง ทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม หลายวันที่ผ่านมา ผมมองทหารอย่างมีสติ มองทหารอย่างเข้าใจ มองคนตายอย่างมีสติ ทุกคืนผมจุดธูปว่า อย่าให้ใครเสียชีวิตกันเลยในแต่ละวันที่มีคนปลุกระดมว่าผมพาคนไปตาย แล้วใครฆ่าตายล่ะ พวกผมพามาแล้วให้พวกท่านฆ่าอย่างนั้นหรือ การออกเฉพาะข่าวรัฐบาลด้านเดียว ระวังจะเป็นเหมือนรวันดา วันนี้เช้ามาก็บอกว่า คนเสื้อแดงก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง กลางวันก็ก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง เย็นก็บอกก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง ในสมองของทหารถูกยัดเยียด ทั้งที่คนที่มาชุมนุมเรียกร้อง เขาเพียงแค่มาชุมนุมเพื่อยุบสภา ขอหีบเลือกตั้ง แต่เขาก็ให้หีบศพ”
นายจตุ พร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จากการสั่งให้ทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง ทั้งยังกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และล้มสถาบันอีก ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. นาย อภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแล้ว แต่กลับปรากฏภาพ “ไอ้โม่งชุดดำ” ขึ้นมาจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ ฉุก เฉิน (ศอฉ.) ใช้ปลุกระดมว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนฆ่าทหารและประชาชน และถ้า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นพวกคนเสื้อแดง แล้วใครฆ่าประชาชน
“ชาย ชุดดำจะเป็นใครก็ตาม มีถ่ายภาพให้เห็นประมาณ 4 คน แต่คนบาดเจ็บ 800 กว่าคน ตายอีก 28 ในวันที่ 10 เม.ย. " ท่านเชื่อหรือ มีคนชุดดำ 4 คน ที่สังหารประชาชนและทหาร ชายชุดดำจะเป็นใครก็ตาม นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ ต้องจับกุม รวมถึงคนลั่นกระสุนปืนใส่ประชาชน ความจริงวันนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหยุดการเข่นฆ่าประชาชน ชายชุดดำมันจะโผล่มาได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่หรือ ที่ตำหนิรัฐบาลสมชายที่ทำให้มีคนเสียชีวิต และยังยกย่องสารวัตรจ๊าบว่า เป็นประชาชนอันอาจหาญ เหมือนนายสุเทพบอกว่า คนที่เสียชีวิตมีชาวพม่า แล้วไม่บอกมีชาวแคนาดา ญี่ปุ่น อิตาลี เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน”
ปรองดองด้วย “เลือด”?
ขณะที่ นายสุเทพยืนยันเสียงแข็งเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” มีความสัมพันธ์กับหัวหน้าใหญ่ที่ออกทุนและปฏิบัติการคู่ขนาน กับประชาชนที่บริสุทธิ์
“เจ้า หน้าที่ของรัฐ นายกฯ และผม ไม่ได้สร้างสถานการณ์เพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง พวกผมไม่ใจบาปหยาบช้า ลงทุนเผาบ้านเมืองให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง คนใจดำอำมหิตที่ทำได้ คือผู้ก่อการร้ายที่อยู่กับพวกคุณ เป้าหมายมีอย่างเดียว คือนายกฯและผม สั่งทหารฆ่าประชาชน ผมจะทำไปทำไม ทหารที่มาปฏิบัติภารกิจ 30,000-40,000 คนเป็นลูกชาวบ้านเหมือนกับเรา เขามีหัวใจรักพ่อแม่ รักญาติ คิดหรือว่า ถ้าพวกผมไปสั่ง ผบ.ทบ. แล้ว จะฟังคำสั่งพวกผม”
เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ที่วันนี้ ยังเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบกับ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการใช้กำลังทหารปราบล้อมคนเสื้อแดง โดยยืนยันว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ฆ่าประชาชนและทหาร ทั้งที่รัฐบาลมีความจริงใจที่จะหาแนวทางแก้ปัญหา ให้คลี่คลายอย่างสันติตั้งแต่ต้น
“อุปสรรค คือการชุมนุม เมื่อเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ สร้างความเสียหายให้แก่คนจำนวนไม่น้อย และมีกองกำลังติดอาวุธ วินาศกรรม การดำเนินการจึงยากเป็นพิเศษ แต่รัฐบาลก็พยายามทำให้เกิดความ เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินน้อยที่สุด และเลือกชีวิตสำคัญกว่า เช่น วันที่ 19 พฤษภาคม”
คำพูด ของนายอภิสิทธิ์จึงเห็นได้ชัดเจนว่า ทำไมจึงไม่แสดงความรับผิดชอบกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่กลับมองว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย และมีกองกำลังติดอาวุธที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งสวนทางกับแผนปรองดองที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกันยังคงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่า คนเสื้อแดง และฉวยโอกาสกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
มือถือสาก ปากถือศีล?
รัฐบาล จริงใจที่จะสร้างความปรองดองหรือไม่ ก็ดูได้จาก ศอฉ. และกรม สอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งอธิบดีดีเอสไอเป็นกรรมการ ศอฉ. และ กรม สอบสวน คดี พิเศษ (ดี เอ ส ไอ) ซึ่ง อธิบดี ดี เอ ส ไอ เป็น กรรมการ ศอฉ. ด้วย และยังคงออกหมายจับบุคคลต่างๆ ในข้อหาผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบันไปกว่า 100 คนแล้ว ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง นักการเมือง และนักธุรกิจเท่านั้น ด้วย แม้แต่นักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุน คนเสื้อแดง ก็กลายเป็นผู้ต้องหาไปด้วย อย่างนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลว่า คุกคามเสรีภาพทางวิชาการ
โดย เฉพาะกรณีนายสุธาชัย ที่ไปมอบตัวและถูกควบคุมตัวไว้ถึง 7 วัน ทั้งที่พ่อภรรยาของนายสุธาชัยเพิ่งเสียชีวิต ซึ่งนายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เตือนรัฐบาลที่อ้าง พ.ร.ก.ฉุก เฉิน ด้วยการใช้อำนาจลักษณะครอบจักรวาลนั้น เป็นการกระทำที่สวนทางกับการสร้างบรรยากาศปรองดอง ซึ่งเหมือนการตบหน้านายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่า รัฐบาลไม่มองคนที่มีความเห็นต่างกันเป็นศัตรูทางการเมือง ไม่ได้ไล่ล่าและกวาดล้าง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงยังคงให้ ศอฉ. และดีเอสไอ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กล่าวหาและจับกุมบุคคลต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล
แม้แต่ผู้เสียชีวิต ก็ไม่มีการเปิดเผยการชันสูตรพลิกศพให้ประชาชนทราบ อย่างที่นายจตุพรระบุว่า รัฐบาลและ ศอฉ. แม้แต่ ผู้ เสีย ชีวิต ก็ ไม่มี การ เปิดเผย การ ชันสูตรพลิกศพ ให้ ประชาชน ทราบ อย่าง ที่ นาย จตุ พร ระบุ ว่า รัฐบาล และ ศอฉ. ต้อง การบิดเบือนคดีคนตาย โดยโยนไปให้ดีเอสไอ โดยไม่มีการไต่สวนในศาลชั้นต้น แม้แต่กรณี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. หรือ ทหารเกณฑ์ที่ถูกยิงตายที่สะพานวันชาติ ก็ไม่เปิดเผยการชันสูตรพลิกศพว่า เสียชีวิตเพราะอะไร หรือการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นเตอร์วัน และสถานที่ต่างๆ ก็ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เลย หรือ ทหาร เกณฑ์ ที่ ถูก ยิง ตาย ที่ สะพาน วัน ชาติ ก็ ไม่ เปิดเผย การ ชันสูตรพลิกศพ ว่า เสีย ชีวิต เพราะ อะไร หรือ การ เผา เซ็นทรัล เวิลด์ เซ็นเตอร์ วัน และ สถาน ที่ ต่างๆ ก็ ไม่ สามารถ จับกุม ผู้ กระทำ ผิด ได้ เลย
โดย เฉพาะผู้เสียชีวิตภาย ในวัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ทั้งที่เป็นเขตอภัยทาน และมีพยานยืนยันว่าทหารเป็นคนยิง ยังเป็นปริศนาว่ากลุ่มคนติดอาวุธบนสถานีรถไฟฟ้าในช่วงเกิดเหตุจลาจลเป็นใคร ซึ่งการชันสูตรพลิกศพระบุชัดเจนว่าทุกคนถูกยิง โดยเฉพาะ น.ส. กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี ถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง
พ.ร.ก.ฉกฉวย?
แม้ วันนี้นายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในความรู้สึกของคนไทยหลายสิบล้านคน และหลายประเทศในประชาคมโลกเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ หรือไม่อาจปฏิเสธว่าเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ที่หมดความชอบธรรมแล้ว แม้จะดื้อดึงอยู่ในอำนาจต่อไป ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลเป็ดง่อย ซึ่งอยู่ได้เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์และพวกพ้อง พยายามนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง รวมถึงฉกฉวยโอกาสไล่ล่าและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามและประชาชนที่มีความเห็นแตก
หากนาย อภิสิทธิ์มีความจริงใจจะสร้างความปรองดองจริง ไม่เพียงต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ก็คัดค้าน พ.ร.ก. ฉบับ นี้ว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ
เพราะ ไม่เช่นนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้นำเผด็จการ ที่ใช้กฎหมายอ้างความชอบธรรม เพื่อฆ่าและทำลายศัตรูฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สะทกสะท้านกับเสียงประณามและต่อต้าน เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้คนไทยสามารถฆ่าคนไทยด้วยกันได้ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดไว้ว่า รัฐบาลของประชาชนต้องแสดงความรับผิดชอบ แม้คนตาย 1 คนก็ไม่ได้
นิติรัฐยัดข้อหา
นิติ รัฐและนิติธรรมยุคนายอภิสิทธิ์ จึงเหมือน “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติธรรมอำมหิต” ที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน และยังฉวยโอกาสกวาดล้างและกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้าม หรือทุกคนที่สงสัย ด้วยการกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและเครือข่ายขบวนการล้มสถาบัน
แม้แต่ การค้นพบอาวุธสงครามจำนวนมาก ที่นำมาแถลงข่าวว่าซุกซ่อนอยู่ในบริเวณการชุมนุม ก็เป็นการนำมาแสดงหลัง จากคนเสื้อแดงยุติการชุมนุมแล้วถึง 2 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาปลอดผู้คนจากการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามใครมายุ่มย่าม นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีนักข่าวหรือผู้รู้เห็นเป็นพยานเลย ทั้งที่นักข่าวของไทยและนักข่าวต่างประเทศ อยู่ในพื้นที่ตลอดการชุมนุมกว่า 2 เดือน ยังไม่เคยพบเห็น หรือถ้ามีจริง ก็ต้องมีพิรุธ ซึ่งยากที่จะหลุดรอดสายตาของนักข่าวที่ไม่ใช่อยู่แค่บริเวณเวทีปราศรัย แต่เดินทางเข้าออกและทำข่าวไปทั่วทุกพื้นที่การชุมนุม
การ แถลงข่าวของ ศอฉ. และการ นำอาวุธมากมาย หรือหลักฐานรูปภาพ และคลิปต่างๆ มากล่าวหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงจึงกลับส่งผลทางลบต่อ ศอฉ. เอง โดยเฉพาะข่าวที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก ยิ่งสร้างความสงสัยในรัฐบาลและ ศอฉ. เอง เหมือนบรรดาทูตที่เข้าพบนายกฯ ต่างซักถามเรื่องข้อกล่าวหา “ผู้ก่อการร้าย” ว่ามีหลักฐานอะไร และอาวุธมาจากที่ไหน
อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตั้งคำถามนายสุเทพในการอภิปรายไม่วางใจว่า ศอฉ. มีการ ตั้งด่านตรวจและสกัดทุกพื้นที่ของการชุมนุมอย่างแน่นหนารายรอบทั้งกรุงเทพฯ ชั้นนอก ชั้นใน ทั้งชานเมืองและต่างจังหวัด ชนิดแม้แต่แมลงวัน ยังไม่ยอมให้รอดเข้าไปได้ แต่ทำไมจึงปล่อยให้อาวุธร้ายแรงเข้าไปได้ ทำไมหลังการชุมนุมจึงค้นพบมากมาย และมีการตรวจสอบอาวุธและหลักฐานต่างๆ ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดหรือไม่
ที่ สำคัญการแถลงข่าวของรัฐบาลและ ศอฉ. เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว เหมือนการอภิปรายของฝ่ายค้าน ที่นำภาพและคลิปวิดีโอทหาร ที่อยู่บนรางรถไฟฟ้ามาแสดง โดยนายสุเทพตอบว่า เป็นคนละสถานที่ ไม่ใช่หน้าวัดปทุมฯ แต่พอเห็นด้านหลังของภาพเป็นฉากวัดปทุมฯ ก็เลี่ยงไปตอบว่า เป็นคนละวัน ไม่ใช่วันที่ 19 พฤษภาคม แต่พอทราบว่า เป็นภาพจากคลิปที่ถ่ายต่อเนื่อง เห็นชัดว่าเป็นวันเดียวกับที่สยามสแควร์ไฟไหม้ คือวันที่ 19 พฤษภาคมอย่างแน่นอน นายสุเทพก็โยนไปให้ “ไอ้โม่ง” เป็นผู้ยิงประชาชนในวัด โดยไม่มีคำตอบว่า ถ้าเช่นนั้น “ไอ้โม่ง” เป็นพวกใครกันแน่
โกหกซ้ำซาก?
รัฐบาล และ ศอฉ. ใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักกล่าวหาว่า แกนนำ นปช. ปลุก ระดมและบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจนประชาชนหลงผิด หลงเชื่อมาร่วมชุมนุม แต่รัฐบาลและ ศอฉ. กลับไม่รู้สึกละอายกับการปิดสื่อ ปิดเว็บไซต์ ปิดกั้นการเสนอข้อมูลข่าวสารทุกด้านของคนเสื้อแดง และผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ไม่ ละอาย ใน การ ใช้ สื่อ ปลุกระดม โฆษณา ชวน เชื่อ หรือ ศอฉ. ที่ แถลงข่าวกล่าวหาและข่มขู่ซ้ำๆ ซากๆ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แม้แต่ความเห็นของนักวิชาการ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้า
รัฐบาล ยุคนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้แค่ครองแชมป์ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” เท่านั้น ยังถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อมากกว่ายุคใดๆ แม้แต่รัฐบาลเผด็จการทหาร หรือการรัฐประหารที่ผ่านมา ยังไม่ปิดกั้นและแทรกแซงสื่อเท่า กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ทุก ครั้งที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพกล่าวหาคนเสื้อแดงปลุกระดมและบิดเบือน ข้อมูลข่าวสาร ผู้สื่อข่าวจึงได้แต่พยักหน้าและอมยิ้ม เพราะทั้งผู้แถลง และผู้ฟังต่างรู้ดีว่า ฝ่ายใดที่ปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ ยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวให้กับประชาชนกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจแค่ 2 วันของฝ่ายค้าน เมื่อเทียบกับการกรอกหูผ่านทีวีพูลของ ศอฉ. กว่า 2 เดือน แม้ไม่สามารถทำให้ประชาชนรับรู้ความจริงทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ข้อ มูลและความจริงอีกด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ อย่างกรณีไอ้โม่งชุดดำ เรื่องสไนเปอร์ การสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมฯ ฯลฯ
โดย เฉพาะ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่กลายเป็นตัวละครสำคัญของนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ที่นำมาใช้ฟอกตัวจากเหตุการณ์ 10 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. นำมา แถลงตอกย้ำทุกครั้ง เพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่แฝงตัวอยู่กับคนเสื้อแดง แต่ไม่เคยจับตัวได้แม้ แต่คนเดียว ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาและใส่ร้ายว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย เหมือน การกล่าวหากรณี “เครือข่ายขบวนการล้มเจ้า”
“ไอ้โม่งชุดดำ” จึงไม่รู้ว่าเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย แต่ที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือฝ่ายรัฐบาล เพราะรัฐบาลใช้กล่าวหา เป็นพวกเดียวกับคนเสื้อแดง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง
หรือแม้การอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นมือที่ 3 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด แต่รัฐบาลก็ยัดเยียดให้เป็นคนเสื้อแดงไปโดยปริยาย แม้บางครั้ง “ไอ้โม่ง” แต่งชุดลายพรางเหมือนทหารก็จะถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่แต่งเลียน แบบทหาร ทั้งที่อาจเป็นคนของรัฐบาลก็ได้ ซึ่งสะ-ท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความไม่ยุติธรรมที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน
วาท กรรมนายกฯ 100 ศพ
เช่น เดียวกับวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์ ที่ประกาศจะเดินหน้าตามแผนความปรองดองจึงยังถูกมองว่า เป็นแค่ลมปาก เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไปมากกว่า เพราะในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์ก็ยังใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ ศอฉ. ออก มากล่าวหา ไล่ล่า กวาด ล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนน้ำมันกับไฟ มากกว่า ตราบใดที่ยังใช้ พ.ร.ก. แผน ปรองดอง ของ นาย อภิสิทธิ์ จึง เหมือน น้ำมัน กับ ไฟ มากกว่า ตราบ ใด ที่ ยัง ใช้ พ.ร.ก. ฉุก เฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อฉวยโอกาสไล่ล่า กวาด ล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ต่างกับเพลง “โรดแม็พความปรองดอง” หรือ เพลง “รักกันไว้เถิด” ที่นำไปเปิดขณะที่รถถังและกำลังทหาร นับหมื่นนายกำลังเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงจนตายและบาดเจ็บมากมาย
นายอภิสิทธิ์ที่วันนี้ได้ฉายา “นายกฯ 100 ศพ” (หรืออาจจะเถียงว่าไม่ถึง 100 แค่ 89 ศพ เท่านั้น) ในความรู้สึกของคนเสื้อแดงและประชาคมโลก จึงหมดความชอบธรรมล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ในรายการ “ข่าวยามเช้า” ทางวิทยุ FM 101 ถึงเหตุการณ์ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบาย และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเข้าประชุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 443 รายว่า ไม่นึกไม่ฝันว่า จะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังพยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก ซึ่งการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจาก ภาครัฐโดยรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ
“สังคม ไทยต้องอยู่กับความถูกต้อง แล้วผมจะเตือนคุณสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าไม่มีการแสดงความรับผิดชอบแบบอารยประเทศแล้ว วัฒนธรรมทาง การเมืองในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงครับ จากนี้ไปจะมีแต่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นไปอีก ถึงท่านอยู่ ท่านก็ปกครองไม่ได้ บริหารไม่ได้แล้ว อยู่ไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นกลับตัวกลับใจเสียเถอะครับ”
กฎหมา(ย) นิติธรรมอำมหิต
คำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่เคยเรียกร้องให้นายสมชาย แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองจากการสลายกลุ่มพันธมิตรฯในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย หรือการเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมขับไล่และ ยึดทำเนียบรัฐบาล (อ่านได้ที่ปกหลังฉบับนี้)
วันนี้ ย้อนกลับมาที่ตัวนาย อภิสิทธิ์เช่นกันว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์จึงดื้อดึงและดื้อด้านไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกับ การทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย ทั้งยังกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนและฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองอีก
โดย เฉพาะการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศต่อต้านว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับนำมาใช้เหมือนเป็น ดาบอาญาสิทธิ์ที่คิดจะกล่าวหา ไล่ล่า กวาดล้าง หรือสั่งฆ่าใครก็ได้ พลอยให้แม้แต่ศาลยุติธรรม เองที่จะต้องพิพากษาคดีความด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง ก็ยังถูกมองว่าไร้ความยุติธรรม เพราะต้องตัดสินไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่สร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐบาลแต่ ฝ่ายเดียว
สังคม ไทยทุกวันนี้จึงวิปริต และหายนะ เพราะการโกหกตอแหลของคนในสังคมนั่นเอง รวมถึงการเชิดชูยกย่องและ ยอมรับว่าใครโกหกตอแหลเก่งคือผู้นำศรีธนญชัยที่เก่งกล้า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ สื่อ หรือองค์กรภาค ประชาชน ก็ยังเต็มไปด้วยความ อคติและเกลียดชัง แม้แต่ผู้นำบ้านเมืองที่ต้องยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม เพื่อเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคยังถูก ประณามว่า 2 มาตรฐาน
กฎหมายประเทศไทยวันนี้จึงเหมือนไม่มี “ย.ยักษ์” “นิติรัฐและนิติธรรม” กลายเป็น “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติ ธรรมอำมหิต”!
ผู้ก่อ การร้ายตัวจริงจึงอาจ ไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ”...แต่มันคือคนใส่สูท แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ให้พรรคร่วมงูเห่าปลาไหลที่กลัวอดอยากปากแห้ง ยกมือให้ครองเมืองกันต่อไป...
อนิจจาประชาชน ไทย!
Posted by พยับหมอก at 6/09/2010 07:55:00 ก่อนเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น