แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทักษิณ เปิดเกมรุก ส่งทนายชำแหละมาร์ค! องค์กร สิทธิมนุษยชน -- สื่อเทศยำไทยเมืองเถื่อน



ประเด็น ที่ถือเป็นการ"ตบหน้ารัฐบาลไทยแบบฉาดใหญ่"คือการที่นักกฎหมายชื่อดังรายนี้ ระบุว่าอภิสิทธิ์ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากจะต้องยอมเปิดทาง ให้"หน่วยงานตรวจสอบจากนานาชาติ"เข้ามา สอบสวนเหตุการณ์นองเลือดที่ขึ้นกลางกรุงเทพฯเพียงสถานเดียวเท่านั้น



โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ไทย รัฐออนไลน์

ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เวชชาชีวะมี อันต้องถูกโจมตีแบบ"สาดเสียเทเสีย"จากภายนอกประเทศนับครั้งไม่ถ้วน

ซึ่งใน จำนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายที่ถาโถมเข้ามานั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เสียงที่ดูจะทำให้รัฐบาลต้องเจ็บ ๆ แสบ ๆ คัน ๆ มากที่สุดเสียง หนึ่งคงหนีไม่พ้นถ้อยแถลงที่หลุดออกมาจากปากของ"รอเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม"ทนายความชื่อดังสัญชาติแคนาดาวัย 54 ปีเจ้าของสำนักงานกฎหมายระดับโลก"อัมสเตอร์ดัมแอนด์พีร็อฟฟ์"

ซึ่ง ได้ออกโรงโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงว่า"ไร้ความน่าเชื่อถือ"จากกรณี ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตั้งกรรมการอิสระสอบสวนเหตุรุนแรงทางการเมืองใน ประเทศช่วงที่ผ่านมา


และ ประเด็นที่ถือเป็นการ"ตบหน้ารัฐบาลไทยแบบฉาดใหญ่"คือการที่นักกฎหมายชื่อดัง รายนี้ระบุว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากจะต้อง ยอมเปิดทางให้"หน่วยงานตรวจสอบจากนานาชาติ" เข้ามาสอบสวนเหตุการณ์นองเลือดที่ขึ้นกลางกรุงเทพฯเพียงสถานเดียวเท่านั้น ..


ในถ้อย แถลงของอัมสเตอร์ดัมที่มีการนำออกมาเผยแพร่ผ่านทาง เว็บไซต์ ส่วนตัว ยังมีการกล่าวโจมตีรัฐบาลด้วยถ้อยคำที่รุนแรงไทยโดย เฉพาะอย่างยิ่งการ"ตราหน้า"ว่ารัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์นั้นปราศจากความเหมาะสมทุกประการในอันที่จะเข้ามา ทำ หน้าที่เป็น"ตัวตั้งตัวตี"ในการสอบสวนเหตุการณ์สังหารกลุ่มผู้ประท้วงทางการ เมืองในกรุงเทพฯที่ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกับรัฐบาลจน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 90 รายในช่วงที่ผ่านมา


โดย อัมสเตอร์ดัมซึ่งได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะขอทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้าน กฎหมายให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) หรือกลุ่มคนเสื้อ แดงยังชี้ว่าในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่สมควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับ กระบวนการสอบสวนอิสระดังกล่าวแม้แต่เพียงนิดเดียวเสียด้วยซ้ำเพราะในช่วงที่ ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ของไทยได้จัดประเภทให้กลุ่มคนเสื้อแดงมีสถานะเป็น "ผู้ ก่อการร้าย"มาโดยตลอดและจนถึงขณะนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังคงควบคุมตัวกลุ่ม ผู้ประท้วงทางการเมืองเอาไว้มากกว่า 400 คนโดยยังไม่ได้มีการตั้งข้อกล่าวหาและยังไม่มีการพิจารณาคดีตามกระบวนการทาง กฎหมาย


ซึ่ง การกระทำของรัฐบาลไทยเช่นนี้กำลังสร้างความกังวลใจให้กับประชาคมระหว่าง ประเทศอย่างมาก

ยิ่ง ไปกว่านั้นอัมสเตอร์ดัมซึ่งมีกิตติศัพท์อันโด่งดังไปทั่วโลกว่าหากเขาตัดสิน ใจรับว่าความให้กับลูกค้ารายใดแล้วลูกค้ารายนั้นแทบ"ไม่เคยแพ้คดี"ยังออกโรง สับคณะกรรมการอิสระที่ทางการไทยเป็นผู้ตั้งขึ้นเพื่อให้ เข้ามาสอบสวนเหตุรุนแรงทางการเมืองในกรุงเทพฯระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ค. ว่าเป็นคณะกรรมการที่มี"คุณสมบัติพิเศษ 3 ประการ"อันประกอบไปด้วย การขาดความชอบธรรม, ไม่มีความเป็นกลาง, และไร้อิสระในการ ทำหน้าที่

ในเว็บไซต์ของอัมสเตอร์ดัมยังมีการเผยแพร่ความเห็นจาก "Human Rights Watch" องค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ที่ออกมาระบุว่า แม้ท่าทีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ดูเหมือนจะมีภาพของความพยายามให้เกิดความปรองดอง ด้วยการเสนอแผนสมานฉันท์ 5 ประการ แต่ลึกๆแล้วดูเหมือนนายกรัฐมนตรีของไทยจะยังคงต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า ต่อไปเสียมากกว่า สังเกตได้จากการตัดสินใจประกาศแต่งตั้ง "คณิต ณ นคร" ให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น

โดยทางฮิวแมน ไรต์ส ว็อตช์ระบุว่า " การไต่สวนแบบข้างเดียว" ที่มีลักษณะของการ "ตั้งเอง ชงเรื่องเอง ตัดสินเอง" ของทางการไทยเช่นที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นตัวทำลายความพยายามของทุกฝ่ายที่ กำลังมองหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมืองของประเทศไทยที่ยืดเยื้อมานานหลายปี

อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง: องค์กร นิรโทษกรรมสากลเรียกให้นายกฯไทยจัดการสอบสวนอย่างเป็นธรรม



นอกเหนือไปจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอ เบิร์ตอัมสเตอร์ดัมและฮิวแมนไรต์สว็อตช์แล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังมีการ นำเสนอความเห็นของ"ชอว์นดับเบิลยู . คริสพิน" บรรณาธิการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ"Times Asia"ที่ ออกมาระบุว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่"ยุคใหม่ของเผด็จการทหาร"

เนื่องจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ต้องยอมมอบ"อำนาจพิเศษที่มากล้น เกินกว่าปกติ" ให้กับหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศซึ่งก็คือ "ทหาร"ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจับกุมคุมขังผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ได้โดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดี

รวมถึง ยังปล่อยให้ ทหาร เข้าไปมีบทบาทในการเซ็นเซอร์การนำเสนอข่าวของสื่อ และห้ามการชุมนุมทางการเมืองอีกด้วย จนทำให้ในขณะนี้มีหลายคนหลายฝ่ายหลงเข้าใจผิดไปแล้วว่า "ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" หรือ ศอฉ.ดูจะมีบทบาทมากขึ้นทุกขณะจนอาจเปรียบได้กับการเป็น " รัฐบาลเงา" ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้าไปทุกทีแล้วในขณะนี้

ขณะเดียวกัน โจชัว เคอร์แลนซิคต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองของภูมิภาคเอเชียได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ล่าสุดของ ตัวเขาเองเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยลงใน "นิวสวีค" นิตยสารวิเคราะห์ข่าวรายสัปดาห์สัญชาติอเมริกัน โดยมีเนื้อหาที่ระบุว่า "ชื่อเสียงอันดีงาม" ของประเทศไทยในเรื่องของความมีน้ำใจของผู้คน ความรักสงบ และเอกลักษณ์ในเรื่องของการเป็น "สยามเมืองยิ้ม" กำลังจะถึงกาลอวสานเสียแล้ว อันเป็นผลพวงมาจากการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ ผ่านมา รวมถึงการที่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ประกาศว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายเคลื่อนไหวเป็นจำนวนมากในรูปของขบวนการใต้ดิน เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

เคอร์แลนซิคต์ชี้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในไทยตอนนี้ คล้ายกับสิ่ง ที่เคยเกิดขึ้นในไอร์แลนด์เหนือตลอดหลายสิบปีที่มา โดยเตือนรัฐบาลไทยต้องแก้ปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไป

แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องเข้าใจ และยอมรับความจริงด้วยว่าความผิดพลาดของนโยบายการบริหารประเทศของไทยในช่วง ที่ผ่านมามีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความแตกแยกและความไม่เท่าเทียมกันใน สังคมไทยอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน บทวิเคราะห์ของเคอร์แลนซิคต์ยังระบุด้วยว่ารัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมาไม่เคย มีนโยบายที่จะพัฒนาและปรับปรุงระบบการศึกษาของประเทศอย่างจริงจังอันมีผลทำ ให้คนไทยขาดโอกาสในการพัฒนาความคิดและศักยภาพของตนเอง

ซึ่งการละเลยของรัฐบาลไทยที่ว่านี้ ไม่แตกต่างอะไรกับการเต็มใจเฝ้าดูพลเมืองของตนมีคุณภาพ"ด้อยลงเรื่อยๆ"อันจะ เห็นได้จากกรณีของการวัดระดับความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษของนัก ศึกษาไทยโดยเฉลี่ยที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ "เกือบรั้งท้าย"ของเอเชียมาโดยตลอดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียว กัน ทำให้บุคลากรของไทยไม่สามารถก้าวเข้าสู่การแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ และทำให้สถานะของไทยที่เคยประกาศตัวว่าจะเป็น"พี่ใหญ่แห่งเอเชียตะวันออก เฉียงใต้" กำลังเสื่อมถอยอย่างร้ายแรง จนประเทศไทยแทบไม่มี "ที่อยู่ที่ยืน" ในประชาคมระหว่างประเทศอีกต่อไปแล้ว

เช่นเดียวกับนโยบายด้านอุตสาหกรรมของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญแต่ เฉพาะการทำให้ไทยกลายเป็นฐานสำหรับรองรับการผลิตสินค้านานาชนิดให้กับต่าง ชาติเพียงอย่างเดียว โดยไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนา " นวัตกรรมของตัวเอง"รวมถึง การโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ของทางการไทยที่มุ่งเน้นให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่อง เที่ยวในประเทศเป็นจำนวนมากๆ แบบ"เน้นปริมาณ"เพียงอย่างเดียวโดยยังไม่มีแนวทางปกป้องสิ่งแวดล้อมที่เป็น รูปธรรมชัดเจน

มิหนำซ้ำหลายโครงการของภาครัฐยังเป็นตัวการทำลายสภาพแวดล้อมและความสวยงาม ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเสียเอง เช่น โครงการตัดถนนผ่านอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทั้งที่อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทยแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น " มรดกแห่งอาเซียน " มาตั้งแต่ปี 1984 และยังได้รับการคัดเลือกเป็น "แหล่งมรดกโลก" โดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่เมื่อช่วงกลางปี 2005

หรือแม้แต่กรณีการอนุญาตให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามา "ปู้ยี่ปู้ยำ" สภาพแวดล้อมของไทยจนเสียหายยับเยิน เช่น กรณีภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องหนึ่งที่เข้ามาถ่ายทำกันบนเกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

คำถามจึงอยู่ที่ว่าในขณะนี้มันเกิดอะไรกับสังคมไทยกันแน่ ทำไมคนไทยถึงปล่อยให้ประเทศชาติอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองต้องประสบ กับภาวะ "ถอยหลังเข้าคลอง" ในแทบทุกเรื่อง ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องการเมือง และมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศจะช่วยกันหยุดยั้งและ กำจัดสิ่งเลวร้ายและความเสื่อมถอยต่างๆ

เพื่อช่วยกันนำพาประเทศไทยของเราให้สามารถ เริ่มออกก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้งเสียที

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้าและ ก่อนเที่ยง 16/06/2010 11:41:00

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน