แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ธงแดงที่สะบัดไหวอยู่ไกลลิบๆ "ผมปักเองครับ"


มาจองพื้นที่ก่อนค่ะ ไปอ่านเจอบทความในหนังสือเล่มหนึ่งเข้าค่ะ ซึ่งอยากเผยแพร่ต่อให้พี่น้องเราได้อ่านมากๆเลยค่ะ แต่ติดตรงที่ว่า ไม่สามารถ วางลิงค์ หรือกอ๊ปปี้ มาแป๊ะได้ ลองหาดูในกลูเกิ้ลแล้ว จนปัญญา เลยต้องใช้ความสามารถ ของอดีตนักศึกษารัฐศาสตร์ ที่ไม่เคยจับพิมพ์ดีด มาคัดลอกจากหนังสือโดยการพิมพ์ จิ้มๆๆทีละตัว สลับกับนั่งเช็ดน้ำตาด้วยความเศร้าของบทความ ที่เป็นเรื่องจริงไป ..อาจช้าไปนิด พี่น้องอ่านกันใจเย็นนิดนะคะ มือนู๋หงิกแย้วค่ะ

เป็นเรื่องราวของผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม ที่ได้บอกกล่าวความรู้สึกผ่าน สื่อออกมาค่ะ ลุงเติม วงค์ปัญญา เจ้าของธงแดง ที่ปักไว้บนเนินโต้ลมอยู่ไสว มาติดตามเรื่องราวของแกกันค่ะ


มองเห็นธงสีแดงสะบัดไหวอยู่ไกลลิบๆ บนดอยโล้น ลูกตรงข้ามธงนั่นผมเอาไปปักไว้เองครับ ก่อนที่จะไปร่วมชุมนุม ลุงเติม ปัญญาวงศ์ เจ้าของธงสีแดงที่ปลิวล้อลมอยู่ บอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ แม้ว่าในวันนี้ตัวลุงจะสวมเสื้อสีอื่นอยู่ แต่คำพูดของแกบ่งบอกถึงสีเสื้อในใจได้เป็นอย่างดี

ผมปักไว้เผื่อเฮลิคอปเตอร์บินผ่านมา เขาจะได้รู้ว่าแผ่นดินตรงนี้เป็นของคนเสื้อแดงครับต้นเดือนมิถุนายน 2553 ไร่ข้าวโพดบนไหล่ดอยใน อ.จุน จ.พะเยา คลาคล่ำด้วยคนงานไร่ข้าวโพดนับสิบชีวิต นอกจากลุงเติมแล้วยังมีชาวบ้านกว่าสิบคนทำงานเป็นจังหวะราวกับเครื่องจรัก หยอดเมล็ด คนหนึ่งยกจอบฟันดินเป็นหลุม อีกคนโยนเมล็ดข้าวโพดที่คลุกยาฆ่าเชื้อสีชมพูสดลงไป แกว่งรองเท้ายางเกลี่ยดินกลบ จากนั้นก็ขยับสู่หลุมต่อไป วนขั้นตอนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แลกกับค่าจ้าง 120 บาทต่อวัน วันพรุ่งนี้ก็ขยับไปไร่ของคนอื่นราวกับเป็นวัฎจรักของชีวิต


จมอยู่กับวังวนไร่ข้าวโพดมานานกว่า 30 ปี คุณลุงชาวบ้านวัย 50 รู้สึกว่า มีเพียงยุครัฐบาลทักษิณเท่านั้นที่ข้าวโพดราคาดี เศรษกิจเด่น และใสใจคนจน ทำให้แกได้ลืมตาอ้าปากบ้าง จึงไม่แปลกที่ลุงและชาวบ้านแถวนั้นจะรักนายกทักษิณเหมือนกับที่คนภาคเหนือ และภาคอิสานกาบัตรเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทยชนะด้วยคะแนนถล่มถลาย
ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่า นปช แดงทั้งแผ่นดินจะรวมตัวกันครั้งใหญ่ แทนที่หน้าแล้งนี้แกจะออกไปรับจ้างทำไร่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ลุงเติมแกจึงคิดที่จะไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ด้วยความหวังว่า เผื่อชีวิตจะดีขึ้นบ้าง


ผมอยากให้มีความเป็นธรรม มีประชาธิปไตยที่ดี คนมีรายได้
อยากให้ท่านทักษิณกลับมาด้วย เพราะตอนท่านเป็นนายก ประเทศเราก้าวหน้ามาก

ที่ผ่านมาผมก็ไปชุมนุมที่จังหวัด แต่พวกเขาไม่เห็น ก็เลยคิดว่าเราไปกรุงเทพน่าจะดีกว่านี้
ใครว่าเสื้อแดงรับเงินอย่างไรไม่รู้

แต่ไม่มีตกถึงมือลุงแกสักบาท ลุงเติมต้องไปขอเงินลูกสาวอายุ 17 ที่เหมือนกระเป๋าเงินส่วนตัว
เพื่อสมทบทุนไปตามล่าหาความฝัน ไม่มีหนังสติ๊ก ปืนกล หรือเอ็ม 79
มีเพียงเสื้อแดง 3-4 ตัวยัดใส่ไว้เต็มกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆจะขาดมิขาดแหล่
ที่เอาไว้ทำเป็นหมอนหนุนยามนอนได้ด้วย กับเงินติดตัวไปเพียง 500 บาทเท่านั้น
เพราะไม่คิดว่าจะต้องอยู่ต่อสู้กันยาวนานยืดเยื้อจากหน้าแล้ง เข้าสู่หน้าฝนเยี่ยงนี้


ผมนึกว่ามันจะง่าย คนมาเยอะขนาดนี้เดี๋ยวรัฐบาลก็คงยุบสภา
กะจะมาอยู่แค่7 วัน คงได้กลับแล้ว
การคาดการณ์ของชาวไร่ข้าวโพกและลุงเติม ผิดไปเยอะมาก ยิ่งกว่าบอลพลิกล๊อค
เพราะสงกรานต์ผ่านไปก็แล้ว
เจาะเลือดไปเทล้างถนนหน้าทำเนียบ หน้าบ้านนายกก็แล้ว
รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่ ลุงแกเองก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน
เป็นห่วงไร่ เป็นห่วงลูกสาว แต่จะกลับไปก็ห่วงการต่อสู้
อีกทั้งเพื่อนๆยังคงจะสู้กันต่อ
ก็เลยคิดว่าไหนๆก็มาจนถึงขนาดนี้แล้ว
น่าจะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาลบ้าง อีกไม่นานน่าจะจบ ความหวังเริ่มมีบ้าง


แต่มันน่าเศร้าที่เหตุการณ์บานปลาย
กลายเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อรัฐบาลไม่ยอมทำตามที่บอกและตามที่ประชาชนต้องการ
การเจรจาครั้งแล้วครั้งเล่ากับแกนนำล้มเหลว
ความเศร้าจึงต้องมาตกอยู่กับประชาชนผู้ยากไร้อย่างพวกลุงเติม
เขายิงกัน โป้งป้าง เปรี้ยงๆๆ อยู่กลางถนน ลุงเติมไม่กล้าออกไปไหน
ได้แต่หลบอยู่กับฝูงชนเสื้อแดงหลังม่านควัน

และต่อมาลุงหนีไปอยู๋ในวัดปทุมเช่นคนอื่นๆ แต่มันยิ่งเหมือนฝันร้าย
แหงนหน้ามองไปตามรางรถไฟฟ้าเห็นทหารยืนกันเต็มไปหมด
แถมยังเล็งปืนใส่ประชาชน

แต่ลุงเติมบอกว่า เหตุการณ์ที่เจ็บใจปวดร้าวใจแกมากที่สุดคือ
ตอนที่ ทหารคนหนึ่งค้นตัวแกและพบรูปท่านทักษิณในเสื้อของลุง
ก็ฉวยมาฉีกทิ้งแล้วกระทืบซ้ำโดยไม่สนใจความรู้สึกของแกแม้แต่น้อย

ขากลับบ้านลุงเติมมาขึ้นรถที่สนามกีฬาแห่งชาติ
นั่งเบียดเสียดกับคนเสื้อแดงกลับบ้านอย่างหงอยเหงา
จากป่าคอนกรีตคืนสู่ไร่ข้าวโพด บรรยากาศผิดกลับขาไปลิบลับ
จะว่าเศร้าก็เศร้าเพราะรู้สึกกลับมาอย่างผู้พ่ายแพ้
กระเป๋าใบเก่งที่ใส่เสื้อแดงก็ร่วงหายไปเสียแล้วระหว่างวิ่งหนีลูกปืน
เหลือติดตัวแค่ชุดเดียวที่มอมแมมด้วยคราบเหงื่อไคล
ควักกระป๋ากางเกงดูเงินที่ลูกสาวให้มา เหลือติดตัวกลับแค่ 200 บาท
หลังจากลงขันเป็นค่าน้ำมันรถขาไปกว่าครึ่งก็แทบไม่ได้หยิบออกมาใช้อีกเลย

ส่วนความฝันที่ตั้งไว้ตอนขาไปนั้น ลุงเติมบอกว่า ยังฝันอยู่ ก็คงต้องรอต่อไป
ที่พอจะดีใจอยู่บ้างก็ตรงที่ ได้รอดชีวิตกลับมาบ้านหาลูกหลาน
แกยืนมองดูธงแดงที่ปักอยู่เหนือไร่ข้าวโพด และปลุกปลอบใจตัวเองว่า ถ้ายังไม่ตายจะลุกขึ้นมาสู้ต่อ

ถ้ารัฐบาลนี้ยังอยู่ ผมมีลูกมีหลานจะไม่ให้มันไปเป็นทหาร มันจะได้ไม่ไปรับคำสั่งมายิงเฮาอย่างนี้

มีประท้วงอีกผมจะไปอีก ผมไม่เข็ดครับ เราอยากจะสู้ให้ชนะ
เราอยากจะสู้ให้ลูกให้หลานในอนาคตเขาจะได้อยู่ดีกินดีครับ ..


ลุงเติมแกยังคงแน่วแน่ ในความเชื่อ ว่า
รัฐบาลชุดนี้มาทำลายความสุข ความหวัง และชีวิตอนาคตของแกที่เคยมีมาทั้งหมดทั้งมวลไป
ถามว่าลุงได้อะไรมา คงตอบได้ว่า มันมีเพียงความคับแค้นใจเท่านั้น ที่ติดตัวกลับมา ....


Puk_Lanna


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน