แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รื้อฟื้นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ (ที่โลกลืม)


การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้าน FTA ไทย-สหรัฐ ที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อนรับประหาร ได้รับการกล่าวขวัญและยกย่องในหมู่ของปัญญาชนและชนชั้นกลางพอสมควร หลังจากนั้นกลุ่มต้าน FTA มาอีกครั้ง คราวนี้กลับมาต้านข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) แต่ต้านไม่ได้ จึงพากันกราบกรานศาลหลักเมือง-เผาบัญชีหนังหมาสาปแช่ง แสดงให้เห็นถึงการย้อนไปหาภูมิปัญญาดึกดำบรรพ์ในการต่อต้านกับกระแสโลกา ภิวัฒน์ได้อย่างชัดเจน


2 สิงหาคม, 2010 - 03:07 | โดย popculture

ประปา สุราเมืองนนท์

"ถึงแม้รูปแบบการ ป่วนทางวัฒนธรรมจะมีข้อดีในแง่ของการดึงคนหนุ่มสาวเข้ามาร่วมขบวนการ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การป่วนทางวัฒนธรรมควรเป็นแค่วิธีการ ไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง

การ ป่วนทางวัฒนธรรมเป็นกิจกรรมของคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการระบายความคับข้องใจต่อการที่บรรษัทเข้ามาช่วงชิงพื้นที่สาธารณะไป หมด แ...ต่สำหรับคนชนบทหรือชนชั้นล่าง การป่วนทางวัฒนธรรมอาจไม่มีความหมายสำหรับคนเหล่านี้"

Culture Jamming การป่วนทางวัฒนธรรม
ภัควดี ไม่มีนามสกุล

ผู้ เขียนสะดุดตากับถ้อยคำของคุณภัควดี จากหน้าเฟซบุ๊คของเพื่อนคนหนึ่งในค่ำคืนที่ไม่มีอะไรทำมากนัก มันจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจที่นึกย้อนไปถึงเรื่อง การป่วนทางวัฒนธรรม-การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในปัจจุบัน

อาจ จะไม่มีหลักฐานอ้างอิง แต่ผู้เขียนรู้สึกเอาเองว่าการประท้วงเชิงสัญลักษณ์เริ่มถูกการบัญญัติให้เป็นคำที่สะดุดหูขึ้นมา ในยุคของกระแสการทวนกระแสเป็นกระแสหลักของปัญญาชนไทย พร้อมกับศัพท์ต่างๆ ที่ไหลบ่ามาในยุคเดียวกัน อาทิ อารยะขัดขืน, ประชาธิปไตยทางตรง, คนตัวเล็กๆ, เปลี่ยนโลกด้วยมือเรา, ทุนนิยมสามานย์, พลังของคนชายขอบ, การเมืองใหม่, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น

โดย ศัพท์แสงเหล่านี้ถูกหยิบมาใช้ในยุคที่ประเทศไทยมีเสรีภาพในการแสดงความคิด เห็นมากที่สุดในยุคหนึ่งนั่นก็คือในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งศัพท์ต่างๆ ที่ได้ยกขึ้นมานั้นก็อยู่ในหมวดการต่อต้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเช่นกัน


ผู้เขียนจึงลองติ๊ต่างไปเองว่า การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของไทย (ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่บวก) นั้นมักจะมีบุคลิก 3 อย่างของกลุ่มก้อนที่จะแสดงออกด้วยวิธีประท้วงเชิงสัญลักษณ์ คือจะต้องมีภาพลักษณ์ เป็นชนชั้นกลางพอสมควร-หรือไม่ก็ต้องดูเป็นปัญญาชนพอสมควร-หรือไม่ก็ต้องมีลักษณ์เป็นขบวนการบริสุทธิ์ผุดผ่องพอสมควร เช่น กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ คนรักสัตว์ กลุ่มต่อต้านโลกร้อน ขบวนการคนจนแท้ๆ ที่ไม่เอากับการเมืองแบบเลือกตั้ง เป็นต้น

สำหรับ การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ขบวนการกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ใช่มีแค่กลุ่มคนชนบทหรือกลุ่มลิ่วล้อทักษิณเท่า นั้น เพราะได้มีกลุ่มที่มีบุคลิก 3 อย่างที่ได้กล่าวไปมาร่วมขบวนมากขึ้นเรื่อยๆ และความหลากหลายในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นก็กำลังแบ่งโหมดทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง

0 0 0

การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่โลกลืม

ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อเผาตัวตายประท้วงรัฐบาลชาติชาย

ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยทำมาก่อน และทำสำเร็จ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2533 โดยเขาใช้น้ำมันเบนซินราดและจุดไฟเผาตัวเอง ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อหน้าเพื่อนนักศึกษา ประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างการชุมนุมครบรอบ 14 ตุลา 2516 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ลาออก

หลังการเสียชีวิตของเขามีความพยายามจาก พล.อ.ชาติชาย ที่จะมอบเงิน 1 ล้านบาท เพื่อตั้งมูลนิธิ "ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ" ท่ามกลางเสียงคัดค้านของนักกิจกรรม จากนั้นในปี 2534 จึงมีการรัฐประหารโดยคณะทหารในนาม คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นชนวนเหตุของการนองเลือดเดือนพฤษภา 2535

ฉลาด วรฉัตรผู้เกิดก่อนกาล




สบายๆ สไตล์ ฉลาด วรฉัตร

ในช่วงพฤษภา 2535 การอดข้าวและการนำม็อบของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง กลายเป็นไฮไลท์สำคัญที่บดบังส่วนประกอบอื่นของเหตุการณ์ครั้งนั้นไปเสียสิ้น แต่ในเหตุการณ์นั้นก็ยังมี ฉลาด วรฉัตรปูชนีย์นักอารยะขัดขืนไทยที่ยังมีลมหายใจอยู่ ผู้เกิดก่อนกาลก่อนที่กระแสการยอมรับนับถือ นักอารยะขัดขืนแบบตะวันตกจะแพร่หลายมายังหมู่ปัญญาชนชนชั้นกลางไทย ร่วมแจมอดข้าวประท้วงด้วย (วีรกรรมของฉลาดมีมาก่อนหน้านั้น ปี 2523 อดข้าวประท้วงรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ กรณีน้ำมันขาดแคลน รวม 36 ชั่วโม ปี 2526 อดข้าวประท้วงรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ข้าราชการเป็นนายก)

และก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 ฉลาดเคยประกาศอดข้าวจนตายซึ่งถือเป็นแรงกดดันที่สำคัญ กระทั่งนายมารุต บุนนาค ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นตั้ง นพ.ประเวศ วสี เป็นตั้งกรรมการและสร้างกติการัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งตอนแรกนักการเมืองไม่เอาด้วย แต่สุดท้ายเกิดการขับเคลื่อนจากภาคสังคมทำให้รัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา

มีนาคม 2549 ในห้วงเวลาที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สื่อมวลชน ปัญญาชน คนชั้นกลาง กำลังขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร อย่างเมามันนั้น ฉลาดกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยการพกเสื่อผืนหมอนใบมาปักหลักประท้วงหน้า รัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 2549 และหลังรัฐประหารฉลาดก็เป็นพลังประชาธิปไตยกลุ่มแรกที่ออกมาประท้วงอย่างฉับ พลัน (อ่านหัวข้อ การประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันฉับพลันหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549”) รวมถึงประท้วงและขู่ว่าจะผูกคอตายถ้าการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติ

ฉลาด ไปไกลกว่านั้นอีก หลังประชาชนไทยส่วนใหญ่ตบหน้าสั่งสอนพลังอนุรักษ์นิยม ด้วยการเลือกพรรคพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 2550 เขายังประท้วงอยู่ในกรงขังตัวเองหน้ารัฐสภา เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้เสีย (ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าฉลาดเลิกประท้วงประเด็นนี้ไปหรือยัง?)

ถึง แม้เขาอาจจะมีชื่อเสียงน้อยกว่า จำลอง ศรีเมืองนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกคนหนึ่งที่มีฉลาก อดอาหารแปะไว้ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ฉลาดจะไม่เลือกอยู่ข้างประชาธิปไตย แบบที่จำลองได้ทำพลาดไปจนกู่ไม่กลับแล้วในขณะนี้

และ อาจจะกล่าวได้ว่า ฉลาด วรฉัตรคือความภูมิใจหนึ่งเดียวไทย บนสังเวียนนักอดอาหารประท้วงเพื่อประชาธิปไตย ที่เราสามารถเอาไปคุยกับชาวโลกได้ว่าบ้านเราก็มีนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่กับเขา เหมือนกัน

ลุง สุรินทร์ สุรินทร์ก้อน สู้กับอุทยาน

เดือน เมษายนปี 2539 นายสุรินทร์ สุรินทร์ก้อน ชาวบ้าน จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก 8 คน เดินทางมาทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกเขตอุทยานเขาแหลม ซึ่งทับที่ทำกินของชาวบ้าน โดยใช้วิธีกรีดเลือดเขียนคำร้อง นอกจากนี้ลุงสุรินทร์ได้ใช้น้ำมันเบนซินราดตัวและเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ ปัญหา (แต่ยังไม่มีการเผาตัวจริงๆ) ปี 2540 ลุงสุรินทร์กลับมาปีนต้นไม้ขู่ตัดนิ้วก้อยเพื่อเอาเลือดมาเขียนหนังสือ ประท้วงรัฐบาล ครั้งนี้ตัดนิ้วก้อยจริง แต่ถูกนำส่งโรงพยาบาลต่อนิ้วและยังใช้ได้ครบ 5 นิ้วเหมือนเดิม จากนั้นในปี 2543 ลุงสุรินทร์กลับมาอีกครั้ง ด้วยการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ปีนต้นโพธิ์หน้าทำเนียบรัฐบาล ถือมีดยาว 1 ฟุตขู่ตัดนิ้วตัดแขนหากไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมาจากต้นโพธิ์

การ ต่อสู้อันยาวนานของลุงสุรินทร์ ก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อสามารถได้พบนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถึงในทำเนียบรัฐบาล หลังต่อสู้มาสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะปีนต้นไม้หรือกรีดเลือด พอได้เจอนายกชวน ลุงสุรินทร์ถึงกับก้มกราบแล้วปล่อยโฮออกมา สุดท้ายก็ให้ รมว.เกษตรฯ ดูแล เจรจาแค่ 5 นาที โดยลุงสุรินทร์ขอแค่อยู่อาศัยจนตัวตายไม่ต้องการเอกสารสิทธิ์ (ลุงสุรินทร์เรียกร้องมาเป็นระยะเวลา 12 ปี)

"บาลทิพย์" ครอบครัวอารยะขัดขืน

ใน เดือนเมษายนปี 2541 นายพรหมเนตร บาลทิพย์ พื้นเพเดิมเป็นชาว จ.พัทลุง ได้จูงลูกชายวัย 4 ขวบ เดินประท้วงถือป้ายซึ่งมีข้อความว่ารับจ้างทำงานทั่วไปแห่ไปรอบตัวเมืองหาดใหญ่ โดยตั้งต้นการเดินของานทำที่หน้า สนง.ประชาสัมพันธ์เขต 6 ถือป้ายของานทำไปตามถนนสายสำคัญ ๆ ของอำเภอหาดใหญ่ เพื่อจะของานทำ หลังจากที่นายพรหมเนตรและภรรยาตกงานมานานกว่า 3 เดือน จนครอบครัวไม่มีเงินที่จะมาซื้อข้าวปลาอาหารรับประทาน และยังมาถูกเจ้าของบ้านเช่าไล่ที่อีก เพราะว่าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน

นอก จากนี้นายพรหมเนตร ยังกล่าวว่า ภายในครอบครัวยังเกิดเจ็บป่วยไม่สบายติดกันทั้งบ้าน แม้แต่ตัวเองขณะนี้ก็ไม่สบาย จนครอบครัวทนต่อความอดอยากต่อไปไม่ไหว วันนี้จึงตัดสินใจทำป้ายของานทำแล้วพาลูกน้อยวัย 4 ขวบ มาเดินแห่ขอทำงานไปทั่วเมืองหาดใหญ่ เพื่อหาเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งตนมีภรรยาชื่อนางสมพจน์ บาลทิพย์ และบุตรชาย-หญิงอีก 4 คน ตนเองและภรรยาเมื่อก่อนมีอาชีพขายแรงงานโดยรับจ้าง ก่อสร้าง มีงานทำและมีเงินพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว แต่ต่อมายุคเศรษฐกิจตกต่ำ จึงทำให้ตนและภรรยาต้องตกงาน จนเงินที่สะสมมาไม่เหลือ จึงต้องตัดสินใจเดินขายแรงงานถือป้ายแห่รอบเมืองหาดใหญ่ เพื่อของานทำเพื่อความอยู่รอด และหากไม่ได้งานทำตนก็จะเดินทางขึ้นกรุงเทพฯเพื่อขอให้กรมแรงงานให้การช่วย เหลือต่อไป

จากนั้นในเดือนธันวาคม ปีถัดมา (2542) นายพรหมเนตรและนางสมพจน์ พร้อมลูกน้อยอีก 2 คน เดินทางไปยังบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกินที่จังหวัดพัทลุงบ้านเกิด แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาไม่อนุญาตให้เข้าไปในบริเวณอาคารรัฐสภาทำ ให้นายพรหมเนตรน้อยใจที่ไม่มีใครเหลียวแล จึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้หน้ารัฐสภาหวังผูกคอตายประท้วง โดยใช้ผ้าขาวม้าผูกคอไว้และปลายอีกด้านผูกติดกับต้นไม้ ปล่อยให้ภรรยาและลูกที่ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องมาตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมยืนดูอยู่ข้างล่าง

โดย ระหว่างที่นายพรหมเนตรอยู่บนต้นไม้ ได้กล่าวตัดพ้อน้อยใจนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนปักษ์ใต้เหมือนกัน แต่กลับไม่ให้ความช่วยเหลือว่า เดินทางไปพบนายชวนก่อนที่จะมาที่รัฐสภาแต่ถูกปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ นายชวนบอกว่าเพราะตนทำตัวเป็นศัตรูและต่อต้านรัฐบาลมาตลอดจึงไม่ควรช่วย เหลือ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของรัฐสภาพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้นายพรหมเนตรผูกคอตาย จนกระทั่งคณะทำงานของคณะกรรมาธิการการปกครองมาไกล่เกลี่ย นายพรหมเนตรจึงยอมลงมา

ครอบครัว "บาลทิพย์"ยังคงเดินบนเส้นทางแห่งการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ ข้ามมาในช่วงรัฐบาล ทักษิณในเดือนสิงหาคม ปี 2544 นางสมพจน์ บาลทิพย์ ได้ถอดเสื้อผ้าออกหมดเหลือเพียงชุดชั้นใน ปีนป่ายขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้หน้ารัฐสภา ในมือถือป้ายมีข้อความโจมตีรัฐสภาว่าหมิ่นคนจน ส่วนบริเวณใต้ต้นไม้ ยังมีนายพรหมเนตร บาลทิพย์ ยืนตะโกนด่ารัฐบาลและหน่วยงานราชการที่ไม่ช่วยเหลือความเดือดร้อนของตัวเอง และครอบครัว นอกจากนี้ยังมีลูกอีก 2 คน คือ ด.ช. รโส อายุ 8 ขวบ และด.ญ.รวงข้าว อายุ 9 ขวบ นั่งดูพ่อแม่ของตัวเองประท้วงเชิงสัญลักษณ์อยู่อย่างเงียบๆ

โดย การมาครั้งนี้ ครอบครัวบาลทิพย์ ต้องการมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการศึกษาและวัฒนธรรม วุฒิสภา เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องสถานที่เล่าเรียนให้กับ ด.ช.รโส เพราะอายุ 8 ขวบแล้ว แต่ยังไม่ได้เรียนหนังสือ

"ผม เคยไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาหลายกระทรวงแล้ว ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากราชการเลย พอมาที่รัฐสภาก็ยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐสภาขัดขวางไม่ให้มายื่นหนังสืออี ส่วนสาเหตุที่ลูกไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะครอบครัวต้องหาเช้ากินค่ำ เก็บของป่ามาขาย ไม่มีเงินพอถ้ายังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีก ในวันที่ 24 สิงหาคม ผมจะเอาน้ำกรดมาราดขาตัวเอง แต่ไม่รู้จะเป็นหน้าทำเนียบหรือหน้ารัฐสภาเพื่อให้คนในบ้านนี้เมืองนี้ได้ เห็น" พรหมเนตร กล่าวกับสื่อในครั้งนั้น

โดยก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว นายพรหมเนตรและนางสมพจน์ ได้หอบลูกน้อย 2 คน ไปถือป้ายร้องเรียนรัฐบาลที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว แต่เป็นประเด็นเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการในการขอติด ตั้งประปา ซึ่งเมื่อเข้าร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ผู้ว่ากลับบอกปัดให้ไปด่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แทนจึงได้เดินทางลงมากรุงเทพฯ เพื่อประท้วง

จาก นั้นในเดือนกันยายนปีเดียวกัน นางสมพจน์ พร้อมด้วยนายพรหมเนตร บาลทิพย์ผู้เป็นสามีได้เดินทางมาปักหลักประท้วงที่หน้ารัฐสภาอีกครั้ง แต่ไม่ได้รับความสนใจ นายพรหมเนตร จึงสั่งให้นายสมพจน์ถอดเสื้อผ้าอวดชุดชั้นในสีขาวเพื่อเรียกร้องความสนใจอีก ครั้ง ซึ่งก็ได้ผลเพราะบรรดาช่างภาพต่างตรงเข้าบันทึกภาพทันที เจ้าหน้าที่จึงตามจับตัวนางสมพจน์กันชุลมุนเมื่อนางสมพจน์ได้วิ่งเข้ามาภาย ในบริเวณลานหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 7 ในที่สุดจึงได้ตัวนำมาที่อาคารรักษาความปลอดภัย ระหว่างนั้น น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ หรือน้องแบม ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย (ในขณะนั้น) นั่งรถยนต์ส่วนตัวมาเหตุการณ์พอดี จึงตรงเข้าไปเจรจากับนางสมพจน์ ขอร้องให้สวมเสื้อผ้าเสียแต่นางสมพจน์ไม่ยอม ร้องไห้และดิ้นหนี ทำให้น้องแบมต้องบุกเข้าไปปล้ำใส่เสื้อผ้าจนสำเร็จ ซึ่งนางสมพจน์ได้ร้องขอความช่วยเหลือเนื่องจากได้ปักหลักประทรวงมาเป็นเวลา แรมเดือนแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งน้องแบมได้ช่วยเหลือด้วยการให้เงินสดส่วนตัวจำนวน 1,000 บาท ทำให้นางสมพจน์และสามีเดินทางกลับไปปักหลักประท้วงที่หน้ารัฐสภาตามเดิม

ราดเอง เหม็นเอง

เดือน สิงหาคม 2544 นายช่วย คชสิทธิ์ ชาว จ.กาญจนบุรี เป็นแกนนำชาวบ้านประมาณ 100 คน มาชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้าธนาคารออมสิน สาขาท่าม่วง เพื่อร้องขอเงินกองทุนคืน โดยผู้ชุมนุมเปิดปราศรัยโจมตีธนาคารออมสินอย่างเผ็ดร้อน พร้อมกันนั้น นายช่วย แกนนำได้นำถุงอุจจาระขนาดใหญ่ไว้บนหัวสร้างความสงสัยแก่ประชาชนที่ผ่านไปมา (ลุงช่วยระบุว่าได้อุจจาระใส่หม้อเก็บไว้นานกว่า 7 วันเพื่อให้ได้ปริมาณมากพอ) และก็คาดการณ์คิดไปกันว่า เหยื่อของอุจจาระถุงนี้ คงจะเป็นผู้บริหารคนใดคนหนึ่งของธนาคารออมสินแน่ๆ

แต่ ปรากฏว่าลุงช่วยได้จบแบบหักมุม ด้วยการเปิดถุงอุจจาระแล้วราดลงบนหัวตัวเอง จากนั้นลุงช่วยก็ได้ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้า ด้วยการเดินเข้าไปในธนาคาร และแจ้งความประสงค์ว่าต้องการถอนเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ฝากไว้อีก 200,000 บาท พร้อมกับประกาศเลิกเป็นลูกค้าของธนาคารต่อไป เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงรีบดำเนินการถอนเงิน 190,000 บาท เหลือติดบัญชีไว้ 10,000 บาท ให้กับลุงช่วยโดยทันที

เดือนกุมภาพันธ์ปี 2545 ลุงช่วยได้นำชาวบ้าน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ยังคงเดินทางมาชุมนุมยังกระทรวงการคลังต่อเป็นวันที่สอง เพื่อรองฟังผลสรุปการพิจารณาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการ ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมธนาคารออมสิน โดยมีข้อเรียกร้องให้ทางธนาคารออมสินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผู้เสียหาย จากการซื้อกองทุนรวมนี้ เนื่องจากเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิด

จาก นั้นมาลุงช่วยไปประท้วงติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาอีกหลายครั้ง จนมีประสบการณ์สั่งสมมากพอจนสามารถเปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของชาว บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกองทุนธนาคารออมสินขึ้นมา (โดยมีพิภพ ธงไชย ประธาน ครป. นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และนายบุญส่ง จันทร์ส่องรัศมี รองประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ เป็นผู้ร่วมเปิดศูนย์)

ขี้หมูราดตัว

เดือนสิงหาคม ปี 2544 เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในโครงการของ ธกส.จำนวนหนึ่ง ชุมนุมหน้าศาลากลางจ.นครปฐม เพื่อเรียกร้องให้ทางการเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่ได้รับ จากการเข้าร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงหมูเพื่อการส่งออกโดยในระหว่างการชุมนุมประท้วง นางจำลอง สุขศรี ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรเพื่อ การส่งออกรายหนึ่ง ที่กู้เงินจาก ธกส.มาเพียง 2.7 แสนบาท แต่ยอดหนี้ที่ได้รับแจ้งจาก ธกส.กลับมีสูงถึง 1.4 ล้านบาท ได้ใช้ขี้หมูที่เตรียมมาราดบนตัวพร้อมประกาศว่าจะขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลใน เรื่องนี้ด้วย

โดย ก่อนการชุมนุม ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ได้เดินทางไปขอคำปรึกษาจากนายช่วย คชสิทธิ์ ผู้นำในการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากธนาคารออมสินกรณีที่ได้รับความเสียหาย จากการถูกหลอกลวงให้นำเงินไปลงทุนในกองทุนออมสิน

"ลิ่วล้อทักษิณ" ผู้เห็นแววตา "อนาคิน" ของ "สุรพล นิติไกรพจน์"

ใน เดือน มีนาคม 2549 ก่อนการรับประหารไม่กี่เดือน ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาประท้วงขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาเสนอเรื่อง มาตรา 7 ทำให้กลุ่มคาราวานคนจนกลุ่มคนยากจนผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ กลุ่มแรกที่ออกมาปกป้องประชาธิปไตย จากภาคเหนือและภาคอีสาน กว่า 500 คน เดินทางมาประท้วงนายสุรพล ด้วยการโกนหัวจำนวน 72 คน เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็นที่ขัดต่อครรลองของระบอบประชาธิปไตยอีกทั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงด้านการเมืองการปกครอง ควรแสดงความสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากระบอบ ประชาธิปไตย

การประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันฉับพลันหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549


หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยาได้ไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายไทยรักไทยกำลังหนีหัวซุกหัวซุนส่วนปัญญาชนผู้สนับ สนุนประชาธิปไตยก็ยังคงกำลัง ถกเถียง-วิเคราะห์สถานการณ์กันอยู่นั้นทวี ไกรคุปต์อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าเก่า ฉลาด วรฉัตรได้ลงมือปฏิบัติการณ์ท้าทายซึ่งหน้า (direct action?) ท้าทายคณะทหารอย่างฉับพลัน ด้วยการออกมาประท้วงที่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณถนนราชดำเนิน เป็นกลุ่มแรก

โดยทวีนั้นได้กางป้ายขนาดใหญ่สองป้ายระบุว่ากระผม นายทวี ไกรคุปต์ ขออดข้าวประท้วงผู้ที่ล้มล้างประชาธิปไตยทำให้บ้านเมืองถอยหลัง และแตกแยกส่วนฉลาดกับผู้ติดตามอีกจำนวน 2-3 คนได้ปูเสื่อนั่งอยู่ที่บริเวณฐานของอนุสาวรีย์ฯ โดยกล่าวกับสื่อมวลชนว่าหากไม่ต้องการให้ตนนั่งก็ให้จับตนไปขังคุกจนกว่าจะ มีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นไปตามคาด ไม่นานนักคนทั้งคู่ก็ได้รับการเชิญตัวจากคณะทหารอย่างฉับพลันเช่นกัน

โดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้โปรยข่าวนี้ไว้อย่างน่ารักน่าชังว่า..

ฉลาด วรฉัตร-ทวี ไกรคุปต์ยังไม่สำนึก เดินหน้าเชลียร์ต่อ ตะแบงรักษาประชาธิปไตยนั่งประท้วงคณะปฏิรูปการปกครองฯ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ก่อนถูกทหารเชิญตัวไปพูดคุย

ภาพ สะท้อนถึงการจดจำต่อเหตุการณ์ประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันอุกอาจครั้งนี้คือ ผู้เขียนสามารถหารูปเหตุการณ์นี้ได้รูปเดียวและมีขนาดเพียง 200 × 290 พิกเซล โดยใช้คีย์เวิร์ดว่า ทวี ไกรคุปต์ 19 กันยายน 2549” จาก Google ซึ่งเทียบไม่ได้กับการค้นหาภาพการมอบดอกไม้ให้ทหารของกลุ่มประชาชนผู้สนับ สนุนการรับประหารในช่วงนั้น ที่ยังคงตกค้างมากมายซะเหลือเกินบนโลกไซเบอร์

เผาตัวไล่ประธาน ยุทธ ตู้เย็น

เดือนมีนาคม ปี 2551นาย แมน ตรวจมรรคา ได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดริมทางหน้ารัฐสภา จากนั้นเขาได้ถอดเสื้อและกางเกงออกจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวแล้วตะโกนด่า รัฐบาล และขอให้ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภาในขณะนั้นลาออกไป พอสิ้นเสียงนายแมนจึงยกขวดน้ำมันเทราดตัวเองจนชุ่มก่อนจะจุดไฟแช็กเผาร่าง ตัวเองทันที นายแมนได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

เหตุการณ์นี้ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม ร.ต. ฉลาด วรฉัตร ซึ่งนั่งประท้วงอยู่บริเวณตรงข้ามหน้ารัฐสภา ได้ความว่า เห็นนายแมน ซึ่งมักชอบมาบริเวณนี้เป็นประจำ เดินไปมาและพูดจาต่างๆ นานา จับใจความไม่ได้ จึงไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีคนมาบอกว่านายแมนเผาตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ

เพื่อน ร่วมงานของแมนกล่าวว่า บางวันแมนจะขี่รถจักรยานยนต์มาจอด ขึ้นไปยืนบนรถแล้วเป่านกหวีดให้รถคันอื่นหยุด ชอบแต่งกายคล้ายทหาร และชอบขับรถไปที่รัฐสภาตะโกนด่านักการเมืองและคณะปฏิวัติคณะต่างๆ รวมทั้งเคยตะโกนขับไล่พล.อ.สุจินดา อาการทางประสาทมักจะกำเริบทุกวันพระ แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด

ไม่ต้องจ้าง กูอยากปา (1)

เดือนกุมพาพันธ์ ปี 2553 วิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ พ่อค้าเนื้อหมูย่านลาดพร้าว ใช้อุจาระโจมตีบ้านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผลแห่งการขัดขืนอารยะของเขา ศาลแขวงพระนครใต้ได้สั่งพิพากษาจำคุก 10 วัน แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 5 วัน เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงให้เปลี่ยนจากโทษจำคุกเป็นกักขัง แทน 5 วัน (ถูกนำตัวไปนอนเล่นที่ สน.ทองหล่อ เป็นเวลา 5 วัน)

ก่อน ก่อเหตุวิวิทวินเคยร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าข้างบ้านได้สูบบุหรี่แล้ว ควันบุหรี่ไปโดนลูก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการให้ จึงไปร้องเรียนกับทาง น.1 ว่าให้ดำเนินการในเรื่องนี้ให้ แต่ไม่เห็นตำรวจดำเนินการ ก็เลยกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถ้าหากว่าไม่ดำเนินการให้จะไปปาอุจจาระใส่ บ้านนายกรัฐมนตรี

และเขาก็ได้ปฏิบัติตามคำพูดทุกประการ

ไม่ต้องจ้าง กูอยากปา (2)


ต้นเดือนมีนาคม ปี 2553 สุรชัย เกิดดี อดีตพนักงานขับรถธนาคารทหารไทย บุกปาอุจจาระที่พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะยืนนิ่งอหิงสาให้ตำรวจจับนำตัวไปสอบสวน โดยทิ้งประโยคเด็ดไว้กับผู้สื่อข่าวว่า "ผมมีสิทธิ์ไม่ตอบ เป็นลูกผู้ชายพอ ทำแล้วไม่หนี"

โดย สาเหตุการประท้วงครั้งนี้ของสุรชัย เขาให้สาเหตุว่า เนื่องมาจากเกิดความเครียดที่มีสัญญาณคลื่นในอากาศมารบกวน ทำให้เกิดอาการปวดหัวและเครียดอย่างหนัก เคยร้องเรียนกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2541 แต่เรื่องดังกล่าวก็นิ่งเงียบไป โดยสุรชัยระบุว่าคนที่เป็นเหมือนตนที่ถูกคลื่นสัญญาณรบกวนคือ น.ส.จิตรลดา ตันติวณิชยสุข พกอาวุธมีดไล่แทงนักเรียนหญิงที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์

จาก การบุกประท้วงเดี่ยวของสุรชัย ศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาให้กักขังเขาเป็นเวลา 5 วัน ที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางปทุมธานี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม

จาก นั้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสุรชัยก็นำอุจจาระมาเรียกร้องความเป็นธรรมอีก ครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่าสัญญาณคลื่นที่รบกวนเขานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลทำให้ตน เองมีอาการเครียดและปวดหัวอยู่

ขณะ นี้สุรชัยถูกส่งตัวไปยังสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ในเบื้องต้นทางสถาบันฯ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรีนี้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนในการรักษา ซึ่งหลังจากอาการเป็นปกติทางตำรวจจะกลับมารับตัว แล้วมาดูกันว่าดำเนินคดีกับสุรชัยยังไงต่อไป

นอกจากนี้ยังมีการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่โลกลืมอีกมากมายที่ผู้เขียนได้หลง ลืมไปบ้าง ก็หวังให้ท้ายความเห็นของบทความชิ้นนี้ผู้อ่านจะได้ช่วยกันทบทวนการต่อสู้ ของคนเล็กบ้างไม่เล็กบ้างที่ถูกละเลยไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน