การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้าน FTA ไทย-สหรัฐ ที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อนรับประหาร ได้รับการกล่าวขวัญและยกย่องในหมู่ของปัญญาชนและชนชั้นกลางพอสมควร หลังจากนั้นกลุ่มต้าน FTA มาอีกครั้ง คราวนี้กลับมาต้านข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) แต่ต้านไม่ได้ จึงพากันกราบกรานศาลหลักเมือง-เผาบัญชีหนังหมาสาปแช่ง แสดงให้เห็นถึงการย้อนไปหาภูมิปัญญาดึกดำบรรพ์ในการต่อต้านกับกระแสโลกา ภิวัฒน์ได้อย่างชัดเจน
2 สิงหาคม, 2010 - 03:07 | โดย popculture
ประปา สุราเมืองนนท์
"ถึงแม้รูปแบบ “การ ป่วนทางวัฒนธรรม” จะมีข้อดีในแง่ของการดึงคนหนุ่มสาวเข้ามาร่วมขบวนการ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า “การป่วนทางวัฒนธรรม” ควรเป็นแค่วิธีการ ไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง
“การ ป่วนทางวัฒนธรรม” เป็นกิจกรรมของคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการระบายความคับข้องใจต่อการที่บรรษัทเข้ามาช่วงชิงพื้นที่สาธารณะไป หมด แ...ต่สำหรับคนชนบทหรือชนชั้นล่าง “การป่วนทางวัฒนธรรม” อาจไม่มีความหมายสำหรับคนเหล่านี้"
Culture Jamming การป่วนทางวัฒนธรรม
ภัควดี ไม่มีนามสกุล
ผู้ เขียนสะดุดตากับถ้อยคำของคุณภัควดี จากหน้าเฟซบุ๊คของเพื่อนคนหนึ่งในค่ำคืนที่ไม่มีอะไรทำมากนัก มันจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจที่นึกย้อนไปถึงเรื่อง “การป่วนทางวัฒนธรรม-การประท้วงเชิงสัญลักษณ์” ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในปัจจุบัน
อาจ จะไม่มีหลักฐานอ้างอิง แต่ผู้เขียนรู้สึกเอาเองว่า “การประท้วงเชิงสัญลักษณ์” เริ่มถูกการบัญญัติให้เป็นคำที่สะดุดหูขึ้นมา ในยุคของกระแสการทวนกระแสเป็นกระแสหลักของปัญญาชนไทย พร้อมกับศัพท์ต่างๆ ที่ไหลบ่ามาในยุคเดียวกัน อาทิ อารยะขัดขืน, ประชาธิปไตยทางตรง, คนตัวเล็กๆ, เปลี่ยนโลกด้วยมือเรา, ทุนนิยมสามานย์, พลังของคนชายขอบ, การเมืองใหม่, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น
โดย ศัพท์แสงเหล่านี้ถูกหยิบมาใช้ในยุคที่ประเทศไทยมีเสรีภาพในการแสดงความคิด เห็นมากที่สุดในยุคหนึ่งนั่นก็คือในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งศัพท์ต่างๆ ที่ได้ยกขึ้นมานั้นก็อยู่ในหมวดการต่อต้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเช่นกัน
ผู้เขียนจึงลองติ๊ต่างไปเองว่า การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของไทย (ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่บวก) นั้นมักจะมีบุคลิก 3 อย่างของกลุ่มก้อนที่จะแสดงออกด้วยวิธีประท้วงเชิงสัญลักษณ์ คือจะต้องมีภาพลักษณ์ เป็นชนชั้นกลางพอสมควร-หรือไม่ก็ต้องดูเป็นปัญญาชนพอสมควร-หรือไม่ก็ต้องมีลักษณ์เป็นขบวนการบริสุทธิ์ผุดผ่องพอสมควร เช่น กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ คนรักสัตว์ กลุ่มต่อต้านโลกร้อน ขบวนการคนจนแท้ๆ ที่ไม่เอากับการเมืองแบบเลือกตั้ง เป็นต้น
สำหรับ การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ขบวนการกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ใช่มีแค่กลุ่มคนชนบทหรือกลุ่มลิ่วล้อทักษิณเท่า นั้น เพราะได้มีกลุ่มที่มีบุคลิก 3 อย่างที่ได้กล่าวไปมาร่วมขบวนมากขึ้นเรื่อยๆ และความหลากหลายในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นก็กำลังแบ่งโหมดทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
0 0 0
การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่โลกลืม
“ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ” เผาตัวตายประท้วงรัฐบาลชาติชาย
ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยทำมาก่อน และทำสำเร็จ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2533 โดยเขาใช้น้ำมันเบนซินราดและจุดไฟเผาตัวเอง ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อหน้าเพื่อนนักศึกษา ประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างการชุมนุมครบรอบ 14 ตุลา 2516 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.
หลังการเสียชีวิตของเขามีความพยายามจาก พล.อ.
“ฉลาด วรฉัตร” ผู้เกิดก่อนกาล
สบายๆ สไตล์ “ฉลาด วรฉัตร”
ในช่วงพฤษภา 2535 การอดข้าวและการนำม็อบของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง กลายเป็นไฮไลท์สำคัญที่บดบังส่วนประกอบอื่นของเหตุการณ์ครั้งนั้นไปเสียสิ้น แต่ในเหตุการณ์นั้นก็ยังมี “ฉลาด วรฉัตร” ปูชนีย์นักอารยะขัดขืนไทยที่ยังมีลมหายใจอยู่ ผู้เกิดก่อนกาลก่อนที่กระแสการยอมรับนับถือ “นักอารยะขัดขืนแบบตะวันตก” จะแพร่หลายมายังหมู่ปัญญาชนชนชั้นกลางไทย ร่วมแจมอดข้าวประท้วงด้วย (วีรกรรมของฉลาดมีมาก่อนหน้านั้น ปี 2523 อดข้าวประท้วงรัฐบาล พล.อ.
และก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 ฉลาดเคยประกาศอดข้าวจนตายซึ่งถือเป็นแรงกดดันที่สำคัญ กระทั่งนาย
มีนาคม 2549 ในห้วงเวลาที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สื่อมวลชน ปัญญาชน คนชั้นกลาง กำลังขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร อย่างเมามันนั้น ฉลาดกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยการพกเสื่อผืนหมอนใบมาปักหลักประท้วงหน้า รัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 2549 และหลังรัฐประหารฉลาดก็เป็นพลังประชาธิปไตยกลุ่มแรกที่ออกมาประท้วงอย่างฉับ พลัน (อ่านหัวข้อ “การประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันฉับพลันหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.
ฉลาด ไปไกลกว่านั้นอีก หลังประชาชนไทยส่วนใหญ่ตบหน้าสั่งสอนพลังอนุรักษ์นิยม ด้วยการเลือกพรรคพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 2550 เขายังประท้วงอยู่ในกรงขังตัวเองหน้ารัฐสภา เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้เสีย (ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าฉลาดเลิกประท้วงประเด็นนี้ไปหรือยัง?)
ถึง แม้เขาอาจจะมีชื่อเสียงน้อยกว่า “จำลอง ศรีเมือง” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกคนหนึ่งที่มีฉลาก “อดอาหาร” แปะไว้ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ฉลาดจะไม่เลือกอยู่ข้างประชาธิปไตย แบบที่จำลองได้ทำพลาดไปจนกู่ไม่กลับแล้วในขณะนี้
และ อาจจะกล่าวได้ว่า “ฉลาด วรฉัตร” คือความภูมิใจหนึ่งเดียวไทย บนสังเวียนนักอดอาหารประท้วงเพื่อประชาธิปไตย ที่เราสามารถเอาไปคุยกับชาวโลกได้ว่าบ้านเราก็มีนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่กับเขา เหมือนกัน
ลุง “สุรินทร์ สุรินทร์ก้อน” สู้กับอุทยาน
เดือน เมษายนปี 2539 นาย
การ ต่อสู้อันยาวนานของลุงสุรินทร์ ก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อสามารถได้พบนาย
"บาลทิพย์" ครอบครัวอารยะขัดขืน
ใน เดือนเมษายนปี 2541 นาย
นอก จากนี้นาย
จากนั้นในเดือนธันวาคม ปีถัดมา (2542) นายพรหมเนตรและนางสมพจน์ พร้อมลูกน้อยอีก 2 คน เดินทางไปยังบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือต่อนาย
โดย ระหว่างที่นายพรหมเนตรอยู่บนต้นไม้ ได้กล่าวตัดพ้อน้อยใจนาย
ครอบครัว "บาลทิพย์"ยังคงเดินบนเส้นทางแห่งการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ ข้ามมาในช่วงรัฐบาล “ทักษิณ” ในเดือนสิงหาคม ปี 2544 นาง
โดย การมาครั้งนี้ ครอบครัวบาลทิพย์ ต้องการมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการศึกษาและวัฒนธรรม วุฒิสภา เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องสถานที่เล่าเรียนให้กับ ด.ช.รโส เพราะอายุ 8 ขวบแล้ว แต่ยังไม่ได้เรียนหนังสือ
"ผม เคยไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาหลายกระทรวงแล้ว ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากราชการเลย พอมาที่รัฐสภาก็ยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐสภาขัดขวางไม่ให้มายื่นหนังสืออี ส่วนสาเหตุที่ลูกไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะครอบครัวต้องหาเช้ากินค่ำ เก็บของป่ามาขาย ไม่มีเงินพอถ้ายังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีก ในวันที่ 24 สิงหาคม ผมจะเอาน้ำกรดมาราดขาตัวเอง แต่ไม่รู้จะเป็นหน้าทำเนียบหรือหน้ารัฐสภาเพื่อให้คนในบ้านนี้เมืองนี้ได้ เห็น" พรหมเนตร กล่าวกับสื่อในครั้งนั้น
โดยก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว นายพรหมเนตรและนางสมพจน์ ได้หอบลูกน้อย 2 คน ไปถือป้ายร้องเรียนรัฐบาลที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว แต่เป็นประเด็นเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการในการขอติด ตั้งประปา ซึ่งเมื่อเข้าร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ผู้ว่ากลับบอกปัดให้ไปด่าพ.ต.ท.
จาก นั้นในเดือนกันยายนปีเดียวกัน นางสมพจน์ พร้อมด้วยนายพรหมเนตร บาลทิพย์ผู้เป็นสามีได้เดินทางมาปักหลักประท้วงที่หน้ารัฐสภาอีกครั้ง แต่ไม่ได้รับความสนใจ นายพรหมเนตร จึงสั่งให้นายสมพจน์ถอดเสื้อผ้าอวดชุดชั้นในสีขาวเพื่อเรียกร้องความสนใจอีก ครั้ง ซึ่งก็ได้ผลเพราะบรรดาช่างภาพต่างตรงเข้าบันทึกภาพทันที เจ้าหน้าที่จึงตามจับตัวนางสมพจน์กันชุลมุนเมื่อนางสมพจน์ได้วิ่งเข้ามาภาย ในบริเวณลานหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 7 ในที่สุดจึงได้ตัวนำมาที่อาคารรักษาความปลอดภัย ระหว่างนั้น น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ หรือน้องแบม ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย (ในขณะนั้น) นั่งรถยนต์ส่วนตัวมาเหตุการณ์พอดี จึงตรงเข้าไปเจรจากับนางสมพจน์ ขอร้องให้สวมเสื้อผ้าเสียแต่นางสมพจน์ไม่ยอม ร้องไห้และดิ้นหนี ทำให้น้องแบมต้องบุกเข้าไปปล้ำใส่เสื้อผ้าจนสำเร็จ ซึ่งนางสมพจน์ได้ร้องขอความช่วยเหลือเนื่องจากได้ปักหลักประทรวงมาเป็นเวลา แรมเดือนแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งน้องแบมได้ช่วยเหลือด้วยการให้เงินสดส่วนตัวจำนวน 1,000 บาท ทำให้นางสมพจน์และสามีเดินทางกลับไปปักหลักประท้วงที่หน้ารัฐสภาตามเดิม
ราดเอง เหม็นเอง
เดือน สิงหาคม 2544 นาย
แต่ ปรากฏว่าลุงช่วยได้จบแบบหักมุม ด้วยการเปิดถุงอุจจาระแล้วราดลงบนหัวตัวเอง จากนั้นลุงช่วยก็ได้ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้า ด้วยการเดินเข้าไปในธนาคาร และแจ้งความประสงค์ว่าต้องการถอนเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ฝากไว้อีก 200,000 บาท พร้อมกับประกาศเลิกเป็นลูกค้าของธนาคารต่อไป เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงรีบดำเนินการถอนเงิน 190,000 บาท เหลือติดบัญชีไว้ 10,000 บาท ให้กับลุงช่วยโดยทันที
เดือนกุมภาพันธ์ปี 2545 ลุงช่วยได้นำชาวบ้าน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ยังคงเดินทางมาชุมนุมยังกระทรวงการคลังต่อเป็นวันที่สอง เพื่อรองฟังผลสรุปการพิจารณาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการ ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมธนาคารออมสิน โดยมีข้อเรียกร้องให้ทางธนาคารออมสินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผู้เสียหาย จากการซื้อกองทุนรวมนี้ เนื่องจากเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิด
จาก นั้นมาลุงช่วยไปประท้วงติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาอีกหลายครั้ง จนมีประสบการณ์สั่งสมมากพอจนสามารถเปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของชาว บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกองทุนธนาคารออมสินขึ้นมา (โดยมีพิภพ ธงไชย ประธาน ครป. นาย
ขี้หมูราดตัว
เดือนสิงหาคม ปี 2544 เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในโครงการของ ธกส.จำนวนหนึ่ง ชุมนุมหน้าศาลากลางจ.นครปฐม เพื่อเรียกร้องให้ทางการเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่ได้รับ จากการเข้าร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงหมูเพื่อการส่งออกโดยในระหว่างการชุมนุมประท้วง นาง
โดย ก่อนการชุมนุม ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ได้เดินทางไปขอคำปรึกษาจากนาย
"ลิ่วล้อทักษิณ" ผู้เห็นแววตา "อนาคิน" ของ "สุรพล นิติไกรพจน์"
ใน เดือน มีนาคม 2549 ก่อนการรับประหารไม่กี่เดือน ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาประท้วงขับไล่ พ.ต.ท.
การประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันฉับพลันหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยาได้ไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายไทยรักไทยกำลังหนีหัวซุกหัวซุนส่วนปัญญาชนผู้สนับ สนุนประชาธิปไตยก็ยังคงกำลัง “ถกเถียง-วิเคราะห์สถานการณ์” กันอยู่นั้น “ทวี ไกรคุปต์” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าเก่า “ฉลาด วรฉัตร” ได้ลงมือปฏิบัติการณ์ท้าทายซึ่งหน้า (direct action?) ท้าทายคณะทหารอย่างฉับพลัน ด้วยการออกมาประท้วงที่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณถนนราชดำเนิน เป็นกลุ่มแรก
โดยทวีนั้นได้กางป้ายขนาดใหญ่สองป้ายระบุว่า “กระผม นาย
โดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้โปรยข่าวนี้ไว้อย่างน่ารักน่าชังว่า..
“ฉลาด วรฉัตร-ทวี ไกรคุปต์” ยังไม่สำนึก เดินหน้าเชลียร์ต่อ ตะแบงรักษาประชาธิปไตยนั่งประท้วงคณะปฏิรูปการปกครองฯ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ก่อนถูกทหารเชิญตัวไปพูดคุย”
ภาพ สะท้อนถึงการจดจำต่อเหตุการณ์ประท้วงเชิงสัญลักษณ์อันอุกอาจครั้งนี้คือ ผู้เขียนสามารถหารูปเหตุการณ์นี้ได้รูปเดียวและมีขนาดเพียง 200 × 290 พิกเซล โดยใช้คีย์เวิร์ดว่า “ทวี ไกรคุปต์ 19 กันยายน
เผาตัวไล่ประธาน “ยุทธ ตู้เย็น”
เดือนมีนาคม ปี 2551นาย แมน ตรวจมรรคา ได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดริมทางหน้ารัฐสภา จากนั้นเขาได้ถอดเสื้อและกางเกงออกจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวแล้วตะโกนด่า รัฐบาล และขอให้ นาย
เหตุการณ์นี้ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม ร.ต. ฉลาด วรฉัตร ซึ่งนั่งประท้วงอยู่บริเวณตรงข้ามหน้ารัฐสภา ได้ความว่า เห็นนายแมน ซึ่งมักชอบมาบริเวณนี้เป็นประจำ เดินไปมาและพูดจาต่างๆ นานา จับใจความไม่ได้ จึงไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีคนมาบอกว่านายแมนเผาตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ
เพื่อน ร่วมงานของแมนกล่าวว่า บางวันแมนจะขี่รถจักรยานยนต์มาจอด ขึ้นไปยืนบนรถแล้วเป่านกหวีดให้รถคันอื่นหยุด ชอบแต่งกายคล้ายทหาร และชอบขับรถไปที่รัฐสภาตะโกนด่านักการเมืองและคณะปฏิวัติคณะต่างๆ รวมทั้งเคยตะโกนขับไล่พล.อ.สุจินดา อาการทางประสาทมักจะกำเริบทุกวันพระ แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด
ไม่ต้องจ้าง กูอยากปา (1)
เดือนกุมพาพันธ์ ปี 2553 วิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ พ่อค้าเนื้อหมูย่านลาดพร้าว ใช้อุจาระโจมตีบ้านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผลแห่งการขัดขืนอารยะของเขา ศาลแขวงพระนครใต้ได้สั่งพิพากษาจำคุก 10 วัน แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 5 วัน เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงให้เปลี่ยนจากโทษจำคุกเป็นกักขัง แทน 5 วัน (ถูกนำตัวไปนอนเล่นที่ สน.ทองหล่อ เป็นเวลา 5 วัน)
ก่อน ก่อเหตุวิวิทวินเคยร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าข้างบ้านได้สูบบุหรี่แล้ว ควันบุหรี่ไปโดนลูก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการให้ จึงไปร้องเรียนกับทาง น.1 ว่าให้ดำเนินการในเรื่องนี้ให้ แต่ไม่เห็นตำรวจดำเนินการ ก็เลยกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถ้าหากว่าไม่ดำเนินการให้จะไปปาอุจจาระใส่ บ้านนายกรัฐมนตรี
และเขาก็ได้ปฏิบัติตามคำพูดทุกประการ
ไม่ต้องจ้าง กูอยากปา (2)
ต้นเดือนมีนาคม ปี 2553 สุรชัย เกิดดี อดีตพนักงานขับรถธนาคารทหารไทย บุกปาอุจจาระที่พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะยืนนิ่งอหิงสาให้ตำรวจจับนำตัวไปสอบสวน โดยทิ้งประโยคเด็ดไว้กับผู้สื่อข่าวว่า "ผมมีสิทธิ์ไม่ตอบ เป็นลูกผู้ชายพอ ทำแล้วไม่หนี"
โดย สาเหตุการประท้วงครั้งนี้ของสุรชัย เขาให้สาเหตุว่า เนื่องมาจากเกิดความเครียดที่มีสัญญาณคลื่นในอากาศมารบกวน ทำให้เกิดอาการปวดหัวและเครียดอย่างหนัก เคยร้องเรียนกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2541 แต่เรื่องดังกล่าวก็นิ่งเงียบไป โดยสุรชัยระบุว่าคนที่เป็นเหมือนตนที่ถูกคลื่นสัญญาณรบกวนคือ น.ส.
จาก การบุกประท้วงเดี่ยวของสุรชัย ศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาให้กักขังเขาเป็นเวลา 5 วัน ที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางปทุมธานี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม
จาก นั้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสุรชัยก็นำอุจจาระมาเรียกร้องความเป็นธรรมอีก ครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่าสัญญาณคลื่นที่รบกวนเขานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลทำให้ตน เองมีอาการเครียดและปวดหัวอยู่
ขณะ นี้สุรชัยถูกส่งตัวไปยังสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ในเบื้องต้นทางสถาบันฯ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรีนี้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนในการรักษา ซึ่งหลังจากอาการเป็นปกติทางตำรวจจะกลับมารับตัว แล้วมาดูกันว่าดำเนินคดีกับสุรชัยยังไงต่อไป
… นอกจากนี้ยังมีการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่โลกลืมอีกมากมายที่ผู้เขียนได้หลง ลืมไปบ้าง ก็หวังให้ท้ายความเห็นของบทความชิ้นนี้ผู้อ่านจะได้ช่วยกันทบทวนการต่อสู้ ของคนเล็กบ้างไม่เล็กบ้างที่ถูกละเลยไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น