โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
14 มิถุนายน 2553
เมื่อ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ “ประชาธิปไตย” นั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “อนาธิปไตย” ไว้ดังนี้
“ระบอบ ประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”
ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย .... ระบอบ เผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”
ท่าน ปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า “การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)”
แล้ว ท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่า “โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า... แต่ ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”
ท่าน ปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย
ข้าพเจ้า ขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม
ระบอบ ประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ”
ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่าน ปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. ท่าน ปรีดี ฝาก ไว้ เมื่อ วัน ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย
แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต 2489 ต่อ มา อีก 2 วัน คือ วัน ที่ 9 พฤษภาคม ท่าน ปรีดี ก็ ถวาย รัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 3 ให้ ในหลวง อานันท์ รัชกาล ที่ 8 ลง พระ ปรมาภิไธย แต่ อีก 1 เดือน ต่อ มา คือ ใน วัน ที่ 9 มิถุนายน ในหลวง อานันท์ ก็ ต้อง พระแสง ปืน เสด็จ สวรรคต
และ แล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นาย
จาก นั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ “ยุดมืดบอดทางการเมือง” กลายเป็น “ระบอบเผด็จการครึ่งใบ” อยู่ 10 ปีภายใต้ “ระบอบพิบูลสงคราม” ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “ระบอบเผด็จการเต็มใบ” ของ “ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลา” พ.ศ. 2501-2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี
ท่าน ปรีดีของเราต้องกลายเป็น “พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก “อนาธิปไตย” และ “เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526
ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย “อนาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตย” ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของ “ระบอบ5พันธมิตร” กับกิจกรรม “ล้มรัฐบาลสมัคร” กับ “โค่นระบอบทักษิณ” เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด “อนาธิไตย” อันนำมาสู่ “ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” หรือบานปลายไปจนเป็น “สงครามกลางเมือง” กลายเป็น “กลียุค”
หากเรา สามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน “ประชาธิปไตย” ไม่นำไป “สับสน” หรือ “ปนเปื้อน” กับ “อนาธิปไตย” อันจะนำเราไปสู่ “ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง
หรือ ว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ “พระอิศวรศิวะเทพ” ก็จะปรากฏกายเป็น “ศิวะนาฏราช” เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ “พระนารายณ์วิษณุเทพ” บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย “องค์ท้าวมหาพรหม” ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี “สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ” มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น