แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อนาธิปไตย กับ ประชาธิปไตย โดย ปรีดี พนม ยง ค์

โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
14 มิถุนายน 2553

เมื่อ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ ประชาธิปไตยนั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง ประชาธิปไตยกับ อนาธิปไตยไว้ดังนี้


ระบอบ ประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย


ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่าข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย .... ระบอบ เผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้


ท่าน ปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)

แล้ว ท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่าโดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า... แต่ ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า

ท่าน ปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่าข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย


ข้าพเจ้า ขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม


ระบอบ ประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ


ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่าน ปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. ท่าน ปรีดี ฝาก ไว้ เมื่อ วัน ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย

แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต 2489 ต่อ มา อีก 2 วัน คือ วัน ที่ 9 พฤษภาคม ท่าน ปรีดี ก็ ถวาย รัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 3 ให้ ในหลวง อานันท์ รัชกาล ที่ 8 ลง พระ ปรมาภิไธย แต่ อีก 1 เดือน ต่อ มา คือ ใน วัน ที่ 9 มิถุนายน ในหลวง อานันท์ ก็ ต้อง พระแสง ปืน เสด็จ สวรรคต

และ แล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า ปรีดี ฆ่าในหลวงท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฯ ก็หันไปร่วมมือกับ ระบอบทหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 แทน


จาก นั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ ยุดมืดบอดทางการเมืองกลายเป็นระบอบเผด็จการครึ่งใบอยู่ 10 ปีภายใต้ ระบอบพิบูลสงครามระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการเต็มใบของ ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาสอีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลาพ.ศ. 2501-2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี

ท่าน ปรีดีของเราต้องกลายเป็น พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก อนาธิปไตยและเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยมไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526

ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย อนาธิปไตยกับประชาธิปไตยทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของระบอบ5พันธมิตรกับกิจกรรม ล้มรัฐบาลสมัครกับ โค่นระบอบทักษิณเราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด อนาธิไตยอันนำมาสู่ ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยมหรือบานปลายไปจนเป็น สงครามกลางเมืองกลายเป็น กลียุค

หากเรา สามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน ประชาธิปไตยไม่นำไป สับสนหรือ ปนเปื้อนกับอนาธิปไตยอันจะนำเราไปสู่ ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง


หรือ ว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ พระอิศวรศิวะเทพก็จะปรากฏกายเป็นศิวะนาฏราชเหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ พระนารายณ์วิษณุเทพบันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย องค์ท้าวมหาพรหมที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน