แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์แฉ2มาตรฐานโจ่งครึ่มไม่ยุบปชป. ยกกรณี2พรรคแบบเดียวกันเป๊ะแต่กลับไม่ขาดอายุความ



ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยใน 2 กรณีของ 2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบ ให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีคดีพรรคประชาธิปัตย์นั้น กลับแตกต่างจากการพิจารณาคดีอื่น ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 พฤศจิกายน 2553


เมื่อว้นที่ 30 พฤศจิกายน 2553 ที่โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องคดียุบพรรค - คดีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์


โดยรายละเอียดมีดังนี้

คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมานี้ ในการสู้คดีโดยตลอดก็ปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต่อสู้ในข้อเท็จจริงเท่าไร ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ได้กระทำผิดกฎหมายและสมควรแก่การยุบพรรค แต่ว่าได้สู้ด้วยวิธีการพยายามดิสเครดิต หรือพยายามลดความน่าเชื่อถือของผู้ร้อง หรือพยานฝ่ายผู้ร้อง พยานฝ่ายตรงข้าม

ในตอนท้ายๆปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามล็อบบี้คนของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังได้ปรากฏหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ ทั้งภาพของการล็อบบี้ดังกล่าว และการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ได้พูดจาหารือกัน เพื่อที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากการถูกยุบพรรค

คลิปวีดีโอนี้ทำให้เชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญ และมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจาก การถูกยุบพรรค

มีเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพิสูจน์ว่าคลิปวีดีโอนั้นจริงหรือไม่จริง อย่างไร ใครทำอะไร ใครพูดอะไร ปรากฎว่า จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบพิสูจน์และสอบสวนว่า มีความพยายามล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญหรือมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บางคนที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือไม่

เรื่องดังกล่าว ผมเคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หากศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญย่อมขาดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่พิจารณาคดีใดๆ รวมถึงที่จะทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

จนถึงบัดนี้ จนถึงวันตัดสิน และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบ ยังไม่มีการพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นในความเห็นของผมซึ่งได้พูดมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมีความเห็นอย่างเดิมว่า ในขณะที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนี้ ก็ไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว

ต่อมาเมื่อมีคำวินิจฉัย ก็ต้องบอกว่าการที่วินิจฉัยไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาด ผมเองก็เคยเขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้ เสนอว่าประชาชนควรทำอะไร ถ้าไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ

ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ยุบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีความเสื่อมเสียและไม่น่าเชื่อถือมาก่อนแล้ว

ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าจากคำวินิจฉัยนั้นเกรงว่าจะเกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญหนักยิ่งขึ้นไปอีก

ประเด็น ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งขึ้นเพื่อที่จะวินิจฉัยนี้มีทั้งข้อ แต่สุดท้าย 4 5 ข้อไม่ได้วินิจฉัยวินิจฉัยไปข้อเดียวคือกระบวนการร้องของร้องผู้ ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งขึ้นเพื่อที่จะวินิจฉัยนี้มีทั้ง 5 ข้อ แต่สุดท้าย 4 ข้อไม่ได้วินิจฉัย วินิจฉัยไปข้อเดียว คือกระบวนการร้องของผู้ร้อง

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนทั่วไป ทั้งคนที่เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ผิดหรือเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด ทั้งสองฝ่ายนี้ก็เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วผิดหรือถูก ต้องเป็นไปตามความเชื่อของแต่ละคนแต่ละฝ่าย คงผิดหวังไปตามๆกัน เพราะอุตส่าห์ติดตามการพิจารณาคดีมาตั้งนานเป็นหลายๆเดือน และสุดท้ายไม่มีการวินิจฉัยเลย ใน 4 ประเด็นนั้น

ก็คงจะมีแต่แฟนพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ดีใจ ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องถูกยุบ ด้วยเหตุของการที่บางคนใช้คำว่าคนร้องแพ้ฟาวล์ไปทำนองนั้น

ซึ่งก็เป็นคำถามตามมาอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เหตุใดจึงไม่วินิจฉัยไปก่อนเลยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องแล้วเพราะเกินเวลาไปแล้ว

แต่ว่าที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาสำคัญที่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยต่อไปก็คือ ในคำวินิจฉัยนั้นมีปัญหา มีคำถามซึ่งก็ต้องถามต่อสังคมไทยด้วย ถามต่อนักกฎหมาย ถามต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง เป็นคำถามและปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย ตรรกะ เหตุผลและสามัญสำนึก

คือ คำวินิจฉัยนี้บอกว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะยื่นคำร้องหลังพ้นระยะเวลา 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด ระยะเวลา 15วัน ก็คือ 15 วันนับจากความปรากฏต่อนายทะเบียน

ปัญหามีว่า ความปรากฏต่อผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนนี้นับอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้อย่างไรหรือไม่ วินิจฉัยเรื่องทำนองเดียวกันนี้ไว้อย่างไร แล้วกรณีนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ความจริงก็มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี การยุบพรรคหลายพรรคที่เข้าข่ายทำนองเดียวกัน ขอยกตัวอย่าง 2 พรรคก็คือ กรณีพรรคไท ในคำวินิจฉัยซึ่งเขามีประเด็นทำนองเดียวกันว่า มีการสู้ว่าเรื่องมีมาตั้งนานแล้วผู้ร้องเพิ่งมาร้อง เลยเวลามาแล้วเพิ่งมาร้อง

ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ คดีพรรคไทบอกว่า วันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 27กันยายน 2545 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งมีบันทึกรายงานผู้ร้องจ่ายเงิน ก็คือ ถือเอาวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้อง

พอมาในกรณีของพรรคพลังธรรม พรรคพลังธรรมก็สู้ว่าเลยเวลามาแล้ว ผู้ร้องถึงจะมาร้อง ไม่มีอำนาจแล้ว ฝ่ายกกต. ฝ่ายนายทะเบียนพรรคการเมือง สู้ความว่า ได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 28 ตุลา 2546 เรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้สั่งยุบพรรคไทว่า วันที่ปรากฎต่อนายทะเบียนนั้น คือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเขาอ้างกรณีพรรคไท แล้วเขาก็มาสู้ในกรณีพรรคพลังธรรม คนที่สู้ความนี้ ในนามประธานกกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองคือนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมืองปัจจุบันเคยสู้ความมาแล้ว

และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในคราวนั้นว่า เห็นว่าวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้นคือวันที่ผู้ร้องได้ พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และก็มีความต่อไป ก็คือข้ออ้างของผู้ถูกร้องข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น


หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยในสองกรณีของ2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบ ให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ทีนี้มาในกรณีนี้ กรณีของพรรคประชาธิปัตย์นี้ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าในวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนคือวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งกกต.มีมติเสียงข้างมากให้ไปดำเนินการ เพราะฉะนั้นพอมายื่น ในวันที่ 26 เมษาก็เลยเกิน 15 วัน

ข้อเท็จจริงก็ปรากฎว่า วันที่ 17 ธันวาคม ที่มีมติกัน ไม่ใช่เป็นมติให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนไม่ได้ทำความเห็นก็หมายความว่านายทะเบียนยังไม่ได้พิจารณาเห็นชอบ ให้ร้อง ส่วนนายทะเบียนพอไปเป็นประธานกกต.ก็ลงมติว่าไม่เห็นชอบให้ไปยุบพรรค กกต. 3 คนเป็นเสียงข้างมาก บอกให้ส่งนายทะเบียนไปทำความเห็น

คนที่มีความเห็นให้ยุบพรรคมีคนเดียวคือ คุณวิสุทธิ์ โพธิแท่น

เมื่อเป็นอย่างนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่ที่จะ ไปร้อง ส่วนตัวเข้าก็ไม่เห็นชอบให้ร้องอยู่แล้ว จะนับจากวันที่ 17 ธันวา มันก็ไม่น่าจะถูก จะนับต้องมานับวันที่ 21 เมษา เมื่อทั้งนายทะเบียนพรรคก็เสนอให้ยุบ ในฐานะประธานกกต.และกกต.ทั้งคณะก็เห็นร่วมกันให้ไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการตามมาตรา 93 ในตอนวันที่ 17 ธันวาที่พิจารณาก็พูดมาตรา 95 ซึ่งไม่ใช่มาตราที่ว่าด้วยการไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้นการที่วินิจฉัยว่า วันที่เริ่มมีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้นคือวันที่ 17 ธันวา จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

และอีกอย่างหนึ่ง ที่สำคัญคือไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยในกรณียุบ พรรคอื่นๆมาแล้ว ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้ ที่เป็นความแตกต่างในการพิจารณาคดีนี้กับการพิจารณาคดีอื่น

เวลานี้ก็มีเสียงเรียกร้องว่า ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเป็นความบกพร่องของกกต. เป็นความบกพร่องของนายทะเบียน หรืออย่างไร ซึ่งผมคิดว่านายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ทั้งคณะก็คงจะต้องชี้แจง

แต่ว่าถ้าคิดแทนนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต. นายทะเบียนพรรคการเมืองคือคุณอภิชาติ เคยสู้ความมาแล้ว และเคยสู้ด้วยประเด็นว่า ความปรากฎต่อนายทะเบียนต้องนับจากวันที่นายทะเบียนพิจารณาและเห็นชอบให้ร้อง ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยตามนั้น คุณอภิชาติในฐานะนายทะเบียนก็ย่อมจะต้องเห็นว่านี่เป็นบรรทัดฐานที่กกต.จะ ต้องปฏิบัติตาม

มาถึงเวลาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิชาติพิจารณาแล้วยังไม่เห็นชอบให้ร้อง กกต.ก็ไม่ได้มีมติให้ร้อง เขาก็ยังไม่ไปดำเนินการร้อง รอต่อมาจนกระทั่งในฐานะนายทะเบียนและกกต.ทั้งคณะเห็นตรงกัน ให้ร้อง เขาจึงไปดำเนินการในเวลาต่อมา

เพราะฉะนั้นจะไปโทษกกต. ผมก็ดูแล้วไม่น่าจะถูก แต่ว่าถ้ามีเสียงเรียกร้องกกต.ก็ควรจะชี้แจงว่าเห็นด้วย แต่ผมยังคิดว่าประเด็นอยู่ที่การวินิจฉัย ประเด็นที่เป็นปัญหาน่าจะอยู่ที่การวินิจฉัย

ที่นี้ก็อยากจะวิเคราะห์ต่อไปถึงผลที่ตามมา ผลที่ตามมาจากกรณีอย่างนี้จะโดยเจตนาอย่างไรก็ตาม มันมีคำถามตามมามากมายทั้งในแง่ อย่างที่ว่าคือ ตรรกะ เหตุผล สามัญสำนึก ข้อกฎหมาย

ผลที่ตามมาก็คือ ถ้าไม่มีการชี้แจงให้ดี เรื่องนี้จะมีปัญหากระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเองมากยิ่งขึ้น เพราะว่าอย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญเดินเข้าสู่การตัดสินในขณะที่ผู้คนสงสัยว่า ที่คุยกันในคลิปวีดิโอนั้นจริงหรือไม่จริงอยู่แล้ว พอตัดสินออกมาเป็นประเด็นที่คนไม่คาดคิดด้วย

กรณีที่วินิจฉัยไปว่า มาร้องเมื่อเลยกำหนดมาแล้ว แม้แต่ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด ก็ไม่ได้สู้ประเด็นนี้ ไม่ได้สู้เพื่อประเด็นนี้เลย

ประเด็นนี้เมื่อมาไล่ข้อเท็จจริงเทียบกับของเดิมจะกระทบความน่าเชื่อถือ ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นว่า ทั้งหมดนี้จะ เป็นความพยายามเจตนาดีที่จะรักษาพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของระบบปัจจุบันเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็กลับจะกระทบต่อระบบในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น กระทบยิ่งกว่าถ้าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ

นอกจากนั้นจะทำให้ยังทิ้งปัญหาค้างไว้คือความไว้วางใจต่อกกต. ซึ่งเกิดปัญหานี้ขึ้นในขณะที่จะมีการเลือกตั้งขึ้นในปีหน้าแล้ว

เพราะฉะนั้นผลที่ตามมาก็จะเกิดเป็นความวิกฤตต่อความน่าเชื่อถือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะไม่หวังขึ้นระบบ จะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมและวิกฤตในสังคมหนักหน่วงยิ่งขึ้น



การวิเคราะห์อย่างนี้ก็จะเห็นว่า ตรงกันข้าม กับสิ่งที่นักธุรกิจและวิชาการบางส่วนได้ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ยุบน่ะดี แล้ว รัฐบาลจะได้มีเสถียรภาพ การเมืองจะได้มีเสถียรภาพ แต่ว่าผมยังเห็นว่าเรื่องมันจะเป็นตรงกันข้าม รัฐบาลอาจจะอยู่ต่อไปได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ แต่เมื่อมีวิกฤตความน่าเชื่อถือ คนไม่เชื่อถือระบบ คนไม่หวังพึ่งระบบ วิกฤตการเมืองของประเทศจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น และก็ยากต่อการแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น

ในอนาคตก็จะเป็นปัญหาต่อธุรกิจเอง

เพราะฉะนั้นก็ยังอยากจะเสนอเป็นข้อเสนอต่อประชาชน ต่อผู้ไม่เห็นด้วย และผู้ที่ต้องการให้เกิดความยุติธรรมทั้งหลายว่า ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรจะมีการศึกษาคำวินิจฉัย วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและเห็นปัญหาความไม่ถูกต้อง

เพื่อ จะไปหาทางสร้างความยุติธรรมโดยสันติวิธีต่อไป ไม่ควรจะไปหันหน้าเข้าหาวิถีทางอื่นใด แต่ว่าพยายามที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในระยะยาวถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็คงจะต้องไปแก้ศาลรัฐธรรมนูญให้มีที่ไป ที่มาที่ถูกต้องกว่านี้ และสามารถจะตรวจสอบได้มากกว่าปัจจุบัน

อยากให้มุ่งไปในทิศทางนี้ มากกว่าที่จะหมดหวังกับการหาทางออกให้กับสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน