15 ธันวาคม 2553
ผู้ บริหารของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่าเริ่มไหวตัวขยับแล้ว หลังจากถูกคนเสื้อแดงประกาศรวมพลังมากกว่า 20 ล้านคนคว่ำบาตรบอยคอต ไม่กินไม่ซื้อมาม่าเป็นเวลา 1 เดือน และหันไปอุดหนุนสินค้าของคู่แข่งอย่างไวไว หรือยำยำแทน โดยอ้างว่าสินค้าในเครือบริษัทสหพัฒนพิบูล สนับสนุนเผด็จการ
นางสาว พจนา พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการฝ่ายส่งออกของมาม่า และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพรสซิเด้นท์อินเตอร์ฟู้ด บริษัทในเครือของมาม่า ได้แจ้งผู้ถือหุ้นที่ร้องเรียนไปยังบริษัทมาม่าให้ชี้แจง หลังถูกบอยคอตว่า ขอขอบคุณที่ผู้ถือหุ้นไทยเพรสซิเดนท์ฟู้ดส์แจ้งข่าวการบอยคอตคว่ำบาตรมา ดิฉันจะส่งต่อ Link ข่าว ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
เครือ สหพัฒนพิบูลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของมาม่า รองลงมาคือนิสสันฟู้ดส์โปรดักส์ จากญี่ปุ่น ตามมาด้วยตระกูลพูนอุดมสิน ตระกูลพะเนียงเวทย์ และกลุ่มตระกูลตติยทวี มีนาย
ทั้ง นี้ผู้ถือหุ้นที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ ของบริษัทไทยเพรสิเด้นต์ฟู้ดส์ จำกัด(มหาชน) หรือTF เจ้าของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า แจ้งมายังไทยอีนิวส์ว่า อยากขอร้องให้คนเสื้อแดงอย่าเพิ่งรณรงค์คว่ำบาตรมาม่า เพราะว่าอาจเป็นความเข้าใจผิดพลาดกัน ควรรอให้ผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงก่อน เพราะมาม่าอยู่คู่คนไทยมา 35 ปี เป็นเจ้าตลาดอันดับ1ครองใจคนไทยมายาวนาน ไม่ควรนำเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
เขากล่าวว่า ช่วงปีนี้มาม่ามียอดขายดีมาก เพราะได้อานิสงส์ทั้งการแข่งฟุตบอลโลกตอนกลางปี คนอยู่ดูบอลดึก กินมาม่าเยอะมาก หรือตอนชุมนุมทางการเมือง คนไม่นิยมไปกินข้าวนอกบ้าน มาม่าก็ขายดี และตอนเดือนตุลาคมน้ำท่วมใหญ่ คนก็ซื้อมาม่าไปบริจาค ที่ว่ายอดขายตกน่าจะเข้าใจกันไม่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นราคาหุ้นของTFคงไม่ขึ้นตั้งมาก โดยราคาหุ้นขึ้นไป 1200 บาทต่อหุ้น ตอนนี้อยู่ที่1040บาทต่อหุ้น โดยขึ้นมาจากปีกลายแถว500บาทต่อหุ้น
"ผมว่าเข้าใจผิดกันมากกว่า คนเสื้อแดงน่าจะทำอย่างอื่นดีกว่าทำลายธุรกิจคนไทยด้วยก้น แต่ผู้บริหารมาม่าก็อย่านิ่งเฉย ควรรีบออกมาชี้แจงหน่อย ไม่เช่นนั้นก็จะกระทบต่อยอดขาย ต่อภาพลักษณ์ และส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นในที่สุด"ผู้ถือหุ้นมาม่า หรือ TF กล่าว
แฉมาม่าวิจัยทำไมส่วนแบ่งการตลาดทรุดฮวบ10%
หลัง จากที่เครือข่ายผู้บริโภคสีแดง ประกาศรณรงค์บอยคอตสินค้าที่สนับสนุนเผด็จการ โดยเริ่มต้นที่เครือสหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภครายใหญ่ ด้วยการจัดแคมเปญ"หยุดซื้อหยุดกินมาม่าเป็นเวลา1เดือน"ผ่านมา 1 สัปดาห์ และคาดการณ์ว่าจะมีคนไทยร่วมรณรงค์ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน
ล่าสุดช่วงเดียวกันนี้มีการศึกษาวิจัยหัวข้อเรื่อง "เหตุใด ส่วนแบ่งทางการตลาดของมาม่าจึงมีสัดส่วนที่ลดลง"
ทั้งนี้กลุ่มผู้ทำการศึกษาวิจัยได้เผยแพร่เอกสารดังกล่าวไว้ในระบบข้อมูลlearners ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของมาม่าที่เคยสูงถึงง 60%ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลดวูบลงมาเหลือราว 50%ในปัจจุบัน
รายงานระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ “มาม่า” ลดลงอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างคงที่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
ขณะ ที่คู่แข่งรายสำคัญของมาม่า คือไวไวอ้างว่าได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยนาย
บริษัท ยังคงตั้งเป้าการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของไวไว จากส่วนแบ่งตลาด 32% เพิ่มเป็น 34-35% หรือเพิ่มอีก 2-3%
คณะผู้วิจัยสาเหตุที่ส่วนแบ่งการตลาดมาม่าลดลง ระบุว่า
เหตุ ใด ส่วนแบ่งทางการตลาดของ “มาม่า” จึงมีสัดส่วนที่ลดลงในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจาก “มาม่า” เคยเป็นผู้นำตลาดธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากถึง 60% และถือว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดระยะเวลากว่า 35 ปี
แต่ ในปัจจุบัน “มาม่า” ได้มีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงมาเรื่อยๆ ทำให้ “มาม่า” ต้องการที่จะแก้ไขปัญหานี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะกลับมาครอง ส่วนแบ่งทางการตลาดให้เป็นเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา ในขณะที่คู่แข่งก็พยายามที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้นทุกๆ ปี จึงเป็นปัญหาหนักสำหรับ “มาม่า” ในการที่จะกลับมาครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้เท่าเดิม
ดังนั้น ”มาม่า” จึงต้องทำการวิจัยศึกษาว่า เพราะเหตุใด “มาม่า”จึงมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง และจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เพื่อให้ตนเองนั้นได้กลับมามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมได้
ทั้งนี้ผู้บริหารมาม่าอ้างว่า ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดลดลงมาเหลือราว 50% ขณะที่คู่แข่งขันของมาม่าอ้างว่าเหลือราว 48% โดยผู้บริหารมาม่าอ้างว่า ตลาดบะหมี่สำเร็จรูป ณ ปัจจุบันใกล้อิ่มตัวแล้ว กับมูลค่าการตลาดราว 12,000 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งข้ออ้างดังกล่าวถือว่า สวนทางกับทั่วโลก ที่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเป็น 158.7 พันล้านซอง ในปี 2553
ขณะ ที่การจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการไทย ในปี 2553 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,200 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 5-6 มาม่ายังมีส่วนแบ่งการตลาด เป็ นอันดับ 1 ที่ 50%
ปัจจุบันมาม่าเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 50% ไวไว 25-26% และยำยำ 20%
ไทยเป็นผู้บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งในช่วงปี 2547-2551 มีอัตราการขยายตัวของปริมาณการบริโภคเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5.1 ต่อปี โดยในปี 2551 มีปริมาณการบริโภครวม 2.2 พันล้านซอง หรือคิดเป็นอัตราการบริโภคเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 35.5 ซอง/คน/ปี สูงกว่าอัตราการบริโภคเฉลี่ยของโลก ซึ่งอยู่ที่ 23.7 ซอง/คน/ปี แสดงให้เห็นว่า ในปัจจุบันคนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณที่สูงกว่าอัตราการบริโภค เฉลี่ยของโลกอยู่มาก
กลุ่มผู้วิจัยระบุว่า แต่อย่างไรก็ดี “มาม่า” กลับมีส่วนแบ่งการตลาดจะมีตัวเลขที่ลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม ทำให้ผู้จัยมีความต้องการที่จะศึกษาว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ “มาม่า” ลดลง และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวแปรให้ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
มั่นใจคนไทยไม่น้อยกว่า20ล้านต้านสินค้าเผด็จการคึกคัก
เครือ ข่ายผู้บริโภคสีแดง ได้ประกาศเริ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อองค์กรธุรกิจที่ให้การสนับสนุน ระบอบปกครองเผด็จการอำมาตย์ และได้รับการเกื้อหนุนจากฝ่ายเผด็จการ โดยประกาศเริ่มต้นคว่ำบาตรเศรษฐกิจต่อเครือสหพัฒนพิบูล ของตระกูลโชควัฒนา ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของประเทศ ด้วยการจัดแคมเปญ"หยุดซื้อ หยุดกินมาม่า เป็นเวลา 1 เดือน"เริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ปรากฎว่าเกิดกระแสตอบรับอย่างกว้างขวาง
ขณะที่เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงได้ตั้งเป้าหมายให้คนไทยเกินกว่า 20 ล้านคนเข้าร่วมแคมเปญนี้
เครือ ข่ายผู้บริโภคสีแดงได้คิกออฟ เริ่มแคมเปญนี้เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 8 ธันาวคมที่ผ่านมานี้ โดยให้เหตุผลว่า เหตุที่ต้องเริ่มต้นด้วยการบอยคอต"มาม่า"ก็เพื่อจะได้โฟกัสอย่างชัดเจน และทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ในทันที
เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศ เป้าหมายว่า น่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการรณรงค์ครั้งนี้เกินกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ โดยอิงบนพื้นฐานคนไทยที่เลือกพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลที่มีมากกว่า 19ล้านเสียง หากนับรวมคนในครอบครัวของผู้มีสิทธิออกเสียงเหล่านี้ก็ควรมีคนเข้าร่วมแคม เปญนี้เกินกว่า 20 ล้านคนแน่ เนื่องจากคนเหล่านี้ถูกปล้นสิทธิ์ปล้นเสียงจากอำนาจเผด็จการ และผู้สนับสนุนอย่างสินค้าหนุนเผด็จการทั้งหลาย
อย่างไรก็ตามปัจจัย ความสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับการรณรงค์ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางที่สุด โดยหวังว่าจะมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กันแบบปากต่อปากให้กระจายเป็นไฟไหม้ ลามทุ่งออกไปในระยะ 1 เดือนแรกของโครงการนี้
มีธุรกิจที่สนับสนุน เผด็จการอำมาตย์ และได้รับการเกื้อหนุนต่างตอบแทนอยู่มากมาย ทำให้เผด็จการยังแข็งแกร่ง ร่วมพลังกันคว่ำบาตรเพื่อสั่นคลอนฐานรากเผด็จการ เริ่มต้นที่เครือสหพัฒนพิบูล ของตระกูลโชควัฒนา ทำได้ง่ายๆเพียงแค่'หยุดซื้อ หยุดกินมาม่าเป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกันทั่วไทยทั่วโลก' นับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2553 ไปถึงวันที่ 8 มกราคม 2554 หรือจนกว่าเครือสหพัฒนพิบูลจะได้ตระหนักสำนึกถึงพลังของผู้บริโภคชาวไทยที่ เรียกร้องต้องการประชาธิปไตย ชิงชังระบอบปกครองเผด็จการ
เครือข่าย ผู้บริโภคสีแดงมีเป้าหมายที่จะรณรงค์แคมเปญนี้ขยายผลไปยังองค์กรธุรกิจอื่นๆ ที่ฝักใฝ่สนับสนุนระบอบเผด็จการ หรือได้ประโยชน์จากระบอบปกครองเผด็จการในระยะต่อไปเมื่อสิ้นสุดแคมเปญคว่ำ บาตรต่อมาม่าในระยะเวลา 1 เดือน
เหตุที่มาม่าตกเป็นเป้าหมายการเริ่ม ต้นรณรงค์นี้ก็เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคยอดนิยม และจะแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนชาวไทยผู้เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยได้ อย่างกว้างขวางที่สุด และทุกคนสามารถเข้าร่วมการรณรงค์ได้ทันที เพียงแต่หยุดซื้อ หยุดบริโภคพร้อมๆกันทั่วไทยและทั่วโลก
ผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า เป็นของบริษัท ไทยเพสซิเด้นท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ในเครือของสหพัฒนพิบูล ซึ่ง ผู้บริหารได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากระบอบเผด็จการ รวมทั้งเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญแก่กลุ่มพันธมิตรในการโค่นล้มรัฐบาลจากการ เลือกตั้งของประชาชนไทย มีบทบาทสำคัญในสภาหอการค้าไทยที่ออกมารณรงค์ขับไล่รัฐบาลจากการเลือกตั้งของ ประชาชน และสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเทพประทาน รวมทั้งยังออกหน้าออกตาในการสนับสนุนเผด็จการ ต่อต้านความเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ทั้งที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนไทยทั้งประเทศ เครือสหพัฒน์จึงต้องได้รับบทเรียนจากพลังผู้บริโภคชาวไทย หากไม่ตระหนักสำนึก ก็ต้องถูกคว่ำบาตรตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะ 1 เดือนของการรณรงค์นี้เท่านั้น
'เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงตั้งเป้าหมาย ว่าในระยะ 1 เดือน หากประชาชนชาวไทยร่วมกันอย่างจริงจังทุกคนทุกครัวเรือน น่าจะได้เห็นยอดขายของมาม่าตกลงมาอย่างชัดเจน และจะเป็นการกระตุ้นเตือนให้เครือสหพัฒน์ และบรรดาองค์กรธุรกิจต่างๆที่เป็นมือไม้ให้เผด็จการต้องตระหนักสำนึกว่า พวกเขาควรวางตำแหน่งจุดยืนในทางการเมืองอย่างไรให้ถูกต้อง เราไม่ได้กดดันให้กลุ่มธุรกิจต้องมามีจุดยืนสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย แค่ให้พวกเขาหยุดการเป็นมือไม้เป็นสปอนเซอร์ให้พวกเผด็จการอย่างออกนอกหน้า หรือประกาศความเป็นกลางทางการเมืองก็นับว่าน่าพอใจกับการรณรงค์นี้ และเราหวังว่าท้ายที่สุดอำนาจของฝ่ายเผด็จการจะไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป หากขาดการเกื้อหนุนจากธุรกิจต่างๆ"เครือข่ายฯระบุ
เมื่อสิ้นปีที่ แล้วไทยเพรสซิเด้นท์ฟู้ดส์ เจ้าของผลิตภัณฑ์มาม่ามียอดขาย8,482ล้านบาท และปีนี้เฉพาะ9เดือนแรกมียอดขาย6,629ล้านบาท กำไรสุทธิงวด9เดือนนี้1,028ล้านบาท
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 12/15/2010 01:58:00 หลังเที่ยง Share on Facebook
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น