แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กองทัพไืทยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน?


จาก การให้ัสัมภาษณ์ที่เหนือจริงต่อหนังสือพิมพ์เอเชียไทม์ออนไลน์เมื่อไม่นานมา นี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยืนยันว่ากองทัพไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน แม้ว่านายอภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ค่อยแยแสเรื่องความเป็นเป็นจริง มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่คำพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นคำพูดที่เพ้อฝัน นายอภิสิทธิ์เป็นหนี้บุญคุณเหล่านายพลที่ช่วยอุ้มสมนายอภิสิทธิ์ให้ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นนายอภิิสิทธิ์น่าจะดีว่าอะไรเป็นอะไร และแน่นอน การดำรงอยู่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่สิ่งเดียวที่แสดง ว่าพลเรือนไม่สามารถควบคุมกองทัพได้ แต่ยังมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชอบคุยโวโอ้อวดอยู่เป็นประจำ ซึ่งต่างจากผู้บัญชาการทหารบกคนเก่า พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถหักห้ามความต้องการที่จะย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ว่าตนเอง เป็นคนควบคุมประเทศอยู่

ความจริงคือ กองทัพไทยแทบจะไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนเลย ที่แย่กว่านั้นคือ ทุกวันนี้ เหล่านายพลมีอำนาจมากขึ้นกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วมาก นอกจากกองทัพไทยจะทำรัฐประหารมากกว่ากองทัพใดในโลกสมัยใหม่ในโลกแล้ว กองทัพไทยยังมีอำนาจในทุกมุมของการเมืองไทย ขณะเดียวกันงบประมาณของกองทัพไทยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังจากรัฐประหารในปี 2549 รวมถึงเหตุการณ์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมยังแสดงให้เห็นว่าหน้าที่และ พันธกรณีของกองทัพมีต่อคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่เกินกว่า จะวิเคราะห์ได้ และนี่คือเรื่องหนึ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง หากประเทศจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พลเรือนส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบว่าผู้บัญชาการทหารบกเป็นใคร และที่น้อยกว่านั้นคือพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจเกิดรัฐประหาร หรือพฤติกรรมคุยโวของผู้บัญชาการทหารบกอยู่เป็นประจำ

เราไม่ใช่คนแรกที่หยิบยกประเด็นที่ว่ากองทัพไทยไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้อง ประเทศจากภัยภายนอก แต่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยส่วนตัวเพื่อปกป้องกลุ่มอำมาตย์ (ซึ่งรวมถึงนายพลระดับสูง) จากความต้องการประชาธิปไตยของประชาชน และยังกองทัพยังมีอำนาจล้นเหลือทางการเมืองในการทำหน้าที่ยับยั้งเครือข่าย ทางการเมืองอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน กลุ่มอำมาตย์ได้สร้างภาพและครอบงำระบบทางการเมือง โดยใช้ข้ออ้าง ความเป็นไทยซึ่งที่จริงแล้วการกระทำของกลุ่มอำมาตย์ไม่ได้ลักษณะเฉพาะของความเป็นไทยเลย เพราะกองทัพไทยมีความคล้สยคลึงกับกองทัพที่โหดร้ายทารุณในช่วงยุค 70 และต้นยุค 80 ของหลายประเทศ เช่น บราซิล ชิลี และอาร์เจนติน่า ในหนังสือ Militarization, Democracy and Development นาย Kirk Bowman อธิบายลักษณะของกองทัพในประเทศละตินอเมริกาว่า

ลักษณะแรก มีการความเชื่อว่าเป็นประเพณีอันเก่าแก่และยาวนานที่หน่วยรักษาความมั่นคง ของประเทศละตินอเมริกาจะต้องปกป้องพลเมืองแห่งปิตุภูมิจากค่านิยมที่ก้าว หน้า และมรหน้าที่สนับสนุนความเชื่อและประเพณีดั้งเดิม กองทัพในประเทศละตินอเมริกามีประเพณีอันยาวนานในการให้ความสนใจกับเรื่องภาย ในประเทศ ทั้งยังมีการแต่งตั้งกันเอง และหากเชื่อว่าปิตุภูมิถูกคุกคาม กองทัพสามารถใช้อำนาจทางรัฐธรรมนูญในการแทรกแซงและล้มเลิกรัฐบาลพลเรือน สิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมืองได้

ลักษณะที่สองคือ ประเทศละตินอเมริกาได้รับอิทธิพลจากการกระทำและนโยบายของสหรัฐอย่างมาก ซึ่งกดดันให้กองทัพของละตินอเมริกาต้องต่อสู่กับศัตรูภายในประเทศ

ลักษณะที่สามคือ ประเทศที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแวดล้อมว่ามีภัยภายในประเทศ และไม่ค่อยมีภัยจากภายนอกทำให้สถาบันพลเรือนและรัฐอ่อนแอ รวมถึงกองทัพมักจะสนใจแต่เรื่องภายในและอยากที่จะยึดอำนาจทางการเมือง

คำกล่าวของนาย Bowman อาจฟังคุ้นหูสำหรับผู้ที่สนใจการเมืองไทย กองทัพไทยไม่เคยรับผิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน การสังหารหมู่ และการยึดอำนาจเมื่อระบอบประชาธิปไตยคุกคามกลุ่มอำมาตย์และผลประโยชน์ของ กลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งไม่แตกต่างจากเหล่าผู้นำกองทัพในละตินอเมริกา ต้องขอบคุณสหรัฐที่สนับสนุน รวมถึงการปราศจากภัยคุกคามจากภายนอก ทำให้กองทัพไทยใช้เวลากว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาทุ่มเทเพิ่มพูนอำนาจและงบ ประมาณ โดยการทำลายหลักนิติรัฐ สถาบันพลเรือน สมรรถภาพของรัฐ และเสรีภาพของประชาชนชาวไทย

สิ่งที่แตกต่างคือ ในขณะที่ประเทศอย่างอาร์เจนติน่า บราซิล และชิลี (ไม่รวมถึงเกาหลีใต้และไต้หวัน) ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้อดีตผู้นำกองกำลังใต้ดินที่เคยถูกทรมานโดยกองทัพในยุค 70 ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีในบราซิล กองทัพไทยยังคงเข้มแข็ง จุ้นจ้าน และโหดร้าย และแน่นอนที่สุด มันยากที่จะจินตนาการอนาคตของประเทศไทยที่จะก้าวไปสู่การเป็นประเทศ ประชาธิปไตยและพัฒนา ตราบใดที่กองทัพยังมีอำนาจ โกงกิน และไม่ลังเลที่จะยิงสังหารประชาชนของตนเองอยู่

ท้ายที่สุดแล้ว การยุบกองทัพทั้งหมด หรือเดินตามตัวอย่างของประเทศคอสตราริกา หรือล่าสุดคือประเทศปานามา อาจจะเป็นที่ง่ายกว่าในการพยายามปฏิรูปสถาบันที่ขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยก้าว ไปสู่สภาวะปกติ

Read more from ประเทศไทย, โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน