สำนักข่าวเอเอฟพีนำเสนอบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม เขียนโดยซาราห์ สจ๊วร์ต ระบุว่า พ.ต.ท.
เอเอฟพีระบุว่า นายอภิสิทธิ์ซึ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการลงคะแนนเลือกโดยสมาชิก รัฐสภาถือว่าเป็นขั้วที่ตรงกันข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อ 10 ปีที่แล้วจากเสียงสนับสนุนของคนชนบทที่ยากจนส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิง โดย พ.ต.ท.ทักษิณต้องถือว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมยืดเยื้อยาวนานเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันแล้วในกรุงเทพฯ
ส่วนนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีรูปหล่อ วัย 45 ปี ต้องใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นยังสามารถสงบนิ่งไม่แสดงอาการ ใดๆ ได้ในยามต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงที่เรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยเขามองว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกตั้งจ นกว่ารัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระในสิ้นปีหน้า
ไมเคิล เนลสัน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณนำวิธีการบริหารงานแบบ "ซีอีโอ" มาใช้ นายอภิสิทธิ์ยึดถือแม่พิมพ์ตามแบบดั้งเดิมของผู้นำไทยที่ยึดระบบราชการแบบมี พิธีรีตองและมีรูปแบบของนักวิชาการซึ่งเนลสันระบุว่า "มีข้อได้เปรียบ อยู่ที่เป็นวิถีทางที่ทำให้เขาเป็นที่รักใคร่ของกองทัพ องคมนตรี และกลุ่มอำมาตย์ในกรุงเทพฯ แต่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเขากับประชาชน"
"ส่วนทักษิณนั้นแตกต่างไปอย่างมากเนื่องจากเขาค่อนข้างเป็นคนที่ไม่เคย เก็บอารมณ์ มักจะพูดจาแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ และกระตือรือร้นมาก โดยจะไม่จัดการกับปัญหาทีละอย่าง แต่ชอบแก้ปัญหาหลายๆ เรื่องไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว" เนลสันระบุ
เอเอฟพีระบุว่า นายอภิสิทธิ์ได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น สำหรับผลงานการประคับประคองอายุของรัฐบาลนี้ ให้บริหารประเทศมาได้ถึง 15 เดือน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ไม่จบไม่สิ้น ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกและปัญหาการก่อความไม่สงบในภาคใต้ เขายังได้รับการยกย่องชมเชย กับการนำพาเศรษฐกิจพ้นจากภาวะถดถอย
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นที่จดจำจากความสำเร็จของนโยบายประชานิยมของเขา ที่ครองใจคนในชนบท ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่สนใจข้อกล่าวหาที่ว่าช่วงปี 2544-2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เต็มไปด้วยการทุจริต การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง และเมื่อนายอภิสิทธิ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้ให้สัญญาว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน แต่นักวิเคราะห์มองว่าเขาล้มเหลวในการทำให้ประเทศนี้เกิดความสมานฉันท์
เอเอฟพีระบุว่า แม้ว่าไทย จะยังไม่เข้าใกล้ภาวะที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ดังที่มีบางคนทำนายไว้ แต่เห็นได้ชัดว่า ยังคงมีความแตกแยกอย่างชัดเจนระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269796361&grpid=00&catid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น