ฤดูร้อนเดือนมีนาคม ปี 2553 ยิ่งร้อนขึ้นอีกหลายเท่า สำหรับอุณหภูมิทางสังคมและการเมือง เมื่อมีการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศ และก็มีความร้อนใจอันเกิดจากความไม่เข้าใจกันแพร่ลามไปในสังคม รวมทั้งในหมู่คนทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมด้วยกัน
ขบวนคนเสื้อแดงที่เปรียบเสมือนลาวาสีแดง หรือสึนามิการเมือง หลากไหลสาดซัดจากชนบทเข้าสู่เมืองกรุงช่วงวันที่ 13-14 มีนาคม 2553 เป็นพลังการเมืองที่ศิลปินควรพิจารณาอย่างมีสติ มิใช่อย่างมีอคติตามกระแสคนชั้นกลางบางส่วน เพราะศิลปินที่แท้จริงย่อมมีมนุษยธรรมในหัวใจ เห็นอกเห็นใจผู้ที่ลำบากยากจน
มองวิเคราะห์อย่างหาสัจจะจากความเป็นจริง จะเห็นว่า แม้มวลชนเสื้อแดงประกอบด้วยหลากหลายชนชั้นและอาชีพ แต่จำนวนมากที่สุดคือคือคนรากหญ้า ที่กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางใหม่ในชนบท เป็นพลังทางการเมืองที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นมา และต้องการเวทีสำแดงบทบาททางการเมืองชนิดที่ใครก็มาขัดขวางมิได้
นี่คือการตื่นขึ้นมาของยักษ์หลับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุคปี 2475 ยุคการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 2500 หรือยุค 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนคนรากหญ้า กรรมกรชาวนา ยังเป็นยักษ์หลับ ยังไม่รู้สึกรู้สากับอำนาจอธิปไตยอันควรเป็นของตัวเอง เกมการเมืองประชาธิปไตยยุคก่อนๆ จึงเป็นเรื่องเล่นกันอยู่ในหมู่ชนชั้นปกครองเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ
เพื่อนศิลปินเพลงเพื่อชีวิต กวีเพื่อชีวิต หรือแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทยสมัยหลัง 14 ตุลาคม 2516 คงจำได้ว่า แม้นักศึกษาปัญญาชนและศิลปินเพื่อชีวิตจะพยายามปลุกระดมมวลชนกรรมกรชาวนา ทั้งในเมืองและชนบทให้ตื่นตัวกับประชาธิปไตย ก็นับเป็นเรื่องยากเข็น เพราะมวลชนยังรู้สึกว่าประชาธิปไตยนั้นกินไม่ได้
แต่ว่าหลังจากปี พ.ศ. 2544 ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ทำให้มวลชนคนรากหญ้ามองเห็นว่าประชาธิปไตยกินได้จริง พวกเขาจึงตื่นตัวขึ้นมาในแบบ "ไม่ต้องจ้าง กูมาเอง" และ "กูไม่กลัวเมิง" ไม่ว่า "เมิง" นั้นจะติดอาวุธสงครามตั้งแต่หัวจรดตีน
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งทำให้มวลชนตื่นตัวกว้างขวางยิ่งขึ้น เมื่อประจักษ์ชัดว่า พวกตนถูกปล้นอธิปไตยไปอย่างหน้าด้านๆ ตามมาด้วยขบวนตุลาการภิวัตน์ ซึ่งที่สุดกลายเป็น "ตุลาการวิวาท" เพราะทำให้ความขัดแย้งยิ่งปะทุรุนแรงขึ้น เนื่องจากเป็น "สองมาตรฐาน" ขาดความยุติธรรม
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปิดเผยโครงสร้างอัปลักษณ์ของการเมืองไทย ว่าแท้จริงแล้ว การเลือกตั้งเป็นเพียงละครลิงของระบบอำมาตย์ หากผลการเลือกตั้งจากมือประชาชนคนส่วนใหญ่ออกมาไม่ได้ดั่งใจพวกอำมาตย์ พวกอภิสิทธิ์ชน พวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว พวกเขาก็จะทุบทิ้งผลการเลือกตั้งนั้นด้วยวิธีต่างๆ โดยใช้กลไกรัฐที่อยู่ในกำมือ ได้แก่ กองทัพ, ศาล, คุกตะราง ฯลฯ
เพื่อนศิลปินที่รัก ศิลปินย่อมมิอาจตัดขาดตัวเองออกจากสังคม กวีมิใช่เพียงประดิดประดอยถ้อยคำ จิตรกรไม่ใช่แค่สลัดสีลงบนผ้าใบ นักเพลงมิใช่เพียงคนเพาะถั่วงอกตัวโน้ต ศิลปินกินข้าวที่ชาวนาปลูก อยู่ในบ้านที่สร้างด้วยแรงงานกรรมกร อุปโภคบริโภคผลจากหยาดเหงื่อแรงงานของผู้คน ในยุคสมัยมืดมน ผู้คนเดือดร้อน ศิลปินจึงต้องสร้างศิลปะในลักษณะของผู้ชูคบไฟและส่องโคมทองในความ มืด
แน่นอนว่าขบวนคนเสื้อแดง หนาแน่นด้วยคนรักทักษิณ นี่คือข้อดีของจิตใจแบบชนบทที่ รักใครรักจริง ไม่ทอดทิ้งยามยาก ใครเคยทำดีไว้ให้ พวกเขาไม่ลืม ลบคำสบประมาทว่า "คนไทยลืมง่าย"
แท้จริงปรากฏการณ์ทักษิณ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่รากฐานอันใหญ่โตของภูเขาน้ำแข็งนี้คือการตื่นตัวขึ้นมาของมวลชนคนรากหญ้า ยักษ์หลับได้ตื่นขึ้นแล้ว และสำแดงบทบาทร่วมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย นี่คือสิ่งที่ศิลปินที่มีหัวใจ รักประชาธิปไตยปรารถนามาเนิ่นนานแล้วมิใช่หรือ
ดังนั้น เพื่อนศิลปินที่เคยมองปรากฏการณ์เหล่านี้ด้วยกระแสอคติใดๆ ก็ตาม โปรดพิจารณาไตร่ตรองเสียใหม่ หากหัวใจศิลปินสิ้นไร้มนุษยธรรม ไม่แยแสกับความทุกข์ของคนรากหญ้า มัวหมกมุ่นกับเศษข้าวที่เขาขุน ยอมสูญเสียวิญญาณเสรีชนจนกลายเป็นเพียงฝุ่นใต้ตีน หลงใหลอามิสรางวัล ยังจะหลงเหลือความงามใดๆอีกในหัวใจศิลปิน
นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว โอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ร่วมมือกับมวลชนสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ ประชาธิปไตยไทยให้เป็นจริง หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาเกือบ 80 ปี
ด้วยภราดรภาพ
13 มีนาคม 2553
เครือข่ายประชาชนนักเขียน ศิลปินประชาธิปไตย
PWAD (People writer artist democracy)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น