แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

สร้างภาพ-นายกเปิดทำเนียบให้นิสิตนักศึกษาเข้าพบ ตอบคำถามสลายชุมนุม – พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


12 Sep, 2010 | Author: Blackhead | No Comments »

สนนท. แถลงเดือด นายกเปิดให้นักศึกษาเข้าพบที่ทำเนียบเป็นการเล่นปาหี่ตบตาประชาชน เรียกร้องหยุดสร้างภาพ ปรองดองบนคราบเลือด อภิสิทธิ์ยันถ้าความสูญเสียทั้งหมด เกิดจากการสั่งปราบปรามการชุมนุม ผมไม่อยู่ถึงวันนี้หรอก

เว็บไซต์มติชน รายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่10กันยายน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบคำถามนิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมเสวนานิสิตนักศึกษาพบนายกรัฐมนตรีซึ่งบางส่วนจะถูกนำไปออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ในสุดสัปดาห์นี้ ถึงกรณีที่นักศึกษาที่ จ.เชียงรายที่ชูป้ายคัดค้านการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกควบคุมตัวและส่งไปบำบัดจิต และกรณีที่นสพ.เรดเพาเวอร์ถูกปิดเพียงเพราะมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง กัน ว่า รัฐบาลนี้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ กฎหมายพิเศษ ไม่เฉพาะในการชุมนุมทางการเมือง แต่รวมถึงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับกิจกรรมทางการเมือง ยืนยันว่าสามารถเคลื่อนไหวได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่ละเมิดแนวทางที่ศาลแพ่งเคยวินิจฉัยไว้ 5 ข้อ อาทิ ต้องไม่ปิดถนน ละเมิดสิทธิของคนอื่น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าทุกครั้งที่มีข่าวว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินกระทบกับกิจกรรมของนิสิตนัก ศึกษา ตนจะตรวจสอบและให้ดำเนินการตามแนวทางที่ควรจะเป็น บาง กรณีมีความเข้าใจผิด คิดว่าการเรียกตัวไปเป็นหมายจับ ทั้งที่จริงไม่ใช่ เป็นเพียงการเรียกตัวไปสอบถาม และเท่าที่ตนตรวจสอบไม่มีนักศึกษาคนใดถูกดำเนินคดี สำหรับการควบคุมตัวตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีการใช้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะถูกดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยืนยันว่าไม่มีการปกปิดรายชื่อผู้ถูกควบคุมตัว และไม่มีใครเป็นนักโทษการเมือง เพราะนักโทษการเมืองน่าจะหมายถึงคนที่ถูกจับ เพราะมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน ซึ่งไม่มีเพราะคนที่ถูกคุมตัวทุกคนทำผิดกฎหมาย เช่น ผิดฐานก่อการร้าย

ความจริงการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีเยอะ กรณีคนเสื้อแดงไปทำกิจกรรมที่สวนลุมพินี ก็ไม่ถูกดำเนินการใดๆ หากไม่ผิดเงื่อนไข 5 ข้อตามที่ศาลแพ่งวางเอาไว้ สำหรับการปิดนสพ.เรดเพาเวอร์ ยืนยันว่าไม่ใช่การปิดสื่อ เพราะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันทางการเมือง แต่ที่มีปัญหาเพราะทำผิดกฎหมายอื่น ซึ่งต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่ามีกฎหมายฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับสื่อที่ต้องแก้ไข คือพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 ที่ยังขาดความชัดเจน จนทำให้เกิดปัญหานายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า นักศึกษาที่ จ.เชียงรายแค่ชูป้ายถูกคุมตัวและจับไปบำบัดจิต นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรืออาจารย์ยิ้ม อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกคุมตัวโดยไม่แจ้งข้อหาแล้ว แต่เหตุใดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมหน้ายูเนสโกถึงไม่มีใช้ อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีอาจารย์ยิ้มที่ทราบภายหลังว่ามีปัญหาสุขภาพ ตนก็ได้ประสานไปขอให้ดูแล แต่ยอมรับว่าบางเรื่องก็ดูแลไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่พอทราบว่ามีปัญหาก็ให้เข้าไปดูแล กรณีกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อมีการปิดถนน ตนก็ให้ตำรวจเข้าไปเจรจา รอบหลังที่จะมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ก็มีการเจรจาจนย้ายที่สำเร็จ

เมื่อถามว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้อง เพิ่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหม (กห.) จากปีที่แล้วถึงกว่า 7 หมื่นล้านบาท ราวเป็นกว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งที่การใช้งบของกห.ที่ผ่านมาหลายอย่างก็มีปัญหา ทั้งการจัดซื้อเรือเหาะที่บินไม่ได้ หรือเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดจีที 200 ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นของเก๊ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การ เพิ่มขึ้นของงบของกห. ถ้าตนจำไม่ผิด ไม่ได้สูงกว่าสัดส่วนงบของปีก่อนๆ ถามว่าจำเป็นแค่ไหน ตนได้ดูเรื่องนี้เชิงระบบ โดยนำไปเปรียบเทียบกับงบพัฒนากองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน ปรากฏว่าเรามีค่าใช้จ่ายด้านนี้ต่ำที่สุดในภูมิภาค ส่วนการใช้งบจะถูกผิดอย่างไร ต้องไปว่ากันอีกครั้ง

เมื่อถามว่าเหตุใดนายกฯถึงไม่รีบลงจากอำนาจ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ 91 ศพที่เสียชีวิต นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความจริงรัฐบาลนี้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะอยู่จนถึงสิ้นปีหน้า และก่อนหน้านี้หากผู้ชุมนุมรับข้อเสนอของตน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว ความจริงพวกเขา ปฏิเสธข้อเสนอของตนไปอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งแรก หากนำข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ไปทำประชามติ ป่านนี้ก็มีการเลือกตั้งไปแล้ว 2-3 เดือนก่อน แต่ฝ่ายโน้นก็ปฏิเสธ เพราะคนต่างประเทศไม่เห็นด้วย ครั้งที่สอง ระหว่าง ชุมนุมปลายพ.ค.ที่ผ่านมา ที่ตนไปนั่งโต๊ะเจรจา มีการเสนอให้เลือกตั้งปลายปี แต่ปรากฏว่าต้องเลิกเจรจา เพราะมีโทรศัพท์เข้ามาขอให้ฝ่ายโน้นเลิกเจรจา ครั้งสุดท้าย ตนเสนอให้เลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ย.2553 แต่สุดท้ายแกนนำคนเสื้อแดงก็ไม่ยอมรับ

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องความสูญเสีย ตนต้องขอความเป็นธรรม เพราะยืนยันไม่เคยมีนโยบายให้ปราบปรามหรือยิงประชาชน ความสูญเสียที่เกิดขึ้น มี 3 ช่วงเวลา ครั้งแรก วันที่ 10 เม.ย. ซึ่งเจ้าหน้าที่เริ่มขอคืนพื้นที่ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหนึ่งทุ่ม ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ความสูญเสียเริ่มเกิดขึ้น นับแต่มีการยิงเอ็ม 79 เข้ามา ทำให้ทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ช่วง ที่สอง ระหว่าง วันที่ 14-18 พ.ค. ตอนนั้นรัฐบาลเห็นว่าการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนาน และปีนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่มีระเบิดยิงใส่ผู้ชุมนุม มีแต่ระเบิดยิงออกมาจากผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ยังพบอาวุธสงคราในบริเวณใกล้เคียงที่ชุมนุมจำนวนมาก เป็นเหตุให้ต้องมีการกระชับวงล้อม ถามว่าทำไมเกิดความสูญเสีย เพราะมีคนเข้าโจมตีด่านของทหาร ช่วงนี้เกิดความสูญเสียมากที่สุด

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ช่วงสุดท้าย วันที่ 19 พ.ค.ที่มีการเข้า ยึดพื้นที่ชุมนุมแล้ว ซึ่งทำให้เกิดกรณีเสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนารามขึ้นมา ซึ่งต้องตรวจสอบกันต่อไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีการตั้งคนกลางเข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยมีนโยบายจะทำให้ประชาชนเกิดความสูญเสีย เพราะตอนที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศยุติการชุมนุม เราก็สั่งให้ทหารยุติปฏิบัติการทั้งหมด ทั้งที่แยกสารสิน ถนนชิดลม และสนามศุภชลาศัย แต่ปรากฏว่าเมื่อยุติการชุมนุม มีการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์และสยามสแควร์ แต่ปรากฏว่าเมื่อนำรถดับเพลิงเข้าไปแล้วถูกยิงกลับมา ทำให้เกิดการต่อสู้ที่ถนนพระรามที่ 1 ซึ่งอาจทำให้เกิดกรณีวัดปทุมฯขึ้นหรือไม่

ความจริงแล้ว ถ้าความสูญเสียทั้งหมด เกิดจากการสั่งปราบปรามการชุมนุม ผมไม่อยู่ถึงวันนี้หรอก ลาออกไปนานแล้ว ดังนั้นควรจะให้คนกลางเข้าไปตรวจสอบ ความจริงตัวผมเองก็ยืนยันว่าไม่มีเจตนาอยู่ครบเทอม แต่ก็ไม่ต้องการให้การเลือกตั้งอยู่กับความรุนแรง โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อ หนึ่ง ต้องไม่มีการประกาศไล่ล่ากัน หรือห้ามไม่ให้พรรคการเมืองนี้เข้าไปหาเสียงในพื้นที่ใด สอง ผมไม่ต้องการเลือกตั้งที่ต้องมาถกเถียงเรื่องกติกาอีก เวลาเกิดปัญหาขึ้น ว่าควรยุบหรือไม่ยุบพรรค ถ้าสองเงื่อนไขนี้มีเมื่อไร ผมพร้อมจะยุบสภา ผมไม่ได้เกรงกลัวว่าจะแพ้การเลือกตั้ง เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวอะไรอยู่แล้ว ที่สำคัญช่วงที่ผมอยู่ มีเลือกตั้งซ่อมหลายครั้ง ผมก็แพ้น้อยมากนายอภิสิทธิ์ กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้าที่จะมีการเข้าพบปะระหว่างนิสิตนักศึกษากับนายกรัฐมนตรีนั้น สหพันธนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ได้ออกแถลงการณ์ ชื่อ 10 กันยา รู้ทันนายกรัฐมนตรี โดย ระบุว่า การพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนิสิตนักศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงปาหี่ตบตา ประชาชนเท่านั้น แต่การที่ สนนท. ตัดสินใจเข้าร่วมในการพบปะดังกล่าว ไม่ใช่การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะละครตบตาที่ชื่อว่ากระบวนการปฏิรูปประเทศหรือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลมือเปื้อนเลือดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เข้าร่วมการพบปะเพื่อทวงถามข้อสงสัย ชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อมูลบางอย่าง ที่หวังว่าจะช่วยให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถาม และพิจารณาถึงความไม่ชอบธรรมในการใช้อำนาจบริหารงานองรัฐบาลชุดนี้

สนนท. ระบุด้วยว่า ไม่มีรัฐบาลใดจะมีความชอบธรรมในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากไปกว่า รัฐบาลที่มาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่ด้วยความช่วยเหลือของทหาร การยุบสภายังคงเป็นวิถีทางในการรับฟังกระแสตอบรับของประชาชนที่ดีที่สุด ที่รัฐบาลปัจจุบัน สมควรจะทำ

000

แถลงการณ์ 10 กันยา รู้ทันนายกรัฐมนตรี

ตามที่สโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดให้มีงาน นิสิตนักศึกษาพบนายก รัฐมนตรีขึ้นในวันที่ 10 กันยายนนี้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงาน จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลนั้น สามารถพิจารณาได้ว่างานดังกล่าว เป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของนักศึกษากลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน ที่ได้พยายามชูป้ายประท้วงและยื่นจดหมายต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมากล่าวปาฐกถาในงานวันครบรอบ 60 ปี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่กลับถูกขัดขวางโดยคณะผู้ดูแลงาน จนทำให้กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวไม่สามารถใช้สิทธิ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างที่ควรจะเป็น ในสังคมที่กล่าวอ้างว่ายึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ซึ่งเป็นที่มาของการจัดงานในครั้งนี้ พวกเรามีความเห็นว่า การพบนิสิตและนักศึกษา ของนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงละครปาหี่ตบตาประชาชนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น พวกเราทราบดีว่างานที่ถูกจัดขึ้นนี้ เป็นเพียงเครื่องมือ ที่นายกรัฐมนตรีจะใช้ในการสร้างภาพ ว่าตนเป็นบุคคลที่เปิดกว้าง รับฟังคำติชม และยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง นั่นหมายความว่า นิสิตนักศึกษา ที่มาในวันนี้ จะกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหยิบใช้ เพื่อบริหารความนิยมชมชอบ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีให้กับรัฐบาลมือเปื้อนเลือดเท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใด ตามคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีเอง ที่ว่า การกระทำสำคัญที่สุด ถ้ากระทำไปในทิศทางเดียวกับคำพูดยิ่งแสดงให้พวกเราได้เห็นว่า ทุกสิ่งที่อย่างที่รัฐบาลทำ ความพยายามจะสร้างภาพความปรองดองสมานฉันท์นั้น เป็นเพียงการปิดบังความจริงด้วยวิธีการอันฉาบฉวย

ถ้านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ มีจิตใจเปิดกว้าง รับฟังคำติชม และยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจริง ศพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อย 91 ศพ จะไม่มีวันเกิดขึ้น เป็น 91 ศพ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เป็น 91 ศพ ที่เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ การได้หายใจในบรรยากาศของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไม่อาจมีความกล้าหาญที่จะเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนให้กับประเทศชาติได้ การปราบปรามประชาชนผู้เห็นต่างก็เกิดขึ้น การกระทำที่ดูใจกว้างในวันนี้ วันที่ 10 กันยายน ช่างแตกต่างกันลิบลับกับการขอคืนพื้นที่ในวันเดียวกันนี้เมื่อห้าเดือนที่ แล้ว

เราจะมีหลักประกันอะไร ว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าว จะไม่ใช่เรื่องลมๆแล้งๆ ดูสวยหรูแต่สร้างภาพอย่างที่เคยทำมา และเราจะมีหลักประกันอะไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ จะเป็นการรับฟังความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษาอย่างบริสุทธิ์ใจ ในเมื่อเพื่อนของเราบางคนยังถูกจับกุมคุมขัง และบางส่วนถูกส่งไปบำบัดทางจิต

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ขอแสดงจุดยืนต่อรัฐบาลเผด็จการมือเปื้อนเลือด และงานละครปาหี่ตบตาประชาชนในครั้งนี้ ว่า

1. งาน นิสิต นักศึกษา พบนายกรัฐมนตรีเป็นงานที่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ เป็นเพียงละครสร้างภาพตบตาประชาชนเท่านั้น นอกจากจะด้วยเหตุผลที่การกระทำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับคำพูดแล้ว การเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงานจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลนั้น แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรี ไม่เห็นคุณค่าความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษาอย่างแท้จริง และยังสำคัญตนเองเป็นใหญ่ เสมือนเรียกให้นิสิต นักศึกษาต้องเข้าพบ แทนที่จะยอมเดินทางไปรับฟังความคิดเห็นของนิสิตนักศึกษาจากในรั้ว มหาวิทยาลัยด้วยตนเอง

2. “การกระทำสำคัญที่สุด ถ้ากระทำไปในทิศทางเดียวกับคำพูดนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลต้องรู้จักการกระทำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับคำพูด นั่นคือ ไม่คุกคามสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษา และประชาชน เพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือ คนที่เห็นต่างจำนวนมาก ถูกรัฐบาลทำให้กลายเป็นศัตรูของชาติ และถูกจับกุมคุมขัง มีแต่คนที่มืดบอดทางสติปัญญาเท่านั้น ที่จะเชื่อคำกล่าวสร้างภาพของรัฐบาลว่าเป็นเรื่องจริง

พวกเราขอประกาศจุดยืนว่า การมาร่วมงาน นิสิต นักศึกษา พบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ไม่ใช่การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะละครตบตาที่ชื่อว่ากระบวนการปฏิรูปประเทศหรือมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลมือเปื้อนเลือดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เรามาเพื่อทวงถามข้อสงสัย ชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อมูลบางอย่าง ที่เราหวังว่าจะช่วยให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถาม และพิจารณาถึงความไม่ชอบธรรมในการใช้อำนาจบริหารงานองรัฐบาลชุดนี้

พวกเราเชื่อว่า ไม่มีรัฐบาลใดจะมีความชอบธรรมในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากไปกว่า รัฐบาลที่มาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่ด้วยความช่วยเหลือของทหาร การยุบสภายังคงเป็นวิถีทางในการรับฟังกระแสตอบรับของประชาชนที่ดีที่สุด ที่รัฐบาลปัจจุบัน สมควรจะทำ

หยุดสร้างภาพ หยุดการปรองดองบนกองเลือด
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)

Category กิจกรรมของรัฐบาล, เรื่องทั่วไป |

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน