| |
|
27 เมษายน 2553 นายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษากฎหมายปีที่ 2 ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อศาลปกครองสูงสุด ในกรณีความมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน พ.ศ.2548 และ มาตรการคำสั่ง กฎ ระเบียบของฝ่ายปกครองอันเกินสมควรแก่เหตุและใช้อำนาจดุลยพินิจที่เกินความจำ เป็น ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้รับพิจารณาคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ. 23/2553
ทั้งนี้ นายพุฒิพงศ์ ได้เขียนชี้แจงถึงจุดประสงค์ของการฟ้องครั้งนี้เผยแพร่ในเว็บไซต์หลายแห่ง และส่งถึง ‘ประชาไท’ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
0 0 0
ในฐานะนักศึกษากฎหมายคนนึง ไม่ทราบจะ "ช่วย" ในสิทธิแห่งชีวิต และร่างกาย ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างไร จึงขอใช้ความรู้เท่าที่พอจะทำได้ ในฐานะเช่นผม ก็คงเป็น "วิธี" นี้ โดยฟ้องไปยังศาลปกครองสูงสุด กรณีความมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และ มาตรการคำสั่ง กฎ ระเบียบ ของฝ่ายปกครองอันเกินสมควรแก่เหตุและใช้อำนาจดุลยพินิจที่เกินความจำเป็น ฯลฯ (ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดี คือ ๑.นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ๒.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)
ซึ่งศาลปกครองสูงสุด ในกรณีที่พิจารณาว่าอยู่ในเขตอำนาจศาลเพราะ "ทางเนื้อหา" เป็นการกระทำทางปกครอง ศาลก็คงต้องหยุดการพิจารณาคดีชั่วคราวโดยส่งคดีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยบางมาตราตามบรรยายฟ้องหรือตามที่ศาลเห็นเอง ตามมาตรา๒๑๑ วรรค๑ แห่งรัฐธรรมนูญ โดยระหว่างรอคำพิพากษาผมได้ขอให้ทุเลาการบังคับตามกฎ ระเบียบ คำสั่งต่างๆ และขอคุ้มครองชั่วคราว ฯลฯ ซึ่งส่งผลถึงกรณีคุ้มครองการชุมนุมสาธารณะด้วยจากการใช้มาตรการปราบปรามโดย ฝ่ายรัฐ "ถืออาวุธ" และ ยกเลิกคำสั่งตั้ง "ศอฉ"
แรกเริ่ม ผมลังเลว่า จะฟ้องดีมั้ย เพราะ "ผลคำวินิจฉัย" ? กับการ "ถูกเพ่งเล็งของผม" จากฝ่ายรัฐ จะคุ้มราคาที่ต้องจ่ายมั้ย? แต่ผมคงจะเสียใจหากตนไม่ได้ทำอะไรเลย ท่ามกลาง "ความสูญเสียชีวิตของเพื่อนมนุษย์ผู้ต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมือง ตามชุดการรับรู้และรสนิยมทางการเมืองของตน" (ที่ถูกเหยียดหยามว่าไร้สติปัญญา" บ้าง "โง่" บ้าง !!! ) เดิมผมตั้งใจจะฟ้องตั้งแต่วันจันทร์ ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ แต่ก็ด้วบความลังเล ในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ ก็ได้เดินทางไปศาลปกครองโดยลำพังเพื่อยื่นคำฟ้องคดี (นั่งรถเมล์ ๔ ต่อ)
แม้ ว่า อาจจะ "คาดหวังศาล" เสียทีเดียวคงไม่ได้ แต่คงจะดีกว่าที่ผมไม่ได้ "ทำอะไรเลย" การออกแต่แถลงการณ์ หรือเสวนาฯ ผมรู้สึกเศร้าถ้าผมทำได้เพียงเช่นนั้น อย่างน้อยผมคงใช้สิทธิทางการศาล (ตามความรู้ที่พอจะมีบ้าง) เพื่อความ "คาดหวัง" ชะลอ ยืดเวลาหรือระงับ การสูญเสียลงได้บ้าง
ตามเอกสารที่ผมแนบมานี้ เป็นเฉพาะส่วนของ "คำฟ้องคดี" สำหรับเอกสารประกอบอื่นๆ และพยานเอกสารไม่ได้แนบไว้ด้วยเนื่องจากมีจำนวนหลายสิบหน้า
ทั้งนี้ ผมซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ(ผมอายุ ๑๙ ปี ย่าง ๒๐ปี) ยังเป็น ผู้ไร้ความสามารถ ตาม ข้อ๒๖ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ผมต้องทำหนังสือขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม(เช่น บิดาหรือมารดา ที่จดทะเบียนสมรสแล้ว , มารดาเท่านั้น กรณีมิำได้จดทะเบียนสมรส) เอกสารฉบับนี้ ก็มิได้แนบไว้ในที่นี้ เพราะไม่เกี่ยวกับสาระของคดีที่จะรับทราบกัน
วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ ผมได้ยื่นคำฟ้อง ในเวลา ๑๖.๓๐ น ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายก่อนศาลปิดทำการ นับว่าทันท่วงที พอดี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๒๓/๒๕๕๓
ราวบ่าย วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ ผมได้โทรไปสอบถามความคืบหน้าของคดี ทราบว่ายังอยู่ระหว่างเลือกองค์คณะตุลาการ สำหรับคดีนี้อยู่ และโดยที่ในทางอินเตอร์เน็ตเว็บศาลปกครอง ณ ขณะนี้ยังไม่อัพเดทคดีนี้ขึ้นสู่ระบบครับ
สำหรับการต่อสู้ทางรูปธรรม ตามฐานานุรูปของผม คงจะทำได้ดีที่สุดเท่านี้
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
หมาย เหตุ : ผม (พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล) ขอสงวนสิทธิ์ในการสืบค้นหรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว หรือ สิทธิในความเป็นส่วนตัว ของผมหรือครอบครัว ไม่ว่าทางใดๆ หรืออ้างมูลเหตุใด ผมขอสงวนความเป็นส่วนตัวนี้ โดยจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง ตามแต่กรณี อย่างถึงที่สุด.
ปล.นี่เป็นการเขียนคำฟ้อง ครั้งแรกในชีวิตของผม อาจจะเขียน "ไม่ดี"นัก ในสายตานักกฎหมายอาชีพ ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา และความสามารถ จึงได้เท่าที่เห็น ผมคงทำได้เพียงเท่านี้(นอกจากออกบทความ และแถลงการณ์ต่างๆ) สำหรับ "สถานการณ์นี้" "
รายละเอียดคำฟ้องคดี
คดีหมายเลขดำที่ ฟ.๒๓ทับ๒๕๕๓
http://www.scribd.com/doc/30667875/
http://www.prachatai.com/journal/2010/04/29210
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น