แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เบื้อง หลังตำแหน่งประธานสภาสิทธิมนุษยชน UN โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เบื้องหลังตำแหน่งประธานสภาสิทธิมนุษยชน UN
โดย กาหลิบ

ฟังคำคุย ของรัฐบาลเกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ไทยเพิ่งได้รับมาหมาดๆ ทำให้เกิดความนึกคิดขึ้น ๒ อย่าง หนึ่งคือคนที่ยังไม่รู้เหตุผลเบื้องหลังอาจจะเผลอภูมิใจว่าเป็นเกียรติยศของ เมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ อีกอย่างคือ คนรู้ก็มีหน้าที่ต้องบอกเล่าเพื่อมิให้เมืองไทยยิ่งพลัดหลงเข้ารกเข้าพงของ ป่าสากล

เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้มันไม่เหมือนกับคำโฆษณาของรัฐบาล มหาอำมาตย์หรอกครับ

สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นหน่วยใหม่ที่ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ นี่เอง

ประกอบด้วยสมาชิก ๔๗ ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งนับเป็นเสียงข้างน้อยเพราะสมาชิกเต็มองค์คือ ๑๙๒ ประเทศ

ตัว ประธานสภาเลือกตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่แบ่งออกเป็น ๕ พื้นที่ ได้แก่ แอฟริกา ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก และประเทศตะวันตกอื่นๆ ละตินอเมริกาและแคร์ริปเบียน และเอเชีย เพื่อให้เป็นธรรมต่อสมาชิก เพราะทุกส่วนของโลกจะเวียนกันมาเป็นประธานได้

ข่าวแจ้งว่า เมื่อได้รับเลือกแล้ว รัฐบาลก็มอบหมายให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ทำหน้าที่เป็นประธานสภา รับเรื่องร้องทุกข์และวางแนวทางจัดการกับระเบียบด้านมนุษยชนของโลก

งาน ไม่ใช่เล็ก และดูเผินๆ ก็น่าภาคภูมิใจนัก

แต่เบื้องหลังอันแท้จริง นั้นลึกซึ้ง เล่าเป็นข้อๆ ไปจะชัดเจนกว่า

๑. การก่อตั้งสภาฯ และกลไกการเลือกประธานสภาฯ กระทำขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๔๙ ปีเดียวกับที่เกิดรัฐประหาร คปก./คมช. ในเมืองไทย โค่นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ชนะการเลือกตั้งสองครั้งซ้อนๆ แปลว่าตำแหน่งประธานสภาฯ ที่ไทยได้รับ เป็นผลการทำงาน ทั้งหาเสียงโน้มน้าวใจและวางแนวทางต่างๆ ในช่วงรัฐบาลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ผลงานของคณะรัฐประหาร รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และแน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แปลไทยเป็นไทย สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตั้งแต่การรัฐประหารมาจนบัดนี้ ที่รัฐบาลถึงกับใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนแล้วนั้น ไม่ได้ถูกรวมเป็นหลักฐานที่แสดงความพร้อมหรือไม่พร้อมของไทยเลย

อย่า ลืมว่ากลไกสหประชาชาติในบางครั้งก็ช้านานเหมือนระบบราชการทั่วไป ผลที่เห็นเดี๋ยวนี้มาจากการทำสะสมมาเป็นปีๆ ก็บ่อยไป

๒. นายสีหศักดิ์ฯ เข้าทำหน้าที่ประธานสภาฯ ครั้งนี้แบบส่วนตัว ไม่ใช่ในนามเอกอัครราชทูตและไม่ใช่ในนามรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แปลว่าถ้านายสีหศักดิ์ฯ พ้นจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตฯ เดี๋ยวนี้ ก็ยังคงทำหน้าที่ประธานสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้

ทำไมน่ะ หรือ?

ก็เพราะ หนึ่ง-การเข้ามาเป็นประธานของไทยที่เริ่มหาเสียงมาแต่ครั้งที่เป็น ประชาธิปไตยสมบูรณ์ มันลึกเกินกว่าที่จะหยุดยั้งได้ เสียงคัดค้านที่ระงมมาจาก NGOs และรัฐบาลบางประเทศว่าไทยไม่ควรเข้ารับตำแหน่ง จึงไม่มีผลทันการณ์ในการระงับยับยั้งความเป็นประธาน แต่กดดันจนเกิดการต่อรองว่าไทยอย่าเป็นประธานสภาฯ ในนามประเทศเลย ขอให้สีหศักดิ์ฯ เป็นแบบส่วนตัว เพื่อป้องกันข้อครหาดีกว่า

หมายความ ว่าวันนี้ไทยมิได้เป็นประธานสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพราะมีคนรังเกียจมาก แต่ให้คนของไทยที่เจรจาหาเสียงมาแต่ต้นเข้ามารั้งตำแหน่งไว้ก่อน เนื่องจากย้อนไปทำอะไรใหม่หมดไม่ไหว

อีกเหตุก็คือตัวคุณสีหศักดิ์ฯ เองที่มีบุคลิกลักษณะที่คนสหประชาชาติยอมรับ พูดง่ายๆ คือมีแฟนมาก ยอมรับในความสามารถและความเหมาะสมต่างๆ เป็นที่น่าเสียดายว่าคนอย่างนี้ไม่มีทัศนคติที่จะทำอะไรเพื่อฝ่ายประชาชนและ ประชาธิปไตยเท่าที่ควร จึงไม่มีประโยชน์ต่ออนาคตของชาตินัก

๓. คู่แข่งไทยในรอบสุดท้ายคือ บังกลาเทศ มัลดิฟส์ และเคอร์กิสถาน ล้วนแต่มีปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงมาก่อนไทยทั้งสิ้น บังกลาเทศยังถล่มกันกลางเมืองระหว่างค่ายต่างๆ จนถูกจัดเป็น รัฐล้มเหลวในปีนี้ด้วย มัลดิฟส์มีผู้นำที่หนีการเลือกตั้งมาแล้วกว่า ๒๐ ปี และเคอร์กิสถานก็เป็นอ่างเลือดที่ล้างกันไม่จบระหว่างชาวอุสเบ็คและชาวเคอร์ กิซที่คร่าชีวิตคนไปมากกว่า ๒,๐๐๐ ศพ

เทียบกันอย่างนี้ สถานการณ์ไทยก็ย่อมดูดีกว่าเป็นธรรมดา

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ไม่ใช่เพื่อตัดรอนผู้รักชาติที่ต้องการความภาคภูมิใจในความเป็นไทย เพียงแต่ขอให้ลืมตาให้สว่าง อย่าตามืดตาบอด และอย่าหลงเป็นเครื่องมือของคนโฉดชั่วที่ครองประเทศอยู่ในขณะนี้

ความ ภูมิใจของชาติอย่างแท้จริงมาจากความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น

ถ้า ประชาชนต้องอยู่อย่างสัตว์ หรือคนชั้นสอง จะไปเป็นตำแหน่งต่างๆ หาพระแสงด้ามยาวอะไรกันครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน