ที่มา มติชนออนไลน์
หลัง จากเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ผ่านไป กว่า 2 เดือนแล้วกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจหลังจากมีเจ้าหน้าที่ ทหารตำรวจ กระชับวงล้อมบีบให้เสื้อแดงต้องยุติการชุมนุมและแยกย้ายกันกลับบ้าน และคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงต่อในอีกหลายพื้นที่
กระทั่งล่าสุดกลุ่ม คนเสื้อแดงที่ถูกไล่กลับบ้านกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ที่ลานจอดรถสวนสยามในเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ก่อแก้ว พิกุลทอง
บรรยากาศ เวทีปราศรัยหาเสียงวันนั้นดูเหมือนจะเป็นเวทีปราศรัยการชุมนุมของคนเสื้อแดง มากกว่า เมื่อประชาชนทั่วทุกสารทิศแต่งกายด้วยชุดสีเสื้อแดงเสียเป็นส่วนใหญ่มาพร้อม กับสัญลักษณ์ธงแดง ตีนตบ ทุกคนต่างเดินทางมาที่สวนสยามเพื่อร่วมฟังแกนนำพรรคเพื่อนไทยปราศรัยหาเสียง บนเวทีท่ามกลางพื้นที่เฉอะแฉะหลังฝนตก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ประมาณคนลดลงทั้งที่เดินทางมาจับจองพื้นที่กันตั้งแต่ก่อน เที่ยงและทยอยมาเรื่อยๆในช่วงเย็น
ชมรมคนรักอุดร
สำหรับ ชาวบ้านที่เดินทางมาฟังปราศรัยมีทั้งคนในเขตเลือกตั้งและนอกเขตเลือกตั้งที่ ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนแต่เดินทางมาให้กำลังใจ บางคนมาไกลจากภาคอีสาน โดยเฉพาะกลุ่มคนรักอุดรที่นัดแนะกันมาให้กำลังใจนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เบอร์ 4
นาง ประยงค์ แก้วกล้า ชาวอุดรธานี บอกว่าเคยเป็นแม่ครัวให้กับผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์กว่า 2 เดือน และกลับบ้านเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ตอนที่มีการสลายการชุมนุม กลุ่มคนรักอุดรกว่า 10 คน เหมารถกระบะจ่ายคนละ 200 บาท เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวาน(22ก.ค.)เพื่อร่วมฟังปราศรัยและมาช่วยนายก่อแก้วหา เสียง โดยตระเวนขับรถไปยังเขตเลือกตั้งที่ 6 ไม่ค่อยรู้ทางกันเท่าไร ขับไปย่านคลองสามวา บึงกุ่ม นั่งท้ายกระบะโบกไม้โบกมือให้กับคนกรุงเทพฯตะโกนให้ช่วยลงคะแนนให้นายก่อ แก้ว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีคนกรุงเทพฯยังโบกมือให้พวกเราที่มาจากบ้าน นอก แม้จะไม่ค่อยรู้ทางแต่ก็ขับไปเรื่อยๆ
"พวกเรามาเองอยู่บ้านก็ อึดอัดเพราะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินจะใส่เสื้อสีแดงก็ไม่ได้เพราะมีคนคอยจับจ้องจึง เดินทางมาที่นี้เพราะว่าคิดถึงพี่น้องคนเสื้อแดงและแกนนำ พวกเรายังจำกันได้ดีตอนที่ถูกปืนไล่ยิงต้องหนีตายปีนรั้วโรงพยาบาลตำรวจเข้า ไปหลบภัย" นางประยงค์ กล่าว
ผ่องพรรณ ริยะขัน
น.ส."นับว่าเป็นจังหวะดีที่คนเสื้อแดง จะได้มาเจอกันมาเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นหลังจากที่เจอมรสุมมานาน สงสารชาวบ้านที่เขามาชุมนุมตอนที่เป็นพยาบาลอาสาก็ได้ช่วยแจกจ่ายยาให้ผู้ ชุมนุม ได้เห็นความอดทนของพวกเขาที่ต้องจากบ้านมาไกลมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูก ต้องความเป็นธรรมแต่สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านไปพร้อมความทุกข์ หากที่ไหนมีเวทีเสื้อแดงจะไปร่วมทุกครั้งและรอดูว่าที่จะมีการจัดคอนเสิร์ต ที่สมุทรสาครจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ถ้ามีก็ไป " น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว
ถวิล ขำวงค์ กับ ฐิตาลี ศรีธงไชย
น.ส. ฐิตาลี ศรีธงไชย ชาวโคราช เดินทางมาจากจังหวัดสมุทรสาครเพื่อมาร่วมฟังปราศรัยเหมารถกระบะมา 3 คัน มากันทั้งหมด 60 คน ให้สัมภาษณ์ว่า ยอมทิ้งบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับกลุ่มคนเสื้อแดงหลังจากที่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแวะเวียนไปหาที่บ้านถามหาบอกว่าจะช่วยเยียวยา ทั้งที่เราไม่ได้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตแทนที่จะไปช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บล้ม ตาย เชื่อว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์จึงตัดสินใจลาขาดจากบ้านเกิดโดยบอกแม่ให้แจ้ง เจ้าหน้าที่ว่าเราจะไม่กลับไปอีกแล้ว เพื่อที่ว่าเจ้าหน้าที่จะได้ไม่ต้องมารบกวนแม่ที่อายุมากแล้วให้เป็นทุกข์ และกังวลอีก
แม้เราจะไม่ใช่แกนนำก็ยังถูกตามไล่ล่าอีกแบบนี้ไม่มี ความยุติธรรมอีกแล้ว เชื่อว่าการติดตามของเจ้าหน้าที่เกิดจากการสแกนชื่อตอนที่ออกมาจากวัดปทุม วนาราม เมื่อวันที่ 20 พ.ค.
"ที่มาไม่ใช่ว่าเราจะชอบทักษิณ(พ.ต .ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เมื่อก่อนมาร่วมชุมนุมทุกวันหลังเลิกงานพวกเราก็เหมารถกันมาเอง ไม่ชอบที่ประเทศต้องมี 2 มาตรฐาน ไม่มีทางออกให้คนจน รู้สึกว่าตอนนี้โดนคุกคามโดนติดตาม มาเห็นเพื่อนเสื้อแดงวันนี้รู้สึกว่าดีใจ หลายคนที่เจอกันบอกเหมือนกันว่าโดนไล่ล่า ทางการบอกว่าเข้ามาหาในแบบปรองดองแต่กับคนตายไม่ไปเยียวยา แล้วตอนนี้เราจะไปบอกใครให้มาช่วยเราได้ จะสู้จนกว่าเราจะไม่มีชีวิตเพราะเราผ่านความกลัวที่สุดในชีวิตมาแล้ว การหนีตายจากเสียงปืนเสียงระเบิดไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ถ้าสู้ไม่ได้ก็ถอยทำอะไรได้ก็ทำไป คนที่มาวันนี้ล้วนแต่พกความแค้นไว้แทบทั้งนั้น " น.ส. ฐิตาลี กล่าว
ขณะ ที่นายถวิล ขำวงค์ ชาวจังหวัดตราด อายุ 45 ปี ที่ร่วมเดินทางมากับชาวสมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์ว่า ที่มาร่วมชุมนุมไม่ได้เดือดร้อนอะไรส่วนตัวแต่ทนไม่ได้ที่เห็นคนภาคเหนือกับ ภาคอีสานถูกดูถูกดูแคลน พวกเขาเลือกผู้นำประเทศมาก็ถูกกล่าวหาว่าโง่ขายเสียง พอมาร่วมชุมนุมก็ถูกไล่ยิงไล่กลับบ้าน ประเทศไม่มีความยุติธรรมในสังคมจึงเจ็บใจแทน แม้เราจะเป็นชาวจังหวัดตราดก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ สังคมไทยไม่ต้องการปรองดองเพียงแค่ผู้นำมีคุณธรรม จริยธรรมสังคมไทยจะเดินได้เอง
"การได้มาเห็นคนเสื้อแดงรวมตัว กันอีกครั้งได้เห็นภาพเก่าๆก็รู้สึกท้อใจอยากถามว่าสังคมเป็นอะไรไปทำไม ปล่อยให้ผู้นำประเทศโกหก หลอกลวง บางครั้งคิดว่าจะสู้ทำไม เพราะเราก็อยู่สบายแล้ว แต่ทนดูไม่ได้จริงๆวันที่เขาให้โทรเข้าไปแสดงความเห็นตามโครงการรัฐบาลผมโทร ไปถามว่า คนไทยโง่หรือนายกฯอภิสิทธิ์(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี)โกหกเก่ง คนตายยังไม่มีใครลุกขึ้นว่าทำไมไม่มีใครออกมาเรียกร้องหาคุณธรรมจากผู้นำ บ้าง" นายถวิล กล่าว
นายถวิล บอกอีกว่า ในวันที่มีการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์หลังจากที่แกนนำประกาศยุติตัวเอง ได้หนีเข้าไปหลบในวัดปทุมวนารามวรวิหารกับเพื่อนๆและไปนอนหมอบอยู่ข้าง พยาบาลอาสา 2 คนที่ถูกยิงเสียชีวิตและนักข่าวต่างชาติที่ถูกยิงบาดเจ็บ ชีวิตที่ต้องมานอนหมอบกระสุนในประเทศที่เรียกว่าประชาธิปไตย คนต้องมาหลบกระสุนปืนของทหารที่ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้า
"หลัง จากที่ผมช่วยหามคนแก่เข้าไปพฐมพยาบาลภายในวัดด้านใน นึกถึงสภาพที่หามคนเจ็บเข้าไปแล้วลูกชายของเขาเมื่อเห็นพ่อถูกยิงเริ่มสติ แตกเขาวิ่งถอดเสื้อเพื่อจะออกไปถามทหารว่า "ยิงพ่อกูทำไม" ยังดีที่มีคนเสื้อแดงคอยฉุดรั้งไม่ให้ออกไป จากนั้นผมกลับไปยังจุดเดิมที่มีคนหมอบอยู่ ตอนนั้นนักข่าวฝรั่งถูกยิงแล้วจะเข้าไปช่วยทันทีก็ไม่ได้เพราะกลัวถูกกระสุน ปืนต้องค่อยๆคืบคลานเลาะกำแพงเข้าไปหามเข้าไปในวัดชั้นในเพื่อปฐมพยาบาล แล้วคืนนั้นก็ไม่มีใครกล้านอนในที่โล่งต้องเข้าไปนอนอัดกันภายในป่าหลังวัด รอจนตอนสายวันรุ่งขึ้นตำรวจเข้ามารับบอกว่าหากทหารจะยิงต้องยิงนายตำรวจก่อน พวกเราถึงกล้าออกมา เห็นชัดว่าทุกคนเครียดมาก น้ำจะกินก็ยังไม่มี ตอนเช้ายังมีเสียงปืนดังอีกคิดดูว่าเหมือนอยู่ในสงคราม" นายถวิล กล่าว
ขณะ ที่ 2 ยายเสื้อแดงทีกำลังยืนรอรถอยู่ข้างถนนหน้าสวนสยามหารถที่จะผ่านไปแถวตลิ่ง ชั่นเพื่อจะต่อรถเมล์กลับบ้านที่พุทธมณฑล สาย 4 นางพร ตรีโครต อายุ 61 ปี ชาวจังหวัดหนองคายที่มาอยู่กรุงเทพฯกับลูกบอกว่า จะโบกรถไปแถวตลิ่งชั่นแต่ต้องดูให้ดีเพราะว่ามีรถผีด้วยจะเรียกแท็กซี่ก็ไม่ ได้รอโบกรถคนเสื้อแดงขอติดรถกลับด้วยดีกว่า
ระหว่างนั้นก็มีรถประจำ ทางสายหนึ่งผ่านมาคนบนรถเรียกยายทั้ง 2 ให้ขึ้นและบอกว่ารับแต่คนเสื้อแดงน่าเสียดายที่รถคันดังกล่าวไม่ได้ผ่านไป ทางตลิ่งชั่น
นางพร บอกว่า อึดอัดอยากมาร่วมชุมนุมวันนี้ขอลูกออกจากบ้านมาแต่เช้าจากพุทธมณฑลนั่งสาย 123 มาลงสนามหลวงและต่อรถเมล์สาย 60 มาถึงสวนสยาม แต่ตอนกลับไม่เห็นรถสาย 60
ขณะที่ถนนหน้าสวนสยามมีฝั่งละ 3 เลน มีรถจอดอยู่ 3 แถว และเหลือเพียงช่องทางเดียวให้รถผ่านไปได้ ทำให้การจราจรติดขัด หลังจากที่ยายทั้งสองยืนรอรถสักพักก็มีรถคนเสื้อแดงขับผ่านมาแล้วชวนยายขึ้น รถไปด้วยและยายก็ขึ้นรถไปอย่างไม่ลังเลบ อกว่าคนนี้จำได้รู้จักกันแม้ว่ารถคันดังกล่าวจะไปลาดพร้าวซึ่งเป็นคนละเส้น ทางแต่ยายก็ขอสัญจรไปกับคนที่ไว้ใจดีกว่าแม้จะต้องไปหลงอยู่แถวลาดพร้าวก็ ยอม แต่ไม่ยอมขึ้นรถคนแปลกหน้าเด็ดขาด
"กลัวกลับไม่ถึงบ้าน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น