วิคเตอร์ บูทกำลังจะถูกส่งตัวจากเรือนจำในกรุงเทพมหานครไปยังสหรัฐอเมริกา
โดยเครื่องบินเจ็ทชนิดพิเศษ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า
สหรัฐได้ตกลงอย่างลับๆอะไรกับรัฐบาลไทยบ้าง เพื่อขอให้ทางการไทย
ส่งตัวนายบูท http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2010/11/16/AR2010111600072.html?hpid=topnews ไปยังสหรัฐ
หากพิจารณาตามข้อมูลจะพบว่า การส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐนั้น
มีความสำคัญต่อรัฐบาลสหรัฐมาก อาชีพของนายบูท
ทำให้นายบูทเป็นแหล่งข่าวที่ดีเกี่ยวเรื่องการค้าอาวุธของรัฐบาลรัสเซียทั่วโลก
ซึ่งเพิ่มความสำคัญต่อการส่งตัวนายบูทมากขึ้น
นักข่าว นาย Douglas Farah http://www.robertamsterdam.com/2010/08/bouts_clout.htm
ได้กล่าวเกี่ยวกับกรณีของนายบูทว่า
“นายบูทอาจสามารถให้ข้อมูลเครือข่ายการค้าอาวุธของรัสเซียกับกองกำลัง
เคลื่อนไหวอาวุธจิฮาดิ ในโซมาเลียและเยเมน รวมถึงข้อมูลข่าวกรองทางการทหาร
และรายละเอียดสายบังคับบัญชาการของกองทัพในรัสเซีย
รวมถึงผลประโยชน์ที่รัสเซียมีต่อเวเนซูเอล่า อิหร่านและที่อื่นๆ
แม้ว่านายบูทจะมีอายุเพียงแค่ 43ปี
แต่ฐานข้อมูลของเขาอาจสามารถย้อนกลับไปได้ถึง 20ปี
และอาจจะสามารถขยายข้อมูลไปถึงนโยบายของรัฐบาลรัสเซียต่อประเทศอื่นๆทั่วโลก”
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ
หากนายบูทยอมเจรจาต่อรองกับสหรัฐนายบูทอาจให้ข้อมูลใหม่
ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรองนายกรัฐมนตรีไอกอร์ เซซิ่น และนี่คือเหตุผลว่า
ทำไมการส่งตัวนายบูทเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แน่นอนไม่มีอะไรประกันว่า
นายบูทจะยอมเปิดปากพูด นายบูทอาจจะปิดปากเงียบและปฎิเสธจะให้ข้อมูล
เพราะรัฐบาลรัสเซียเอามีดจ่อคอหอยครอบครัวนายบูทอยู่
และเราไม่ควรจะมองข้ามผลประโยชน์ของนายโอบามาที่อาจจะมีการ“ตัดสินใจใหม่”
โดยการส่งตัวนายบูทกลับรัสเซียแบบมีการ “แลกเปลี่ยนสายลับ” อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า
รัฐบาลไทยได้เจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อันมหาศาลกับสหรัฐ
และปฏิเสธข้อเสนออย่างงามจากรัสเซีย
เพื่อรับรองการส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐ รัฐบาลไทยกลายเป็นนักต่อรองที่กระตือรือร้น
เพราะถูกกดดันจากประชาคมโลกเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน
และการใช้อำนาจเด็ดขาดของรัฐที่เพิ่มมากขึ้น
รัฐบาลไทยคิดว่าทีความจำเป็นที่จะต้องซื้อเสียงสนับสนุนจากสหรัฐในทุกวิถีทาง
แม้ว่าข้อเสนอของรัสเซียจะดีแค่ไหน หรือรัสเซียจะข่มขู่ไทยอย่างไรก็ตาม
คำถามคือ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ผลประโยชน์อะไรจากข้อตกลงนี้
และข้อตกลงดังกล่าวมีผลประโยชน์ทางการเมือง
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อสหรัฐอย่างไร?
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ
รัฐบาลสหรัฐอาจนำยุทธศาสตร์สงครามเย็นกลับมาใช้ใหม่
โดยหากรัฐบาลไทยสนับสนุนผลประโยชน์ของสหรัฐ
รัฐบาลสหรัฐก็จะให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน
โดยอนุญาตให้รัฐบาลไทยทำอะไรก็ได้ในประเทศตัวเอง
ดูอย่างช่วงยุค 50, 60 และ 70
ที่สหรัฐ “อนุญาต” ให้เผด็จการโหดเหี้ยมอย่างสฤษดิ์ ธนรัชต์
และถนอม กิตติขจรปฏิบัติต่อประชาชนไทยอย่างป่าเถื่อน
สหรัฐให้การช่วยเหลือรัฐบาลไทยอย่างลับๆ
ในการสังหารหมู่ในปี 2516 และ 2519
ส่งเสริมกลุ่มกองกำลังที่ต่อต้าน ทรมานและสังหารคอมมิวนิสต์
รวมถึงรัฐประหารหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน
หรือการไม่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าว
นับตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพมหานครในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีนี้
ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย รัฐประหารปี 2549
ตามมาด้วยการปิดปังข้อมูลข่าวสารอันมหาศาล
และการคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคนของรัฐบาลไทย
รัฐบาลสหรัฐแทบจะไม่เคยตำหนิรัฐบาลไทยอย่างชัดแจ้งเลย
เราคาดว่าในจุดนี้ รัฐบาลสหรัฐคงจะไม่เปลี่ยนท่าทีง่ายๆ
และในขณะที่รัฐบาลสหรัฐเรียกร้องเสรีภาพในพม่า
แต่กลับหาทางที่จะลิดรอนเสรีภาพในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผลประโยชน์ที่ซับซ้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ
http://www.robertamsterdam.com/2010/08/bouts_clout.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น