Mon, 2010-11-22 17:09
เจ้า หน้าที่ระดับสูงในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทยเห็น ว่าการขึ้นบัญชีดำปิดกั้นเว็บไซต์ไม่ได้ผลและควรถูกยกเลิก
นาย
"เราต้องการปล่อยให้ผู้ปกครองและครูเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกคัดกรองอะไร เพราะ [ระบบปัจจุบันนี้] มันเกินกำลัง" นายธงชัยกล่าว
"บัญชีดำเว็บไซต์นั้นเพิ่มขนาดขึ้นมากจนเป็นภาระของผู้ให้บริการ การขึ้นบัญชีดำนี้ใช้การไม่ได้"
เมื่อพิจารณาจากกระแสของปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการคัดกรอง เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต เช่น ข้อจำกัดของการปิดกั้นและการไม่สามารถป้องกันการหลบเลี่ยงได้นั้น นายธงชัยกล่าวว่ารัฐบาลออสเตรเลียอาจแค่กำลังหาแรงสนับสนุนจากประชาชนต่อแผน การคัดกรองเว็บไซต์ที่ตอนนี้ล้าสมัยไปแล้ว
"คนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่ารัฐบาลกำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง ภาพพจน์ก็จะดูดี" นายธงชัยกล่าวกับ ZDNet
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยใช้วิธีขึ้นบัญชีดำ URL และการกรองเว็บไซต์ที่ระดับเกตเวย์ โดยถูกโจมตีอย่างมากจากกลุ่มนักกิจกรรมทางสังคมต่อการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ในทางกดขี่
นายธงชัยเสริมว่าการปิดกั้นเว็บไซต์โดยรัฐบาลนั้นเป็นไปตามคำสั่งศาล อย่างไรก็ตาม เคยมีการกล่าวอ้างว่าผู้ให้บริการที่ไม่ให้ความร่วมมือต่อการสั่งปิดกั้น อย่างไม่เป็นทางการนั้นจะต้องพบกับโทษบางอย่าง
การคัดกรองเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตนั้นยังถูกโจมตีจากนักกิจกรรมทางสังคมใน นิวซีแลนด์ หลังจากที่ระบบดังกล่าวถูกประกาศใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
มาร์ติน ค็อกเกอร์ ผู้อำนวยการองค์กรเพื่อเด็กและเยาวชน NetSafe ในนิวซีแลนด์ กล่าวแก่ ZDNet ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการคัดกรองเว็บไซต์ เนื่องจากไม่สามารถป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายได้จริง แต่ก็ยอมรับว่ามันช่วยขัดขวางได้บ้าง
แผนการคัดกรองเนื้อหาออนไลน์ของนิวซีแลนด์ต่างจากของออสเตรเลียตรงที่มี การปิดกั้นเพียงเนื้อหาอนาจารเด็กเท่านั้น โดยมีบริษัท Telecom NZ เป็นผู้เริ่มทดลองดำเนินการแผนนี้
แปลและเรียบเรียงจาก http://www.zdnet.com.au/our-blacklist-has-failed-us-thai-minister-339307333.htm
รัฐบาลออสเตรเลียมีนโยบายคัดกรองเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต โดยจะทำให้มีการปิดกั้นเนื้อหาลามก ความรุนแรง ภาษาหยาบคาย การใช้ยาเสพติด ไปจนถึงเนื้อหาอนาจารเด็ก โดยรวมเนื้อหาที่เคยถูกจำกัดอายุไว้แล้ว ตั้งแต่เนื้อหาที่ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้าชม ไปจนถึงเนื้อหาที่ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าชม ทั้งนี้ จากสถิติเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 มีการลงรายการที่ต้องปิดกั้นไว้ 1,175 หน้าเว็บ มีเพียงร้อยละ 18 เท่านั้นที่เป็นเนื้อหาอนาจารเด็ก อย่าง ไรก็ตาม หลังจากการทบทวนแนวนโยบายแล้ว ประเทศออสเตรเลียต้องรอเวลาอีกหนึ่งปีก่อนการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้กฎหมายนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา ซึ่งพรรคฝ่ายค้านยังคงคัดค้านอยู่ นอกจากนั้นแล้วนโยบายดังกล่าวยังถูกคัดค้านโดยนักวิชาการ ผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการอย่าง Google และ Yahoo พรรคการเมืองอื่น และองค์กรรณรงค์ด้านเสรีภาพออนไลน์อย่าง Electronic Frontiers Australia มาโดยตลอด ปัจจุบัน พลเมืองออสเตรเลียมากกว่า 19,000 คนลงชื่อคัดค้านนโยบายการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตนี้
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น