รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน
แดงเชียงใหม่
กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม
เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน
"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
‘บูท’ IN U.S. ไครเขียนบท ???
‘รามเกียรติ์’ฉบับรัสเซีย
มหากาพย์ข้ามชาติ
“วิคเตอร์ บูท” กลายเป็นชื่อที่คงจะต้องมีการจดจารึกเอาไว้ในประวัติความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศของประเทศไทย ประเทศรัสเซีย และประเทศสหรัฐอเมริกา
จากประเด็นในเรื่องของการส่งตัวคนร้ายข้ามแดน
โดยนายบูท ถูกจับในเดือนมีนาคม 2008 ในโรงแรมที่กรุงเทพฯ
หลังจากตกลงที่จะขายอาวุธมูลค่านับล้านเหรียญให้กับเจ้าหน้าที่ของ DEA ของสหรัฐฯ
ซึ่งปลอมตัวมาเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลของกลุ่ม Frac ใน โคลัมเบีย
แต่เนื่องจากวิคเตอร์ บูท เป็นชาวรัสเซีย แม้จะถูกจับตัวได้ในเมืองไทย ถูกคุมขังในเมืองไทยก็ตาม
แต่ปรากฏว่าทั้งรัสเซีย และสหรัฐฯล้วนต้องการได้ตัว
ประเทศไทยซึ่งเป็นคนกลางที่จะต้องตัดสินใจว่าจะส่งตัวไปให้ใคร
ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ถือเผือกร้อนอยู่ในมือทันที
หากส่งตัวให้สหรัฐฯ แน่นอนว่าทางรัสเซีย ก็ย่อมไม่พอใจ
ในขณะที่หากส่งตัวให้ทางรัสเซีย หนีไม่พ้นที่สหรัฐฯก็ย่อมไม่แฮปปี้...
งานนี้ประเทศไทยไม่ต่างกับยืนอยู่ระหว่างเขาควายที่แหลมคม
ดังนั้นจึงเป็นไปตามคาด เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมติคณะรัฐมนตรี
ได้เห็นชอบกับการดำเนินการตามคำสั่งศาล ให้ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา
ในทันทีที่รู้ข่าวประเทศรัสเซีย ก็แสดงปฏิกริยาทางการทูตในทันที
โดยสถานทูตรัสเซีย ประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่
คำชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศ สหพันธรัฐรัสเซีย
เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของ นายวิคเตอร์ บูท
โดยหน่วยงานไทย ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 พ.ย. พ.ศ.2553 มีใจความว่า
“ในวันนี้มีรายงานว่า ทางการไทยได้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา คือ
นายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซีย ที่ถูกจับในกรุงเทพฯ เดือน มี.ค. ค.ศ.2008 ในข้อกล่าวหาที่ว่า
กระทำการผิดกฎหมายในการค้าอาวุธสงคราม และเป็นผู้จัดหาอาวุธให้แก่กลุ่มก่อการร้าย
โดยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในครั้งนี้ เป็นการขัดต่อการตัดสินของทางศาลอาญาประเทศไทย
ในทางกลับกันคำตัดสินของทางศาลอาญา ได้ตัดสินถึง 2 ครั้งนั้น ซึ่งยังไม่สามารถพิสูจน์ว่า
เขาเป็นผู้กระทำผิดจริง ซึ่งนายวิคเตอร์ ถือเป็นพลเมืองของสหพันธรัฐรัสเซีย กว่าสองปีนี้
ที่เขาได้รับการคุมขังอยู่ในเรือนจำไทย
แต่ตอนนี้เขาได้ถูกส่งตัวให้กับ หน่วยงานด้านยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา
การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนี้ ทางสื่อไทยได้รายงานว่า
ทางรัฐบาลไทยเป็นผู้อนุมัติในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
จากมุมมองของทางด้านกฎหมายนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
อาจไม่ได้รับการอธิบายถึงเหตุผลและความเหมาะสมชัดเจน
การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของ นายวิคเตอร์ บูท ครั้งนี้ ไม่เป็นที่สงสัยว่า
หน่วยงานภาครัฐบาลและศาลไทย ได้รับแรงกดดันภายนอกจากสหรัฐอเมริกา
การกระทำทั้งหมดนี้ กระบวนการยุติธรรมของไทย เป็นการกระทำที่ได้รับการแทรกแซง
ทำให้เกิดข้อกังขา หรือเคลือบแคลงต่อกระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลไทยได้
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง ที่ทางการไทยนั้น
ยอมจำนนต่อแรงกดดันทางการเมืองจากภายนอก
และดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของ นายวิคเตอร์ บูท ซึ่งเป็นการขัดต่อกฎหมาย
กระทรวงการต่างประเทศของสหพันธรัฐรัสเซีย จะยังคงใช้มาตรการที่จำเป็น
เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายให้แก่
นายวิคเตอร์ บูท พลเมืองของสหพันธรัซรัสเซีย ตามรัฐธรรมนูญของ สหพันธรัฐรัสเซีย
ซึ่งมีบรรทัดฐานเดียวกันกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
แม้ว่าหลังจากแถลงการณ์ของสถานทูตรัสเซียปรากฏออกมา จะเกิดคำถามอย่างมากมายว่า
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเจ้าหน้าที่รัฐของไทยเร่งรีบส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ไปให้อเมริกา
เพราะจำนนต่อแรงกดดัน
ยิ่งเมื่อนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย
ได้มีการแถลงว่ารัสเซียจะสนับสนุนนายบูท ทุกวิถีทาง
และชี้ว่าการที่รัฐบาลไทยส่งตัวให้สหรัฐฯ เป็นความไม่ยุติธรรม
โดยมีที่มาจากแรงกดดันของทางฝ่ายสหรัฐฯ ด้วยเรื่องการเมือง
เพราะจะว่าไปรัสเซียเองก็สามารถที่จะเกิดความสงสัยได้
เนื่องจากว่าหากติดตามเรื่องมาโดยตลอด ย่อมต้องจำได้ว่าก่อนหน้านี้
มีกรณีที่วุฒิสภาคองเกรส สหรัฐ
มีจดหมายส่งมาให้ทูตไทยต้องส่งตัวนายวิคเตอร์บูทให้กับทางการสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นข่วยไม่ได้หากมุมมองและความรู้สึกของรัสเซียที่แสดงออกมา
จะเป็นไปในทิศทางของความไม่เชื่อ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องรับมือให้ดี
ซึ่งแน่นอนว่าไล่ลงมาตั้งแต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
และบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ต่างพากันปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่ได้มีแรงกดดันอะไรจากสหรัฐอเมริกาฯ
เป็นเรื่องของการทำตามกระบวนการขั้นตอนหลังจากที่มีคำพิพากษาออกมาแล้วเท่านั้น
ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ ดูเหมือนพยายามที่จะหลีกเลี่ยง
ที่จะพูดถึงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในแง่มุมต่างๆของสังคม เพราะรู้ดีว่า
โดยสถานการณ์ที่อยู่ตรงกลางเขาควายนั้น ต่อให้เป็นนักพูด เป็นนักกล่าวสุนทรพจน์
ก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศพอใจได้ทั้งคู่
ดังนั้นการเลือกวิธีการรูดซิปปาก น่าจะเป็นเรื่องที่ดูแล้ว
ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์หวาดเสียวเช่นนี้
เพราะหากมีการตอบโต้จริงๆ
ไม่ต้องถึงขนาดที่นายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ
สภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชน เตือนทำนองว่า
ดีไม่ดีอาจจะโดนปิดน่านฟ้าเพื่อตอบโต้ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็เหนื่อยแน่!!!
ก็ได้แต่มองในแง่ดีว่า ทางรัสเซียก็คงต้องคิดหนักเหมือนกันว่า
หากจะมีการตอบโต้ไทยนั้น จะต้องทำแต่ระดับไหน
เพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจและผลประโยชน์ของประเทศรัสเซียที่มีต่อประเทศไทย
รวมทั้งทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุน และด้านเศรษฐกิจ
ดังนั้นแม้ว่าหากสุดท้ายแล้วทางรัสเซียเกิดจะมีมาตรการอออกมาจริงๆ
อย่างไรก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนให้ดีก่อนเหมือนกัน
ขณะเดียวกันการที่รัสเซียและสหรัฐฯเปิดศึกชิงตัว วิคเตอร์ บูท กันแบบชัดเจนเช่นนี้
ท่าทีของทางสหรัฐฯเองก็ไม่สามารถที่จะมองข้ามด้วยเช่นกันเนื่องจากยืนยันมาตลอดว่า
บูทจะต้องถูกนำตัวไปดำเนินคดีในข้อหาผู้ก่อการร้าย
เนื่องจากมีหมายจับจาก Interpol หรือตำรวจสากล
ที่น่าสนใจก็คือการที่สหรัฐทำหนังเรื่อง Lord of War
โดยที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับตัวเอกถูกจับกุมและคุมขังอยู่ที่เมืองไทย
โดยเจ้าหน้าที่เมืองไทยที่ร่วมมือกับอเมริกาในการวางแผนล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับนั้น
มีนัยยะอะไรหรือไม่
เพราะจนถึงวันนี้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการจับกุมตัวนายบูทที่โรงแรมหรูในกรุงเทพ
ยังคงไม่ชัดเจน ว่า
ถูกควบคุมโดยสายลับที่ปลอมตัวเป็นผู้ซื้ออาวุธให้กับองค์กร Farc ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้าย
จริงหรือไม่???
รวมทั้งการที่ การที่รัฐบาลสหรัฐกล่าวหาว่า
เขาเสนอที่จะขายจรวดยิงจากพื้นดินสู่อากาศ 700 ลูกและอาวุธอื่นๆ
รวมทั้งเครื่องบินที่มีอุปกรณ์การยิงจรวดอยู่ด้วยให้กับฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐบาล Colombia นั่นก็ด้วย
และแม้แต่คำฟ้องของสหรัฐ ก็มีไปถึงว่านายบูทได้จัดให้มีฝูงบินส่งสินค้า
เพื่อที่จะขนส่งอาวุธไปยังแอฟริกา อเมริกาใต้ รวมทั้งตะวันออกกลาง
ซึ่งประกอบไปด้วย Liberia Angola และ Afghanistan
ภาพของวิคเตอร์ บูทในมุมมองของสหรัฐก็คือ นักค้าอาวุธสงครามอย่างแน่นอน
ปัญหาก็คือแล้วทำไมนายบูทจึงมาถูกจับกุมในเมืองไทย
ซึ่งก็ได้มีการมองไปถึงว่าการที่นายบูทเดินทางมาเมืองไทย จะเกี่ยวกับเรื่องโครงการ
ที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำของรัสเซียตามที่ New York Times ตีพิมพ์เอาไว้หรือไม่???
โดยมีการอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ให้การว่า ได้รับคำสั่งให้รอพบผู้เชี่ยวชาญทางรัสเซีย
ผู้ที่จะมาวิเคราะห์ว่า ท่าเรือของไทยเหมาะสมที่จะจอดเรือดำน้ำหรือไม่
แต่ไม่ได้รับแจ้งว่าผู้เชี่ยวชาญเป็นใคร และกล่าวว่า
เขามารู้ทีหลังว่าคนที่จะมาทำการวิเคราะห์ถูกจับไปแล้ว
แต่ประเด็นในเรื่องการจัดหาเรือดำน้ำเล็กๆ
แต่มีประสิทธิภาพให้กับรัฐบาลไทยตามที่ New York Times กล่าวอ้างนั้น
ถูกปฏิเสธทั้งจากบูท และทนายความ ว่าการเดินทางมาเมืองไทยนั้น
เป็นเพียงเรื่องของการทำธุรกิจโดยปกติเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ New York Time ได้มีการนำเสนอข่าวว่า
การส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ซึ่งได้รับการสงสัยว่าเป็นผู้ที่ค้าอาวุธเถื่อนให้กับองค์กรต่างๆ ทั่วโลก
ให้กับสหรัฐฯถือเป็นชัยชนะของรัฐบาลโอบามา
เนื่องจากการที่นายบูท ถูกจับที่กรุงเทพฯนั้น เป็นการวางกับดักที่นานกว่าสองปี
ในขณะที่ทนายของบูท มีความเห็นแย้งว่า
การขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบ
ของการเอื้อมมือก้าวข้ามพรมแดนของตัวเอง เพื่อจะลงโทษศัตรูของตน
และหัวหน้าทนายของนายบูท ระบุเลยว่า ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
ได้เสื่อมลงไปมากหลังจากความล้มเหลวในการหาอาวุธที่มีการทำลายล้างสูงในอิรัก
อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า
การที่มีการกล่าวอ้างว่านายบูท เป็นผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซีย อาจจะเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์
ที่ใช้เพื่อจะยกระดับฐานะของนายบูท ในการต่อสู้ทางคดีความก็เป็นไปได้เช่นกัน
คดีวิคเตอร์ บูทได้ทำให้รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในการที่ต้องตัดสินใจระหว่างรัสเซียกับอเมริกา
เพราะแม้ว่าประเทศไทยมักจะถูกมองว่าเป็นประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯมากที่สุดในทวีปเอเชีย
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯกับรัสเซียก็ถือว่าดีขึ้นมาก
หลังจากสงครามเย็น ชายหาดต่างๆ ของไทยได้กลายเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย
ซึ่งหนีความหนาวมาจากประเทศรัสเซีย ในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน
ดังนั้นคดีนี้จึงไม่เพียงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของรัฐบาลไทย
แต่ยังส่อเค้าว่าเรื่องนี้จะเป็นมหากาพย์ที่ลากยาว
ไม่ต่างไปจากบทประพันธ์ “รามเกียรติ”ที่อมตะนิรันดร์กาลก็เป็นไปได้
เพราะล่าสุดไม่เพียงวิคเตอร์ บูท จะถูกส่งตัวไป
ถูกคุมขังเพื่อดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และทางอัยการสหรัฐฯก็เตรียมยื่นฟ้องคดีใหม่กับนายบูท ในเดือนกุมภาพันธ์ด้วย
งานนี้ส่อเค้าว่า ... ลากยาวแน่นอน
ปัญหาคือแล้วบทเรียนครั้งนี้ไทยนั้นคุ้มหรือไม่ กับการยืนอยู่
ระหว่างเขาควาย หรือจริงแล้ว ตั้งแต่ต้นไทยควรจะต้องทำอย่าง
ที่ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู ผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
พูดเอาไว้
“ไทยเราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่อง วิคเตอร์ บูท ตั้งแต่แรก
และน่าจะดำเนินการแบบเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มาถึงขณะนี้
วิธีการแก้ไขของประเทศไทย เหลือเพียงหนทางเดียว คือ
ต้องคอยตั้งรับให้ดีว่าทางรัสเซีย อาจจะมีมาตรการตอบโต้ อะไรออกมา”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น