Sun, 2010-11-21 23:55
21 พ.ย. 53 - เครือข่ายนักกฎหมายออกจดหมายเปิดผนึก จี้ยกเลิกคําสั่งที่ 141/2553 ของ ศอฉ. ที่ให้เจ้าหน้าที่สามารถยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใด ที่ก่อให้เกิดความแตกแยก และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
จดหมายเปิดผนึก วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้ยกเลิกคำสั่งที่ ๑๔๑/๒๕๕๓ และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เรียน นายกรัฐมนตรี ตาม ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้มีคำสั่งที่ ๑๔๑/๒๕๕๓ ฉบับลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจออกคําสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุ อื่นใด ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในเขตท้องที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้าย แรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้นและเพื่อ เสริมสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการดําเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ อันมีเป้าหมายเพื่อนําสังคมกลับเข้าสู่ความสงบสุข นั้น เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรดังมีรายชื่อท้ายจดหมาย มีความเห็นดังต่อไปนี้ ประการ แรก คำสั่งฉบับนี้ขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙ เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่ กระทบต่อสาระสำคัญของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ ของพนักงานเจ้าหน้าที่เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันได้สร้างภาระและคุกคามสิทธิ เสรีภาพของประชาชนจนเกินจำเป็นแล้ว เนื่องจากมีการใช้ดุลพินิจและบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดเสรีภาพของผู้ที่มี ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างไปจากรัฐบาล จึงไม่จำเป็นหรือมีเหตุอันควรที่จะต้องมีคำสั่งฉบับนี้ ประการ ที่สอง คำสั่งฉบับนี้มีลักษณะขัดต่อหลักการของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ อันเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของการออกกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญา เนื่องจากความผิดตามข้อ ๑. ของประกาศฉบับนี้กำหนดลักษณะของวัตถุซึ่งต้องห้ามจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบ ครองด้วยถ้อยคำที่มีความหมายกว้าง ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนแน่นอนได้ว่าหมายถึงวัตถุลักษณะใดบ้าง ทั้งยังครอบคลุมถึงวัตถุแทบทุกประเภทที่ประชาชนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ประชาชนผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจึงไม่สามารถทราบถึงสิทธิเสรีภาพที่ตน พึงมี ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการกระทำใดของตนผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจได้ตามอำเภอใจ เอื้อต่อการใช้อำนาจไปในทางกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติต่อประชาชนบางกลุ่ม ได้ ประการ ที่สาม คำสั่งฉบับนี้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายตามที่ระบุไว้ข้างต้น ได้อย่างแน่แท้ และยิ่งเป็นปัจจัยเพิ่มสถานการณ์ความแตกแยกในสังคมและเพิ่มระดับความรู้สึก ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนมากขึ้น ทำให้ทัศนคติของประชาชนต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐย่อมเป็นไปในทางลบ เนื่องจากมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ที่เห็น ต่างทางการเมือง และหากยังมีการบังคับใช้ต่อไปย่อมทำลายหลักประกันเสรีภาพในการแดงความคิด เห็นทางการเมืองของประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในสังคมประชาธิปไตย และยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในการใช้อำนาจของรัฐโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรดังมีรายชื่อท้ายจดหมายนี้ขอเรียกร้องต่อฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ดังนี้ ประการแรก ขอให้ยกเลิกคำสั่งที่ ๑๔๑/๒๕๕๓ เรื่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจออกคําสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใด ประการ ที่สอง ขอให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดปทุมธานี อันเป็นเหตุให้มีออกประกาศใช้อำนาจที่อาจคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประกอบกับไม่มีเหตุฉุกเฉินที่เป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของชาติที่จำเป็นต้อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างร้ายแรงดังที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด และไม่จำต้องจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้อำนาจทหารเป็นกลไกพิเศษในการควบคุมสถานการณ์และให้อำนาจทหารใช้ อำนาจที่อาจเป็นปฏิปักษ์กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนดังการออกคำสั่งดังกล่าว ด้วยความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและประชาธิปไตย เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล สุนี ไชยรส จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น