โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ที่มา Bangkok voice
ก่อน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1972 ซึ่งมี นาย
และติดตั้งเครื่องดักฟัง โดยเบื้องต้นนั้นฝ่าย นาย
นาย นิกสัน ยังยืนกรานว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ จนมีการตั้งคำถามจากสื่อมวลชนและนักการเมืองในซีกเดโมเครต ว่าตัวประธานาธิบดี “รู้อะไร” และ “รู้เมื่อไหร่” เพราะหากรู้แล้วช่วยปกปิด ย่อมมีส่วนร่วมในการกระทำผิด การกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตขึ้นเมื่อค้นพบว่า นอกจาก นายนิกสัน จะรู้แล้ว ยังเป็นผู้ “สั่งการ” ด้วย จนในที่สุดก็ต้องรับผิดชอบและลาออกไป
ถือ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักการเมืองทั่วโลก ว่าควรและไม่ควรทำอะไรเพื่อรักษาอำนาจ เพราะผลสุดท้ายนั้น ไม่เพียงเสียหายต่ออนาคตของตนเอง แต่ถึงประเทศชาติโดยรวมด้วย
จริง อยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปัจจุบัน มีความแตกต่างทั้งในสาระและสภาพแวดล้อม แต่การดำเนินนโยบายต่างๆ ตลอดจนเกมการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้ต้องนำคำถามชุดที่ นายนิกสัน ถูกถามกลับมาตั้งเป็นปุจฉากับ นายกรัฐมนตรี นาย
เรื่องแรกที่ต้องถาม คือเหตุการณ์การประท้วงชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่สี่แยกคอกวัว ซึ่งมีการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 20 คน และเหตุการณ์ “กระชับพื้นที่” ช่วงวันที่ 10-19 พฤษภาคม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก ไม่นับผู้บาดเจ็บและสูญหาย
จน บัดนี้ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้สั่งการ ใครตัดสินใจให้ทหารนำกำลังเข้า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” นายกรัฐมนตรีได้กำชับหรือไม่ว่าต้องไม่ให้มีการสูญเสีย หรือให้ท้ายขยิบตา หรือสั่งการด้วยตนเอง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมากว่า 3เดือนแล้วยังไม่มีความชัดเจน
มีใครประเมินให้นายกฯรับรู้ หรือไม่ว่า ในแต่ละกรณีแต่ละทางเลือก จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่ ฝ่ายทหารได้บอกถึงมาตรการที่จะ รักษาชีวิต” หรือไม่ และเมื่อมีข่าวการตายของประชาชน นายกฯมีปฏิกิริยาอย่างไร ทำไมไม่มีการประเมินใหม่ หรือเพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว?
นายกฯรู้อะไร รู้เมื่อไหร่ และตัดสินใจอะไร เป็นสิทธิที่ประชาชนพึงถามผู้นำที่อ้างว่ามาโดยวิถีประชาธิปไตยได้เสมอ และเขาควรจะได้คำตอบด้วย
อีกเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม คือการเข้าพบนักโทษชื่อดัง นายวิคเตอร์ บูธ ของ นาย
หลายคน รวมทั้งตัว นาย
แต่ที่ เหนือกว่าข้อกฎหมายคือ ความเหมาะสม และผลกระทบที่ตามมา เพราะ นายศิริโชค ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความใกล้ชิดกับนายกฯ คำถามจึงมีว่า นาย
ยิ่งหากเรื่องที่พูดคุยเป็นไปดังที่ นายบูธ ให้ภรรยามาอ่านคำแถลงนั้น ถือเป็นการใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายบริหารและกระบวนการยุติธรรมแน่นอน ซึ่งสะท้อนทั้ง “ทัศนคติ” และ “นโยบาย” ของรัฐบาลชุดนี้ ที่วิ่งไปเหมือนวิ่งอยู่ในลู่แข่ง ทำนองไปข้างหน้าเพื่อไล่ล่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.
ภาษาอังกฤษเรียกว่า “One Track Mind” ที่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้พร้อมจะ “แลก” เพื่อให้ได้ตัว พ.ต.ท.
และหากปรากฏว่า นายกฯรับรู้ก่อน และวันนี้รู้แล้ว ยัง “อุ้ม” นาย
รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน
แดงเชียงใหม่
กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม
เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน
"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553
วอลล์เปเปอร์เกต
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น