แจ้งกำหนดการเพิ่มในนี้เลย เผื่อคนไม่ได้เข้าไปในอีเว้น
เสวนา "การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา"
วันเสาร์ 4 กย.53 12:30 - 16:30
สถานที่ ห้อง 103 ตึก1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
12.30 – 12.50 น. ลงทะเบียน
12.50 – 13.00 น. กล่าวเปิดงาน
13.00 – 15.00 น. เวทีเสวนา “การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา” โดย
สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่(อยู่ระหว่างการติดต่อ)
ขบวนการเคลื่อนไหวการเมืองไทยผ่านมุมมองแว่นเหลือง
... สมบัติ บุญงามอนงค์ กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
ขบวนการเคลื่อนไหวการเมืองไทยผ่านมุมมองแว่นแดง
จิตรา คชเดช กลุ่ม Try-Arm
สะท้อนภาพการเคลื่อนไหวของแรงงานในไทยและต่างประเทศ
จินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด
การสร้างกระบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
ดำเนินการเสวนาโดย อ.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
15.00 – 16.00 น. เวทีซักถาม-แสดงความคิดเห็น
16.00 – 16.30 น. สรุปเวทีเสวนาโดยวิทยากร
สมบัติ บุญงามอนงค์
รายงานเสวนา: “การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา” มองผ่านแว่นหลายสี
Sun, 2010-09-05 23:41
4 ก.ย.53 เวลา 13.00 น. ที่ห้องเรียน 103 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิศักยภาพชุมชนได้จัดการเสวนาในหัวข้อ “การเมืองบนท้องถนนของคนธรรมดา” โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ จากกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง, นายแสงธรรม ชุนชฎาธาร จากโรงเรียนสาธิตมัฆวานแห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน, น.ส.จิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และนางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด
นาย
นายแสงธรรม กล่าวว่า สาเหตุของการเมืองบนท้องถนนเกิดจากนโยบายรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามความต้องการ ของประชาชน และการเกิดสิ่งผิดแปลกหรือแปลกปลอมขึ้นในระบบการเมือง ดังจะเห็นได้จากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่ง พธม.มีความชัดเจนคือต่อต้านระบอบทักษิณ และยังคงต่อสู้อยู่จนถึงปัจจุบัน
นายแสงธรรม กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ พธม.ในสมัยรัฐบาลทักษิณว่า ได้ทำหน้าที่หลายเรื่อง ได้แก่ ตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่น, การละเมิดสิทธิมนุษยชน, ตรวจสอบกรณีกรือเซะ-ตากใบ, กรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพในสงครามยาเสพติด และกรณีการเสียชีวิตของทนายสมชาย นีละไพจิตร และพระสุพจน์ สุวโจ
นอกจากนี้ นายแสงธรรม กล่าวด้วยว่า กลุ่ม พธม.มีความรู้สึกเช่นกันว่า รัฐประหารปี 2549 เป็นสิ่งแปลกปลอมทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเท่ากับคนเสื้อแดง และภายหลังรัฐประหาร ในสมัยรัฐบาล พล.อ.
นาย
นายสมบัติกล่าวว่า การเมืองของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นวิวัฒนาการทางประชาธิปไตย ซึ่งในปี 2475 เป็นการเปลี่ยนอำนาจจากหนึ่งคนมาเป็นคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เป็นอำมาตย์และ ขุนศึก ต่อมาเมื่อคนมีการศึกษามากขึ้น ปัญญาชนจึงต้องการส่วนแบ่งทางอำนาจจึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ขึ้น ทำให้ปัญญาชนมีพื้นที่ทางการเมืองนับแต่นั้นมา และในปี 2535 คนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น จึงเป็นการต่อสู้ของชนชั้นกลางซึ่งได้รับชัยชนะและได้รับประโยชน์ ชนชั้นกลางจึงไม่มีความรู้สึกถึงคำว่า อำมาตย์
นายสมบัติกล่าวว่า ตัวละครสุดท้ายซึ่งกล่าวอ้างคำว่าประชาธิปไตยเช่นเดียวกับคณะราษฎรและชนชั้น กลางในปี 2535 เป็นตัวละครสุดท้ายของวิวัฒนาการประชาธิปไตยไทย คนกลุ่มนี้แทรกตัวอยู่ในทุกจุดของสังคม ในรูปของแม่บ้าน คนรับใช้ และ รปภ. การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ใช่สงครามของชนชั้นกลาง แต่เป็นการต่อสู้ของยักษ์หลับซึ่งอยู่ชั้นล่าง เมื่อยักษ์ขยับตัว ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงจึงตีความว่าเป็นการเคลื่อนไหวของทักษิณ เพราะชนชั้นล่างไม่เคยปริปาก ทำให้ชนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่รู้จักประชาธิปไตย การประเมินการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่าเป็นการขยับตัวของทักษิณ แสดงว่าไม่เข้าใจวิวัฒนาการทางรูปการจิตสำนึกหรือการเติบโตทางจิตวิญญาณของ ประชาชน และการกล่าวว่าชาวบ้านโปรทักษิณ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิในการต่อสู้
นายสมบัติกล่าวว่า ตนได้สร้างวาทกรรมขึ้นใหม่โดยนิยามศัพท์การเมือง 3 คำ ได้แก่
“อำมาตย์ เวอร์ชั่น
“นักการเมือง
“ประชาชน
นายสมบัติกล่าวว่า ปัจจุบันอำนาจหรือนโยบายกระจายออกไปในแนวดิ่ง การจัดสรรงบประมาณเริ่มที่รัฐสภาแล้วกระจายออกไปสู่จังหวัดไล่ลงไปถึงระดับ หมู่บ้าน เปรียบกับการส่งแท่งไอติม เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็เหลือแต่ไม้ ชาวบ้านไม่เคยชิมเนื้อไอติม แต่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ งบประมาณถูกส่งตรงมายังกองทุนหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านได้ลิ้มรสไอติม แต่ยังไม่มีจิตสำนึกทางการเมือง ดังนั้นการเดินทางของชาวบ้านครั้งนี้จึงเป็นการตามหาคุณภาพชีวิตที่ดี เหมือนคนที่เดินหาต้นตอของปัญหาน้ำแห้ง และไปพบเขื่อนกักน้ำอยู่ที่ต้นน้ำ ซึ่งชาวบ้านพบว่านั่นคือระบบอำมาตย์
นายสมบัติกล่าวในตอนท้ายว่า นี่ไม่ใช่สงครามของตนเอง แต่เป็นสงครามของยักษ์ที่ขยับตัว จึงอยากให้ทุกคนให้โอกาส
น.ส.
น.ส.จิตรา กล่าวว่าเนื่องจากแรงงานไม่มีเครื่องมือในการต่อสู้ จึงจำเป็นต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลและกระทรวงแรง งาน แต่สิ่งที่ตามมาคือการถูกออกหมายจับ และถูกตำหนิจากผู้ที่มีรถยนต์ขับว่าเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดบนท้องถนน
น.ส.จิตรา กล่าวว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลใดก็ตาม ปัญหาของแรงงานก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข ในยุครัฐบาลทักษิณ มีการทดลองใช้สเปรย์พริกไทยกับคนงานบริษัทไทยเกรียง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีการนำเครื่อง L-RAD ที่สามารถทำลายแก้วหูมาทดลองใช้กับคนงานไทรอัมพ์ และในที่สุดคนงานบางส่วนก็ถูกออกหมายจับ
น.ส.จิตรา มองว่าการเคลื่อนไหวของแรงงานเฉพาะภายในประเทศนั้นยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการลงทุนมาจากต่างประเทศ และนายจ้างก็เป็นชาวต่างชาติ จึงต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่าย การเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งแรงงานถูกเลิกจ้างพบว่าคนงานฟิลิปปินส์ที่เคลื่อนไหวก็ถูกออกหมายจับและ ถูกบริษัทฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อเดือนถึงเดือนละ 1 ล้านเปโซ
น.ส.จิตรากล่าวว่า รู้สึกประหลาดใจกับประเทศไทยว่าเหตุใดจึงไม่มีใครรู้สึกอะไรกับการฆ่าคนกลาง เมืองหลวง แต่กลับมีคนออกมาช่วยกันทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเมื่อใดที่มีการชุมนุมบนท้องถนนก็จะมีการฆ่าหรือการจับกุม ซึ่งหากไม่มีเสรีภาพบนท้องถนน เราก็ไม่สามารถจะมีประชาธิปไตยได้เลย การพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการชุมนุม จึงมีคำถามว่ายังมีพื้นที่สาธารณะเหลืออยู่ตรงไหนบ้าง เพราะพื้นที่หน้าโรงงานก็เป็นของนายจ้าง
น.ส.จิตรากล่าว ด้วยว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง เพื่อส่งตัวแทนเข้าไปในระบบการเมือง และเป็นปากเสียงให้กับการแก้ไขปัญหาของแรงงงาน
นาง
การเคลื่อนไหว เรื่องสิ่งแวดล้อมหรือสีเขียวนั้นต้องการคนทุกสีทั้งสีเหลืองและสีแดง แต่ที่เป็นปัญหาอยู่บ้างตอนนี้คือในสีเขียวเองนั้นก็มีทั้งสีเหลืองและสีแดง
ใน ตอนท้าย นายแสงธรรม กล่าวว่าเสริมว่า เห็นด้วยกับ บก.ลายจุดที่บอกว่า จริงๆ แล้ว สีเหลืองกับสีแดงมีจุดร่วมกันอยู่ อาจมีที่เหมือนกัน 80 และต่างกัน 20 แต่ตัวเขาอาจไม่ถึงขนาดสรุปเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนอย่าง บก. ลายจุด
จุดยืนหลักที่ต่างจากสีแดงของสีเหลืองคือ พวกเขาต้านระบอบทักษิณ ซึ่งเขาอธิบายคร่าวๆ ว่า ระบอบทักษิณนำไปสู่ปัญหาหลายด้าน เช่น กรณีกรือเซะ การขายหุ้นโดยไม่เสียภาษี การหายตัวไปของนักต่อสู้ และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่น่ากลัว ไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้ระบอบทักษิณยังอยู่ ตอนนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ส่วนที่เหมือนกันก็มีหลายประเด็น เช่นเรื่องการรัฐประหาร ตัวเขาเองก็ไม่เห็นด้วย และถึงตอนนี้ เขาคิดว่า ถ้าที่ผ่านมาไม่เกิดรัฐประหาร 19 กันยาเลย ก็คงจะดีมาก
ระหว่างการสนทนา มีผู้ซักถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งหลายอย่างไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ หรือจะเรียกว่า ระบอบทักษ๋ิณในรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ ที่กรือเซะมีคนตาย ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ก็มีคนตายเช่นกัน ประเด็นนี้สีเหลืองมีจุดยืนอย่างไร แสงธรรมตอบว่า ที่ผ่านมาสีเหลืองก็วิพากษ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย จากนั้นมีผู้ซักถามถึงการได้รับการปฏิบัติที่ต่างกันจากรัฐบาลระหว่างสี เหลืองและสี แดง แสงธรรมตอบว่า สิ่งที่ทำให้การสลายการชุมนุมระหว่างสีเหลืองกับสีแดงแตกต่างกันคือ เสื้อแดงมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธ มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางไม่ใช้สันติ เห็นได้จาก ผู้เสียชีวิตนั้นไม่ได้มีเพียงคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่มีทหารเสียชีวิตด้วย ขณะที่ม็อบสีเหลืองมีความพยายามยึดหลักสันติอหิงสาในการชุมนุมตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น