แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาดูพวกเสื้อเหลืองด่า อภิสิทธิ์ (ฮั่นกัดเกีย)‏ กัน . . สะใจมาก

tongtata


มาร์คนักฆ่าแห่งอีตั้น นักเล่านิทานเด็กเลี้ยงแกะ ฉายาที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 16 กรกฎาคม 2553 23:30 น.


ASTVผู้ จัดการสุดสัปดาห์-ใครจะไปเชื่อว่า ภายใต้ใบหน้าที่หล่อเหลาและการพูดจาที่ไพเราะเสนาะหู จะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงราวหน้ามือกับหลังมือของชายที่มี ชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย ยิ่งในระยะหลังด้วยแล้ว เขายิ่งฉายแววของความอำมหิตมากขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัดผลจากประสิทธิภาพในการบริหารชาติบ้านเมือง

ไล่เรื่อยมาตั้งแต่การปล่อยให้ เนวินกรุ๊ปและอดีตกำนันตำบลท่าสะท้อนกระทำย่ำยีและสูบผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองและพวกพ้องโดยไม่เคยคิดที่จะ ห้ามปราบ ความผิดพลาดในการจัดการกับขบวนการก่อการร้ายเสื้อแดงกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรม เผาบ้านเผาเมือง และล่าสุดกับการเล่นเกม 2 หน้าในการทำลายศัตรูทางการเมืองให้ย่อยยับด้วยการสั่งการและเร่งรัดให้สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ฟ้องกราวรูด 79 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมด้วยข้อหาที่ไม่เป็นธรรมคือซ่อง โจรและก่อการร้าย ในคดีการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ดังนั้น จึงไม่เกินเลยไปนักที่จะมอบสมญานาม นักฆ่าแห่งอีตั้นเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะสืบไป

มาร์ค-เทือกและห้อย
การผนึกกำลังของเทพมารสะท้านฟ้า


หากต้องการจะฉายภาพเจ้าของสมญานาม นักฆ่าแห่งอีตั้นที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคงต้องย้อนกลับไปไล่เรียงกันมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นนายก รัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชุดความคิดทางการเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าลัทธิมาร์ค-เนวินและแนวคิดเทพเทือกที่จัดขั้วผสมพันธุ์กันเป็นรัฐบาลด้วยการทรยศหักหลังของนายเนวิน ชิดชอบที่มีต่อ นช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งการโอบอุ้มของเหล่าขุนทหารทั้งในและนอกราชการ นำทีมโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ฯลฯ โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นผู้จัดการรัฐบาล จนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ได้รับฉายาว่ารัฐบาลเทพประทาน

กลายเป็นรัฐบาลที่มีจุดกำเนิดที่พิกลพิการที่สุดรัฐบาลหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ผมรับไม่ได้กับการที่ประชาธิปัตย์ไปร่วมมือกับนายเนวินผู้ใหญ่ของพรรคประ ชาธิปัตย์คนหนึ่งให้ความเห็นถึงสถานการณ์เมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้ง รัฐบาลเป็นผลสำเร็จ และนั่นเป็นที่มาที่ทำให้ผู้ใหญ่คนนี้ถอนตัวออกจากพรรคการเมืองเก่าแก่พรรค นี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นรัฐบาลปาฏิหาริย์รักต่างสายพันธุ์เช่นนี้ ทำให้ต้องมีการค้นคิดสมการทางการเมืองขึ้นมาเพื่อแต่งหน้าทาปากให้เป็น สินค้าที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน โดยสร้างภาพให้นายอภิสิทธิ์เป็นมิสเตอร์คลีนเพื่อเป็นหลักประกันในการรักษาเสถียรภาพในการเป็นรัฐบาลเอาไว้ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อในการจัดการกับรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมทุจริต

ขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ก็หรี่ตาเอาไว้ข้างหนึ่งด้วยการปล่อยให้นายสุเทพ ร่วมมือกับนายเนวินไปกระทำการต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ โดยไม่เคยที่จะจัดการอะไรกับบรรดารัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยของนายเนวินที่เข็น สารพัดโครงการที่คนไทยทั้งประเทศกังขา หรือถ้าคัดง้างก็ทำพอเป็นพิธี จากนั้นก็ทำเป็นนิ่งเฉยเลยผ่าน

กระทั่งในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนที่เคยสนับสนุนก็เริ่มหูตาสว่างและได้รับรู้ความจริงนโยบายของพรรค ประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ที่โฆษณาชวนเชื่อว่า ประชาชนมาก่อนนั้นไม่เป็นความจริง เป็นเพียงแค่คำพูดของ เด็กเลี้ยงแกะเพราะเนวินมาก่อนต่างหากเป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารอำนาจของตัว เองหลังจากเสพติดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจนทนไม่ได้ที่จะมีอันต้องพรากจากไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่นายเนวินเท่านั้น หากแต่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์เองก็มิได้เคยควบคุมให้อยู่ในร่องในรอย ได้สำเร็จ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาถูกโจมตีในเรื่องคอรัปชันไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ปลากระป๋องเน่าที่กระทรวงพัฒนาสังคมฯ การถูกกล่าวหาว่าทุจริตในโครงการชุมชมพอเพียง ความไม่โปร่งใสในโครงการ SP2 ที่กระทรวงสาธารณสุข ความไร้สาระในการจัดโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ปัญหาไข่ไก่ราคาแพง การปล่อยข่าวซื้อไทยคมที่ทำให้หุ้นพุ่งสูงขึ้นโดยที่ยังไม่ได้มีแผนปฏิบัติ การที่เป็นรูปธรรม ฯลฯ

ซ้ำร้ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังยอมเดินตามรอยรัฐบาลทักษิณที่ใช้นโยบายประชานิยมครองใจชาวบ้านจนทุกวันนี้อย่างไม่ปราณีปราศรัย เพื่อหวังผลทางการเมือง กระชับความรู้สึกกับรากหญ้า ซื้อใจประชาชน หวังผลในเรื่องคะแนนเสียงคะแนนนิยมในการเลือกตั้งที่จะมาถึงโดยหว่านโปรย ลด แลก แจก แถมอย่างจุใจ จนสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาด้านงบประมาณในอนาคตได้

และเมื่อตระหนักรู้ว่า ชุดความคิดของลัทธิมาร์ค-เนวินและแนวคิดเทพเทือกได้ผล นายอภิสิทธิ์ก็เริ่มที่จะไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนหรือกลุ่มชนที่เคยให้ การสนับสนุนในการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเขา ไม่สนใจประชาชนที่เสียภาษีให้เขาได้จับจ่ายใช้สอยอย่างสบายมือหากแต่คิดถึง พวกพ้องของตัวเองเป็นสำคัญ มิหนำซ้ำนานวันเข้า ก็ยิ่งเห็นเป็นศัตรูทางการเมืองที่จะต้องกำจัดไปให้สิ้นซาก เพื่อมิให้เป็นหอกข้างแคร่ขัดขวางเส้นทางอำนาจของเขา

จนกระทั่งลืมไปว่า ในยามที่นายอภิสิทธิ์ตกอยู่ในภาวะลำบากถึงขีดสุดจากการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดง ใครคือผู้ที่ช่วยพยุงเก้าอี้ของเขาเอาไว้ มิใช่ประชาชนที่ลุกขึ้นมาให้กำลังใจหรอกหรือ

พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตคมช.คนสำคัญถึงกับเปรยเสียงดังๆ ให้คนข้างตัวได้ยินว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ฉลาดเลยที่ทอดทิ้งประชาชน และทอดทิ้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ดังๆ ออกมาให้ได้ยินกันหนาหูว่า จริงๆ แล้วนายอภิสิทธิ์นั้นมี ความเหี้ยมกว่า นช.ทักษิณเสียอีก เพราะเป็นความเหี้ยมที่ประชาชนคนธรรมดาที่มิได้ รู้ทันอภิสิทธิ์ตามความคิดของเขาทันได้

ขณะเดียวกัน เมื่อคนที่รู้เท่าทันเริ่มตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เกมการเมืองเพื่อเลี้ยงไข้ปัญหาต่างๆ ก็ถูกงัดออกมาเพื่อทำให้สังคมช่วยกันโอบอุ้มเขาให้นั่งอยู่ในเก้าอี้นายก รัฐมนตรีต่อไป เพราะถ้าหากเขาพ้นไปแล้ว ไม่มีคนที่เหมาะสมที่จะมาทำหน้าที่นี้ได้

ฟ้อง 79 พันธมิตรฯ
หมากกลเพื่อรักษาอำนาจ


เมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ จะพบเหตุการณ์ 3 เหตุการณ์ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้ มิหนำซ้ำยังมีความพยายามที่จะนำมาเชื่อมโยงเข้าหากันเพื่อหวังผลทางการเมือง อีกต่างหาก
เหตุการณ์แรกคือ-การดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงในข้อหาผู้ก่อการร้ายจากกรณีเผาบ้านเผาบ้านเผาเมือง
เหตุการณ์ที่สองคือ-การดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในคดีการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง

และเหตุการณ์ที่สามคือ-การที่คณะกรรมการร่วมระหว่างอัยการสูงสุด(อสส.) และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติร่วมกันให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำ สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในข้อกล่าวหาอาจได้รับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)

ยิ่งเมื่อพิจารณาคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่าเรื่องของคดีอย่างที่เคยเรียน มุมหนึ่งก็จะต่อว่าช้า อีกมุมหนึ่งก็บอกว่าเร็วทุกกรณี ซึ่งกรณีของพันธมิตรฯ เป็นคดีที่ให้มีการรายงานพร้อมๆ กับคดีที่เกี่ยวข้องการชุมนุมทางการเมืองทุกคดี นับตั้งแต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.)ในขณะนั้น ก่อนที่จะมาคดีของพันธมิตรฯ และคดีของ นปช. และขอให้มีการดำเนินการไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ ที่ผ่านมาก็มีความคืบหน้าค่อนข้างช้า ซึ่งตนได้บอกไปว่า ต้องทำให้มีความเสมอภาค และให้ความเป็นธรรมยิ่งทำให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดขึ้นไปอีก

เนื่องจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์มิอาจตีความเป็นอื่นได้ เพราะมีความชัดเจนว่าเขาคือผู้สั่งให้เร่งรัดคดีของพันธมิตรฯ แถมจำนวนผู้ต้องหาจาก 36 คนเป็น 79 คนอีกต่างหาก ภายใต้การสร้างภาพว่า...รัฐบาลไม่แทรกแซงการทำงานของตำรวจ...ไม่สองมาตรฐาน

ทั้งนี้ ชุดความคิดดังกล่าวมีความเป็นไปสูงที่มีเป้าประสงค์เพื่อต้องการกำจัดศัตรู ทางการเมือง คือกวาดทั้งเหลืองทั้งแดงให้ไปกองอยู่รวมกัน โดยพยายามสร้างภาพให้ทั้งสองกลุ่มคือผู้ที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ขณะที่ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์คือผู้ที่มาช่วยกอบกู้บ้านเมือง หรือสรุปง่ายๆ คือต้องการใช้คดีความเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง และเป็นเครื่องมือบีบให้ทั้งสองกลุ่มอยู่ภายใต้เกมที่ตนเองกำหนดขึ้น

แหล่งข่าวจาก ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงได้เรียกตัวพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าไปพบเพื่อขอหารือ โดยหัวข้อการหารือที่สำคัญคือ ความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะไม่ต้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้เป็นเงื่อนไขในการชุมนุมกดดัน

ขณะที่ พล.ต.อ.ปทีปได้ตอบกลับไปว่า เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายแล้ว การกระทำของพันธมิตรไม่เข้าข่ายความผิดฐานก่อการร้าย จึงทำให้ความพยายามของนายสุเทพในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ

เรื่องของเรื่องคือสุเทพต้องการกระทืบคุณสนธิ(ลิ้มทองกุล)แหล่งข่าวในศอฉ.กล่าว

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรก ความพยายามครั้งที่ 2 จึงถูกส่งผ่านต่อไปยังคู่หูคู่คิดทางการเมืองคือ นายเนวิน ชิดชอบจากนั้นคำสั่งปฏิบัติการก็ถูกส่งต่อมายัง พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมยศมีความพยายามที่จะไปขอศาลออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ และผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยเมื่อวันที่ 11 มี.ค.53 ก่อนที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงจะเริ่มต้นเพียงแค่ 1 วันคือวันที่ 12 มี.ค.53 นายตำรวจผู้นี้ได้ขนสำนวนเอกสารและหน่วยคอมมานโดไปรอขอออกหมายจับ

นี่คือเกมการเมืองที่อำมหิตไม่น้อย เพราะเจตนาในการสั่งให้ออกหมายเรียกก่อนการชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงเพียง แค่ 1 วัน ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องการให้เกิด ปรากฏการณ์ม็อบชนม็อบเพราะทันทีที่หมายเรียกออกมา แน่นอนว่า กลุ่มคนเสื้อเหลืองอาจไม่พอใจกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งออกมา ชุมนุม ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะทำให้เกิดการปะทะกับม็อบเสื้อแดง

แน่นอน ก่อนหน้านี้ หลายคนอาจเชื่อว่า เป็นการสั่งการของนายสุเทพเพียงคนเดียว แต่จากบทเรียนและบทพิสูจน์ที่ผ่านมา ทำให้สังคมรับรู้ได้ว่า คนสั่งการจริงๆ คือนายอภิสิทธิ์

ซ่องโจร-ก่อการร้าย
ข้อหาที่ไม่เป็นธรรม

ถึงตรงนี้....สิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.อ.ปทีป ตันเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะเจ้าของคดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีจะต้องตอบคำถามก็คือ การออกหมายเรียกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 79 คนนั้น มีความชอบธรรมเพียงใดกับการยัดข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงรุนแรงทั้ง 12 ข้อ โดยเฉพาะข้อ 11 และ 12 ในข้อหาซ่องโจรและผู้ก่อการร้ายตามลำดับ

เพราะถ้าหากพิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการจัดการชุมนุมของพันธมิตรฯ แล้ว จะเห็นถึงเจตนาที่ชัดเจนว่า เป็นการชุมนุมโดยสันติ สงบและอหิงสา และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองของขบวนการ ก่อการร้ายเสื้อแดง

ที่สำคัญคือการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ซึ่งวรรคท้ายได้บัญญัติเอาไว้ว่า การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้งหรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็น ธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นความผิดฐานก่อการร้าย

นอกจากนี้ การเข้าไปชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองนั้น เป็นเพราะในวันที่ 25 พ.ย.51 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจะเดินทางกลับมาจากประเทศเปรู ประชาชนจึงไม่มั่นใจว่าจะมาลงที่สนามบินดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ จึงเดินทางมาเพื่อกดดันที่สนามบินทั้งสอง มิได้มีเจตนาปิดกั้นและไม่ได้เข้ายึดหอการบิน หากแต่ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็น น้องภรรยาของนายวีระ มุสิกพงศ์ได้ประกาศปิดสนามบินก่อนที่พันธมิตรฯจะเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้น นายเสรีรัตน์ต่างหากคือผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย

ขณะเดียวกันการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็กระทำที่บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสารสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการขึ้นลงของเครื่องบิน ทั้งในส่วนของลานบิน หลุมจอด หอบังคับการบิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขึ้นหรือลงของสนามบินทั้งสองแห่ง

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้ความเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธอย่างเต็มที่ ขณะที่การก่อการร้ายนั้น ตามกฎหมายแล้วจะต้องมีการใช้กำลังประทุษร้าย ทำลายทรัพย์สิน ปลุกระดมให้เผาบ้านเผาเมือง ถ้ากระทำตามนั้นก็เป็นผู้ก่อการร้ายได้ แต่สำหรับรายชื่อ 79 คนที่ออกมา ตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้แบ่งเป็นกลุ่มราว 2-3 กลุ่ม ซึ่ง 30-40 คนนี้อยู่ในกลุ่มของผู้ก่อการร้าย ตนเห็นรายชื่อแล้วสงสัยว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร ในเมื่อกฎหมายได้ระบุคุณสมบัติต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตั้งข้อหาเพื่อให้สำนวนอ่อนจนศาลอาจ สั่งไม่ฟ้องนั้น ตนมองว่านายกฯ ได้ระบุว่าเพื่อความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ฉะนั้นในเมื่อเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เสื้อเหลืองจะต้องเป็นผู้ก่อการร้ายด้วย เพื่อไม่ให้ 2 มาตรฐาน คนเป็นนายกฯ ไม่ควรพูด อุตส่าห์พูดเก่งแต่ควรคิดให้ลึกมากกว่านี้

ผมดูรายชื่อผู้ต้องหาก่อการร้าย คนที่ขึ้นไปแสดงความคิดเห็นบนเวทีให้ผู้ชุมนุมเขาเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ก็ดี คนที่ไปร้องเพลงเล่นดนตรีก็ดี คนที่ไปเยี่ยมหลังเวทีต่างๆ มันโดนหมดเลย ในขณะที่ทางฝ่ายเสื้อแดงคนที่ขึ้นเวที สนับสนุนเงินทอง นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย พูดจาปราศรัยปลุกระดมกลับไม่เห็นมีรายชื่อเป็นก่อการร้ายในหมายเรียก หมายจับ แต่ขณะที่หมายเรียกของพวกเสื้อเหลือง ผมดูไปแล้วมันน่าหัวเราะ แล้วจะมาบอกว่ามันยุติธรรม ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองก็เป็นการชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ ผมไม่เคยเห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธหรือมีการซ่องสุ่มอาวุธ ผมไม่ได้พูดเข้าข้างแต่จะชี้ให้เห็นเลยว่าพฤติกรรมกับพวกเสื้อแดงนี่มันต่าง กัน ควรไปอ่านกฎหมายให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่มายกว่ามาตรฐานเดียวกันน.ต.ประสงค์กล่าว

แน่นอนว่า เป้าประสงค์ในครั้งนี้ก็คือ การยัดข้อหา ก่อการร้ายให้กับทั้งเหลืองทั้งแดง จากนั้นก็ได้ฤกษ์ยามได้จังหวะที่จะนิรโทษกรรมให้ทั้งสองฝ่าย บ้านเมืองจะได้นับหนึ่งกันใหม่....รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย กับการแก้ปัญหา

แต่นี่คือตรรกะที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะการนับหนึ่งของรัฐบาลด้วยการยกชั้นและยัดเยียดให้พันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้ายเท่ากับพวกชุดดำ ชุดแดงที่เผาบ้านเผาเมืองเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง

อ่านต่อที่

http://www.tfn3.info/board/index.php?topic=12911.0

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ3 สิงหาคม 2553 เวลา 18:46

    กลัวว่ามันจะเป็นแผนขุดหลุมหลอกแดงเรานะซี้

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ19 กันยายน 2553 เวลา 19:53

    มึงน่ะตัวเอ้ย เลยล่ะ
    เฮ้ยที่สุด เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมากๆ
    มึงลาออกจากนายกได้แล้วไอ้เฮ้ย
    นายกภาษาเฮ้ยอะไรของมึงวะเฮ้ยได้จัยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลย
    กรูขอให้มึงกับชู้มึงตายอย่างที่มึงทำไว้
    ไปไหนขอให้มีแต่คนรอบฆ่ามึง
    ขอมึงตายอย่างที่มึงทำคนอื่นไว้
    ไอ้อมนุษย์ ไอ้เดนมนุษย์
    อัปปรี

    ตอบลบ

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน