แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"นิ๊ค นอสติกในพื้นที่สังหาร" ฝรั่งชอบอ่านกัน เล่าเหตุการณ์ทหารฆ่าคนแถวราชปรารภ


Sitting here at home, I wonder if this day, the 15th of May, has been real, or just a terrible nightmare. Never in my whole life have I been so scared. I thought that I am going to die today.


ขณะ ที่ผมนั่งอยู่ที่บ้าน ผมถามตัวเองว่าเหตุการณ์วันนี วันที่ ๑๕ พ.ค. เป็นเรื่องจริงหรือเป็นฝันร้ายกันแน่
ผมไม่เคยรู้สึกกลัวอะไร อย่างนี้มาก่อนในชีวิต ผมคิดว่าผมเกือบจะตายไปแล้วซะอีก


At lunch time I went to Samliem Din Daeng to observe the protesters there. There were a few protesters around, not more than a few hundred. Lots of debris from last night’s clashes. A burned out military truck, still smoldering. People brought tires to build barricades. A municipal water truck was brought.


ขณะนั้นเป็นเวลาทานอาหารกลางวัน ผมแวะไปแถวสามเหลี่ยมดินแดงเพื่อสังเกตุการณ์การชุมนุมประท้วงที่นั่น ผมเห็นผู้ชุมนุมไม่มากนักเพียงไม่กี่ร้อยคน มีซากระเกะระกะจากการปะทะเมื่อคืนกระจายเต็มไปหมด มีซากรถบรรทุกทหารที่ถูกเผาไหม้ ไฟยังดับไม่สนิทมีควันคุกรุ่นอยู่ ฝูงชนกำลังช่วยกันขนยางล้อรถมากองไว้บนถนนเพื่อสร้างแนวขวางกั้น มีรถฉีดน้ำของ กทม.จอดอยู่แถวนั้นด้วย

After a while the protesters moved the truck along Rajaparop Road towards the military lines, to use as a barricade against army fire. A few protesters moved a few dozen tires to build a barricade. One of the protesters joked around with a slingshot, in front of the cameras of us photographers: “See – that are our weapons against the soldiers”.

เวลาผ่านไปสักพัก ผู้ชุมนุมก็เข็นรถบรรทุกน้ำคันนั้นไปตามถนนราชปรารภทิศทางมุ่งสู่ที่ตั้งของ ฝ่ายทหาร เพื่อใช้เป็นที่ป้องกันวิถีกระสุนขณะที่พวกเขาช่วยกันขนยางล้อรถตามมาเพื่อ นำไปสร้างแนวขวางกั้นใหม่ที่ร่นลึกเข้าไปอีก ผู้ชุมนุมคนหนึ่งพูดเล่น ๆ พร้อมกับยื่นหนังสติ๊กใส่หน้ากล้องถ่ายรูปของพวกเราที่นักข่าวว่า "เห็นมั๊ย นี่ไงคืออาวุธที่เราใช้สู้กับพวกทหาร"

The protesters moved the tires further along the road, in front of the Shell gas station near Soi Rang Naam. I positioned myself at the gas station as cover, in case the army would open fire. And straight away the army opened fire. Maybe 5 meters from me, on the road a small group of protesters was stuck behind the tires while bullets passed by. It made a sickening sound when bullets hit the protester who had just joked around with us – in the arm and in the stomach. A few protesters on our side tried to throw a rope over to pull the injured protester to us, but it did not work. The shooting never stopped. Another protester, who tried to crawl away, was hit in the leg and the shoulder. One guy managed to run over to us. I began losing any sense of time. One more of the group managed to cross over to us. Another guy was hit in the arm. After a while the two lightly injured guys ran over to us, one of them falling and crawling into safety. I feared he was hit again.

ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามขนล้อยางรถลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงปั๊มน้ำมันเชลล์ใกล้ซอยรางน้ำ ส่วนผมหลบหาที่กำบังในบริเวณปั๊มน้ำมันเผื่อพวกทหารจะยิงเข้ามา ทันใดนั้น ห่างออกไปไกลพอสมควร พวกทหารได้เปิดฉากยิงจริง ๆ ปรากฎว่าห่างจากผมไม่ถึงห้าเมตรตรงกลางถนน มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งก้มหลบหลังที่กำบังซึ่งเป็นยางล้อรถในขณะที่กระสุน ปลิวว่อนรอบไปหมด ผมอดรู้สึกสังเวชใจไม่ได้เมื่อพบว่าชายคนที่พูดเล่นกับเราเมื่อสักครู่ถูก ยิงเข้าที่แขนและที่หน้าท้อง มีคนข้าง ๆ ผมพยายามที่จะโยนเชือกไปลากชายคนนั้นออกมา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร การระดมยิงที่จุดนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด จนผู้ชุมนุมคนหนึ่งพยายามที่จะคลานหนีออกมา แต่เขาก็ถูกกระสุนที่ขาและไหล่จนได้ ส่วนอีกคนหนึ่งสามารถวิ่งหนีรอดออกมาถึงพวกเราได้อย่างปลอดภัย สมองผมเริ่มรู้สึกเลอะเลือนอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งที่สามารถวิ่งหนีออกมาได้ แต่อีกคนหนึ่งถูกยิงที่ท่อนแขน แล้วสักพักใหญ่ ๆ คนที่ถูกยิงบาดเจ็บไม่มากนักสองคนก็หนีออกมา คนหนึ่งล้อลงและคลานเข้าหาที่กำบัง ผมกลัวว่าจะถูกยิงซ้ำได้อีก

In the back of the gas station was a toilet, a small temporary safe zone. The guy with the shoulder and leg wounds had only grazing wounds. He, the other protester with the injured arm, and a few journos climbed over the wall. I went back to the old spot, to see what happened with the protesters still stuck behind the tires. One more protester made it into safety, ran across the gas station.

ที่หลังปั๊มน้ำมันมีห้องน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ ปลอดภัยชั่วคราว ชายคนที่ถูกยิงที่ไหลและขา ยังดีที่แค่ถากทะลุหนังไปเท่านั้น เขาและคนที่ถูกยิงที่แขนพร้อมกับนักข่าวสองสามคนพากันปีนข้ามกำแพงหนีไป ส่วนผมย้อนกลับมาที่เดิมเพื่อดูคนที่ยังติดหลังที่กำบัง มีชายคนหนึ่งหนีออกมาได้ เขาวิ่งผ่านปั๊มน้ำมันออกไป

With terror I realized that the soldiers began moving to us. Shots were fired into the gas station. I hid first behind a car parked there, but had a bad feeling that I was in the very wrong spot, and that I had to get out as fast as I could. I ran back to the toilets, about 40 meters, realizing that I was shot at while I was running. My legs nearly gave in. Naked terrible unbelievable fear.

ผมเริ่มรู้สึกสยองใจเมื่อพบว่ากลุ่มทหารกำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาหาพวกเรา กระสุนเริ่มสาดเข้ามาในปั๊ม ตอนแรกผมแอบอยู่หลังรถที่จอดอยู่แถวนั้น แต่เริ่มรู้สึกว่ามันชักจะไม่ปลอดภัยแน่นอน ผมต้องหนีให้พ้นไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมจึงวิ่งหนีไปหลังห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๔๐ เมตร ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีหลายนัดที่กระสุนพุ่งสาดมาที่ตัวผม ขาของผมออกกำลังวิ่งหนีสุดฤทธิ์ ด้วยความกลัวตายอย่างลนลานไม่อายใครทั้งสิ้น

Right after the man with the gut shot was dragged there as well. I took a few photos, and made it over the wall as well. I jumped into a nice garden with a main house and a two wooden side houses. In the back were a few journalists and protesters. The people who lived there gave us water. I saw that at the wall the injured guy was lifted over, and went there trying to help. I heard soldiers running in the gas station behind the wall. The two people who lifted the man over ran towards the house. I couldn’t make it anymore, and pressed myself behind some bushes against the wall. I saw the injured man slip into a small artificial lake at the wall, maybe ten meters besides me.

หลังจากที่ชายที่ถูกยิงที่ท้องก็ถูกลากเข้ามาที่ห้องน้ำ ผมได้ถ่ายภาพเขาสองสามภาพแล้วรีบปีนรั้วหนีออกไป ผมกระโดดเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ของบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง มีบ้านไม้เล็ก ๆ อยู่ติดกัน ปรากฏว่าที่บริเวณหลังบ้านมีพวกนักข่าวและผู้ชุมนุมหนีมาหลบอยู่แล้วหลายคน เจ้าของบ้านนำน้ำดื่มมาให้พวกเรา ผมมองไปที่กำแพงก็เห็นชายคนที่ได้รับบาดเจ็บกำลังถูกหามข้ามรั้วออกมาผมจึง ตรงเข้าไปช่วย ขณะนั้นเองผมได้ยินเสียงพวกทหารวิ่งเข้ามาในปั๊ม ชายสองคนที่กำลังช่วยแบกร่างคนบาดเจ็บจึงวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน ผมหนีไปไม่ทัน จึงได้แต่ซ่อนตัวเองในพุ่มไม้ที่ติดกับกำแพงนั่นเอง ผมเห็นชายที่บาดเจ็บซ่อนตัวในสระน้ำเล็ก ๆ ข้างกำแพง ประมาณสิบเมตรข้าง ๆ ผม

Behind the wall, at the gas station, I heard soldiers shouting. Some people must have still been stuck in the toilets. Suddenly there was a long burst of gunfire, I saw shells flying over the wall. I heard pleading, shouting and what sounded like boots hitting flesh. I was more scared than ever in my life before, being stuck behind that wall. I prayed that just now nobody would call my mobile phone. I was terrified of the possibility that the soldiers would just fire over the wall as they must have known that people climbed over here.

ที่หลังกำแพงติดกับปั๊มน้ำมัน ผมได้ยินเสียงทหารตะโกนลั่น แสดงว่ายังมีคนแอบอยู่ในห้องน้ำของปั๊ม ทันได้นั้นผมได้ยินเสียงรัวดังเป็นชุด ปลอกกระสุนกระเด็นข้ามรั้วเข้ามา ผมได้ยินเสียงคนร้องขอชีวิต เสียงตะโกนด่า และเสียงรองเท้าบู้ทเตะร่างคน ผมรู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมได้แต่อธิษฐานว่าขออย่าให้ใครโทรเข้ามาหาผมตอนนี้เลย ผมรู้ดีว่าถ้าพวกทหารได้ยิน พวกมันอาจยิงปืนข้ามรั้วเข้ามาได้ ถ้าพวกมันรู้ว่ามีคนปีนข้ามรั้วมาทางนี้

I heard a soldier giving orders to come out or be shot dead. At first I thought he meant me, but I saw his head over the wall shouting at the man in the pool. I decided that I should make myself known, and shouted that I am a foreign journalist, and to please not shoot me. I shouted several times before the soldier seemed to take notice. I showed my open hands, he ordered me out. I walked towards him, and explained that the man in the water had a gut shot, and a bad shot in the arm. He floated in the pool, his face and stomach barely above the waterline.

ผมได้ยินพวกทหารตะโกนก้องว่าให้ออกมาเดี๋ยวนี้หรือไม่งั้นจะยิงนะ ทีแรกผมคิดว่านั่นหมายถึงผมซะอีก แต่ผมเห็นหัวของทหารคนนั้นหันมาที่ชายคนที่อยู่ในสระ ผมตัดสินใจที่จะแสดงตัวเลยว่าผมเป็นใคร ผมตะโกนว่าผมเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศนะ อย่ายิงผม ผมตะโกนซ้ำ ๆ หลายครั้งจนทหารคนนั้นทำท่าจะเข้าใจ ผมชูมือเปล่าสองข้างขึ้นในอากาศ เขาจึงสั่งให้ผมก้าวเดินออกมา ผมเดินเข้าหาเข้าและบอกเขาว่าคนที่อยู่ในน้ำได้รับบาดเจ็บมาก เขาถูกยิงที่ท้องและที่ท่อนแขน เขาลอยตัวในสระน้ำ มีแค่ใบหน้าและท้องอยู่ที่อยู่พ้นน้ำ

The soldier ordered me to pull him out. Another soldier has also jumped over the wall, a third soldier secured from above the wall. While I tried to pull the man out of the water he pleaded, with a weak voice, that he just can’t take it anymore. He was too heavy. I asked one of the soldiers to help me, please. While roughly pulling at the man, he screamed that he should be dead, and because he isn’t they have to take him to the hospital, and that he should die. He walked off.

ทหารคนนั้นจึงสั่งให้ผมไปนำตัวชายคนนั้นขึ้นมา ทหารอีกคนหนึ่งกระโดดข้ามรั้วเข้ามา คนที่สามถือปืนคุมเชิงอยู่บนกำแพง ขณะที่ผมดึงร่างของชายคนนั้นขึ้นมาจากสระ เขาร้องขอชีวิตด้วยเสียงอันสั่นเครือบอกว่าไม่เอาแล้ว ร่างของเขาหนักมากผมจึงขอให้ทหารมาช่วยผมด้วย ตอนที่ชายคนนั้นถูกกระชากออกมาจากสระ เขาร้องตะโกนว่าให้ผมตายดีกว่า เพราะถ้าไม่ตายก็จะถูกนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาล และสุ้ตายที่นี่ดีกว่า เขาไม่เอาอีกแล้ว

The injured man slipped back into the pool. The second soldier helped me pull him out, while the first kept on screaming. The soldier on the wall ordered me to take care of the man. I said that I have no idea how – he has a bad gut shot, and lifted the man’s shirt to show the small hole in the stomach. I just knelt down. The man asked me to lift his mangled arm and to turn him on his side as he can’t breathe anymore. I did so, while the man grunted with pain.

ชายคนนั้นหันกลับเข้าไปในสระน้ำอีก ทหารคนที่สองช่วยผมลากเขาขึ้นมาในขณะที่ชายคนนั้นยังคงส่งเสียงร้องโหยหวน ทหารที่อยู่บนกำแพงจึงสั่งให้ผมดูแลชายคนนั้น ผมบอกว่าผมทำอะไรถูกเพราะเขาถูกยิงที่ท้อง แล้วผมเปิดเสื้อชายคนนั้นให้ทหารดูรูกระสุนที่ท้อง ตอนนั้นผมคุกเข่าลงข้าง ๆ เขา เขาบอกให้ผมยกแขนที่ถูกยิงขึ้นแล้วให้เขานอนตะแคงเพราะเขาเริ่มหายใจไม่ออก ผมทำตามที่เขาบอกขณะที่ชายคนนั้นพยายามกลั้นเสียงร้องที่เจ็บปวดไว้

The soldiers ordered a stretcher, and ordered me not to take any photos. The first soldier went towards the house. I told him that there are several foreign journalists there. At gun point he ordered them out, and ordered them to carry the injured man out on the stretcher through the door of the compound leading to the gas station. I just sat down at the house, I was nearly fainting, my hands were shaking.

ทหารสั่งให้เอาเปลหามมาแล้วห้ามไม่ให้ผมถ่ายรูปใด ๆ ทหารคนแรกจะเดินเข้าไปในบ้าน ผมบอกเขาว่ามีพวกนักข่าวต่างประเทศอีกหลายคนในนั้น เขาใช้ปืนจี้ให้ทุกคนออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วสั่งให้ช่วยหามชายที่ได้รับ บาดเจ็บไปไว้บนเปลหาม แล้วยกผ่านประตูที่ทะลุเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ผมทรุดตัวลงนั่งในบ้าน เกือบจะหมดสติ มือของผมสั่นจนไม่อาจคุมอาการไว้ได้

It took a long time to somewhat compose myself. We heard sirens from rescue vehicle coming, and shots fired from the soldiers in the gas station. The people of the compound made us coffee. Ten, a Neow Na photographer, managed to communicate by phone with the outside world, and relayed that we were stuck here – Thilo Thielke, the Spiegel correspondent, a Indonesian camera team, a local photographer for ABC news, me, and a few protesters that were on the spot promoted to drivers of us foreign journalists.

ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานมากทีเดียว กว่าจะตั้งสติได้อีกครั้ง พวกเราได้ยินเสียงรถพยาบาลกำลังมุ่งหน้าเข้ามา มีเสียงปืนดังจากพวกทหารที่อยู่ในปั๊มน้ำมัน คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นนำกาแฟมาให้พวกเราดื่ม นักข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้าชื่อเต้นโทรศัพท์ไปเล่าเหตุการณ์ให้คนอื่นฟ้ง บอกให้รู้ว่าตอนนี่มีพวกเราหลายคนติดอยู่ที่ตรงนี้ เช่น ผู้สื่อข่าวของสปริงเกลชื่อ ไธโล เธลกี้ ทีมช่างภาพจากอินโดนีเซีย ตากล้องท้องถิ่นของสำนักข่าวเอบีซีนิวส์ ตัวผมเอง และผู้ชุมนุมสองสามคนที่ตอนนี้ทำท่าว่าเป็นคนขับรถให้กับผู้สื่อข่าวต่าง ประเทศ

I called my wife and several colleagues on the outside that I was safe. We heard of other journalists having been injured in the mess. The conversations over the phone how to get us out took hours. The gunfire continued for a long time. In the distance, from the direction of the stage area we heard a few M79 explosions. We did not hear any firing from the direction of Samliem Din Daeng. Appearantly the CRES, including the PM, had a top level meeting about us. The people in the compound made us all dinner.The owner of the house came, he spoke fluent German, lived many years there, and worked there about ten minutes walking distance from my dad’s apartment.

ผมโทรหาภรรยาและเพื่อนร่วมงานเพื่อให้พวกเขารู้ว่าผมรอดมาได้อย่าง ปลอดภัย พวกเราได้ยินข่าวว่าพวกนักข่าวได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เราคุยกันเป็นชั่วโมงเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่น เสียงปืนยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไกลออกไปทางทิศของเวทีที่มีการชุมนุม เราได้ยินเสียงระเบิดเอ็ม ๗๙ ดังออกมาหลายนัด แต่เราไม่ได้ยินเสียงปืนตอบโต้ออกจากทิศของสามเหลี่ยมดินแดงเลย ปรากฎว่า ศอฉ.และนายกฯ อภิสิทธิ์ได้มีการประชุมระดับสูงเพื่อหารือเรื่องเกี่ยวกับพวกเรา ระหว่างนั้นคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นนำอาหารเย็นมาให้ เจ้าของบ้านหลังนั้นได้มาถึง เขาพูดภาษาเยอรมันได้คล่องมาก เคยอยู่ประเทศเยอรมันหลายปี และเคยทำงานห่างจากอพาร์ตเม้นพ่อประมาณสิบนาทีด้วยเท้าเท่านั้น

When we finished dinner, we were advised to get out from the main door of the compound, through the gas station, and walk towards the soldiers at Soi Rang Naam. We asked that soldiers could please pick us up because we don’t trust to just walk out in the open. The answer was that the soldiers would then be targeted, and they can’t pick us up. We decided that we had to find a way over the back wall. It became dark. We were told that snipers were on all high-rises, and that another, unknown, force may fight the soldiers, and that therefore it would be impossible to pick us up.

พอพวกเราทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราก็ได้รับคำแนะนำว่าให้หนีออกไปทางประตูหน้าบ้าน ผ่านปั๊มน้ำมัน แล้วให้มุ่งหน้าไปหาพวกทหารที่ซอยรางน้ำ พวกเราขอให้พวกทหารช่วยมารับด้วยเพราะไม่ไว้ใจในเรื่องความปลอดภัย คำตอบก็คืองั้นพวกทหารก็จะตกเป็นเป้าตามไปด้วย เรื่องนี้ทำให้ไม่ได้ พวกเราเลยตัดสินใจที่จะปีนรั้วด้านหลังออกไป ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราได้รับคำบอกเล่าว่ามีพวกสไน้ปเปอร์อยู่บนตึกสูง เป็นพวกกองกำลังติดอาวุธที่สู้กับพวกทหาร ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าที่จะมารับพวกเราออกไปได้

There were many more phone calls, and discussions of which way would be safe. Finally, we climbed with a ladder over the wall, where a man picked us up. The gunfire started again, rather close to us, we had to move to a safer spot at a apartment building. After some discussion we decided on the way, climbed another wall into a small Soi. People were around. We asked for the safest route out. At the top of the alley it became dark, really dark. A few Red Shirt protesters were there. We were just under the flyover at Samliem Din Daeng.

มีโทรศัพท์เข้ามาหลายสายเหลือเกิน เป็นการหารือว่าควรจะหนีออกไปทางไหน ท้ายที่สุดพวกเราตัดสินใจปีนรั้วโดยใช้บันไดพาดและมีชายคนหนึ่งออกมารับ เสียงปืนก็ดังขึ้นมาอีกครั้งถูกไม่ห่างจากพวกเรานัก พวกเราเลยถอยไปอยู่ที่อาคารชุดให้เช่าแห่งหนึ่งซึ่งดูจะปลอดภัยกว่า หลังจากที่มีการถกเถียงกันพอสมควร พวกเราจึงตัดสินใจปีนกำแพงออกไปอีกด้าน ข้ามไปยังซอยเล็ก ๆ มีประชาชนอาศัยอยู่แถวนั้นมากมาย พวกเราถามว่าเส้นทางไหนจึงจะปลอดภัยที่สุด เหนือทางเดินเล็ก ๆ มันมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายคนอยู่แถวนั้น แล้วพวกเราก็พบตัวเองอยู่ใต้ทางยกระดับสามเหลี่ยมดินแดงนั่นเอง

Looking out at the Soi on the right, was like staring into the abyss, smoke, and pure darkness into which the flyover disappeared. We turned left, towards Victory Monument. A few people were hiding in the shadows. Soon we came into lighter territory, many locals in front of their houses. When I reached Victory Monument I heard monks chanting. More than a hundred monks sat at the bottom of the monument, praying for an end of the killing. I took a motorcycle taxi home. My motorcycle I had to leave parked in a Soi inside the killing zone.

มองออกจากซอยไปทางขวา ภาพที่ปรากฏเหมือนก้นบึ้งทะเล มีกลุ่มควันไฟและความมืดบดบังสะพานลอยเอาไว้ พวกเราจึงมุ่งหน้าไปทางซ้ายสุ่อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึก มีคนสองสามคนหลบอยู่ในเงามืด สักพักเราก็เดินมาถึงที่สว่าง มีคนท้องถิ่นออกมายืนดูที่หน้าบ้านพวกเขา ขณะที่ผมไปถึงบริเวณอนุสาวรีย์ก้ได้ยินเสียงพระกำลังสวดมนต์ มีพระเป็นร้อย ๆ รูปนั่งสวดมนต์ที่ฐานอนุสาวรีย์ ภาวนาขอให้ยุติการฆ่าฟันกันเอง ผมนั่งจักรยานยนต์รับจ้างกลับไปยังที่พัก ผมทิ้งจักรยานยนต์ของผมไว้ที่ซอยแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่สังหาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน