เวลานี้ผมคิดว่าเป็นทหารอยู่ในสนามรบยังดีกว่าเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะอย่างน้อยทหารก็มีปืนอาวุธครบเหมือนกับฝ่ายตรงข้าม แต่ประชาชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมือเปล่าๆนี่สิจะเอาอะไรไปสู้กับคนมีปืน
โดย สงครามชีวิต ลิขิตชะตา
เรื่องราวชีวิตจริงที่ผมจะ บรรยายเป็นอักษรต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์วันท้ายๆก่อนที่เวทีชุมนุมราชประสงค์จะแตก
คืนวันที่17พฤษภาคม53 นี่เป็นครั้งแรกของกลางคืนที่ผมต้องลักลอบออกมาจากราชประสงค์โดยไม่ยอมผ่าน ด่านทหาร ตั้งแต่รัฐบาลสั่งทหารบีบวงล้อมปิดทางเข้าออกของผู้ชุมนุม ผมเดินทางมาถึงคลองเตยเวลา22.00น. ด้านนี้มีผู้คนมากมายหลายพันคนที่มาร่วมชุมนุมเพื่อกดดันทหาร
มวลชนแนวร่วมด้านคลองเตยกับบ่อนไก่ต้องยอมรับว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะพวกเขาช่วยให้เราที่อยู่ในราชประสงค์ติดต่อพบปะสื่อสารกับคนภายนอกได้ เพราะเส้นทางซอยบ่อนไก่ไปทะลุซอยร่วมฤดีเชื่อมเข้าหาถนนวิทยุจนถึงแยกราช ดำริ เป็นเส้นทางส่งเสบียงทุกอย่างมาที่เวทีใหญ่
ส่วนทางด้านราชปรารถและดินแดงหมดสิทธิ์แทรกซึมได้เพียงกำลังพลมวลชนเท่านั้น คนคลองเตยส่วนใหญ่เสื้อแดงทั้งนั้น พันธมิตรน้อยมาก
ส่วนย่านบ่อนไก่และซอยงามดูพลีต้องขอชื่นชมหัวใจของพวกเขา หลายคนช่วยกันสู้แบบถวายชีวิตตลอด24ชั่วโมงเลย ที่นี่เป็นสนามรบชัดๆเพราะจะมีเสียงระเบิดอยู่ตลอดเวลากลางวันและกลางคืน น้ำไฟก็ถูกตัด มืดค่ำมาจะจุดไฟก็กลัวทหารมองเห็น ตอนเช้าจะออกไปไหนก็ต้องคอยระวังกระสุนจากทหารที่ยิงจากตึกสูง
หลายครอบครัวต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก่อน ส่วนคนที่ไม่ยอมไปเพราะไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องหาทางดำเนินชีวิตให้รอด คือการปล้นสดมภ์ทุบร้านสะดวกซื้อในย่านเขตบ่อนไก่ โลตัส เซเว่น ร้านที่ติดถนนใหญ่ไม่มีเหลือ ร้านเหล่านี้โดนทุบกระจกเพื่อเอาสินค้าก่อนราชประสงค์แตกหลายวันแล้ว
ผมอยู่ที่บ่อนไก่จนถึงเช้าวันที่18พฤษภาคม53 จึงได้มองเห็นหน้านักรบประทัดยักษ์ กับมือระเบิดขวดน้ำมัน และมือยิงหนังสะติ๊ก พวกเขาสู้กับทหารเป็นเรื่องเป็นราวแบบไม่มีถอยเลย ง่วงก็นอน ตื่นมาก็สู้ต่อ ใครเป็นนักสู้ดูออกง่ายๆต้องดูตอนกลางวัน แต่ละคนสกปรกมอมแมมดูแทบไม่ได้ เพราะต้องต่อสู้อยู่กับกองเพลิงกองขี้เถ้าจากการเผายาง
ในการต่อสู้หากพลาดพวกเขาจะตายทันที แต่ส่วนใหญ่กระสุนที่ยิงจากทหารจะไม่โดนคนเหล่านี้ ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากกว่าที่กลายเป็นศพ จะให้พวกเขาหยุดส่งเสียงด้วยอาวุธก็ไม่ได้ เพราะทหารจะเข้ามาบุกทันที ต้องรักษาที่ตั้งเอาไว้ และพยามรุกเข้าไปทีละคืบก็ยังดีกว่ายืนอยู่กับที่
ยางรถยนต์พวกเขาจะจุดเฉพาะกลางเท่านั้นเพื่อใช้เป็นม่านควัน ส่วนกลางคืนจะจุดแค่ไฟบุหรี่ ส่วนชาวบ้านที่ไม่ได้ร่วมต่อสู้เขาก็ยังให้ความร่วมมือในหลายเรื่อง
หลังจากผมสังเกตการณ์อยู่ซอยบ่อนไก่ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่17 จนถึง 18 ของช่วงบ่ายโมงผมก็กลับเข้าราชประสงค์ ตอนกลับเข้าไปผมต้องผ่านชุมชนของพันธมิตร ชุมชนสลัมแห่งนี้อยู่ด้านหลังโรงพักสวนลุมพินี เป็นชุมชนเล็กๆส่วนชุมชนที่เหลือจะเป็นแนวร่วมเสื้อแดงทั้งนั้น ชุมชนพันมิตรท้ายซอยบ่อนไก่แห่งนี้จะยังไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชกับชาวเสื้อแดง เพราะกลัวถูกเผาชุมชน (แต่ใครจะไปคิดล่ะเมื่อทหารเข้ามา ไอ้ชุมชนแห่งนี้คือปัญหาใหญ่ของพี่น้องเสื้อแดง)
ผมเข้ามาถึงถนนวิทยุทางเข้าแยกราชดำริถูกปิดไปหลายวันแล้ว ต้องเข้าทางลับอีกด้านหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นรู้กันเฉพาะไม่กี่คน ผมเข้ามาในเส้นทางลับจะเห็นการ์ดหลายคนมากระจุกกันอยู่ในที่ปลอดภัยจากปืนเอ็ม79
ส่วนด้านแนวติดรั้วสวนลุมพีนีการ์ดย้ายออกมาหมดแล้ว เพราะเป็นฟื้นที่อันตรายกลางคืนต้องขี่รถผ่านให้เร็ว กลัวทหารยิงออกมาจากสวนลุมฯ เมื่อถึงที่มั่นในราชประสงค์ด้านถนนราชดำริ การ์ดหน่วยที่ผมสังกัดอยู่ พวกเราได้รับคำสั่งจากแกนนำบางคนให้ไปดูแลเวที
เมื่อทหารเข้ามาประชิดตัว แต่หลายคนปฏิเสธโดยพูดขึ้นว่า (หน้าที่อุดมการณ์ของกูไม่ได้มาอารักขาแกนนำ หรือรักษาเวที หน้าที่กูคือรักษาความปลอดภัยให้มวลชน) นี่เป็นคำพูดจากใจของการ์ดมืออาชีพจริงๆ ผมได้ฟังแล้วซึ้งใจแทนผู้ชุมนุม แล้วความมืดก็มาเยือนอีกวันหนึ่ง
ค่ำคืนวันที่ 18 พฤษภาคมนี้บรรยากาศก็เดิมๆเหมือนหลายวันที่ผ่านมา เช่นมืดมาห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเปิดไฟทุกดวง รถทุกชนิดต้องปิดไฟวิ่ง รถเครื่องคันไหนที่ปิดไฟไม่ได้ก็ต้องหาอะไรมาห่ออำพรางดวงไฟเอาไว้ทั้งหน้าและหลัง สถานการณ์แบบนี้เราปฏิบัติกันมาหลายวันแล้ว จนทำให้สภาพจิตของผู้ชุมนุมและการ์ดบางคนป่วยเป็นโรควิตกจริต ถ้าได้ยินเสียงปืนหรือระเบิดอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจะเกิดอาการตัวสั่นลนลานทุบโน้นทุบนี่ สิ่งใดที่ทำให้เกิดแสงไฟจะแตกทันที
ผมเห็นสภาพจิตใจที่ถูกกดดันของพวกเขาแล้วอดสังเวชสลดใจไม่ได้ (เมื่อไหร่จะจบนะอภิสิทธิ์เมื่อไหร่จะยอมยุบสภา คำพูดเหล่านี้ผมได้แต่คิดในใจ) คนภายนอกไม่มีวันรู้เลยว่ามวลชนผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านในเขาต้องเผชิญอะไรบ้าง เวลานี้ผมคิดว่าเป็นทหารอยู่ในสนามรบยังดีกว่าเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะอย่างน้อยทหารก็มีปืนอาวุธครบเหมือนกับฝ่ายตรงข้าม แต่ประชาชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมือเปล่าๆนี่สิจะเอาอะไรไปสู้กับคนมีปืน
ตรงที่ผมอยู่เป็นแยกราชดำริตรงไปศาลาแดงด้านซ้ายเป็นถนนวิทยุ มวลชนและการ์ดที่มากระจุกกันอยู่ตรงนี้น้อยลงทุกคืน แต่หลายคนก็ไม่มีใครพูดคำว่าถอย แล้วตัวผมเองจะหนีไปไหนได้ล่ะ ทั้งที่ก็รู้อยู่ในใจแล้วว่าเรายืนรอความตาย ไม่ใช่ชัยชนะอย่างที่ควรจะเป็น เพราะรัฐบาลนี้มันชั่วช้าเหี้ยมโหดเกินกว่าจะบรรยาย
ตอนตี 5 วันที่ 19 ข่าวว่าทหารจะเข้าราชประสงค์ ไม่รู้จะจริงเท็จเช่นใด เพราะหลายครั้งแล้วข่าวว่าทหารจะเข้าก็ไม่เข้าสักที แต่คืนนี้รู้สึกแปลกๆเหมือนมีลางร้ายลางสังหรณ์บางอย่างบอกเหตุ ว่านี่ไม่ใช่ข่าวโคมลอยเหมือนที่ผ่านมา เพราะจะเอนกายหลับตาพักผ่อนทีไรสะดุ้งตื่นทุกครั้ง ในฝันมองเห็นภาพของวีรชนวันที่10เมษายน53เหมือนพวกเขามาบอกอะไรสักอย่าง ผมแปลความหมายไม่ออก บางที่เหมือนบอกให้หนีไปอย่าเข้ามาใกล้พวกเค้า
ผมเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมาทบทวนความฝัน ทั้งที่เหมือนตัวเองไม่ได้ฝัน เพราะแค่หลับตาก็เห็นภาพพวกเขาแล้ว ทำไมวีรชนที่ตายไปพวกเขาปฏิเสธคนเป็นที่ต่อสู้เพื่อพวกเขา ตอนนี้เวลาห้าทุ่มครึ่งแล้วอีก30นาทีก็จะเป็นคืนวันที่19พฤษภาคมแล้ว ผมจะปรึกษาพูดคุยกับใครดีนะ เขาจะว่าผมป่วยเป็นโรควิตกกังวลอีกคนหรือเปล่า
ความฝันและอาการหวาดหวั่นของผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ผมจึงขับรถไปที่แยกราชประสงค์เวทีใหญ่ เชื่อไหมครับตั้งแต่ย้ายมาจากผ่านฟ้าลีลาศมาที่นี่ ผมแทบไม่เคยไปสัมผัสบรรยากาศหน้าเวทีใหญ่เลย ถ้านับครั้งนี่คงเป็นครั้งที่3และเป็นครั้งสุดท้ายก่อนโดนสลาย
หน้าที่ส่วนใหญ่ของผมที่ทำแต่ล่ะวันคือหาข่าวของฝ่ายตรงข้าม กับถ่ายภาพของทหารที่ยิงประชาชน และคนที่ถูกยิงไว้เป็นหลักฐานเอาผิดรัฐบาล แต่หลังจากทหารบีบวงล้อมให้แคบลง ผมไม่เคยได้ถ่ายภาพที่ไหนเลย นอกจากคอยจับผิดมวลชนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามส่งเข้ามาแทรกซึม แต่ 2 วันมานี่การ์ดแต่ละด่านแทบไม่มีการตรวจค้นใครทั้งสิ้นได้แค่มองๆเท่านั้น
คืนนี้ที่หน้าเวทีใหญ่คนเหลือประมาณ3-4พันคน ในวัดปทุมฯอีกประมาณร่วมพัน ต่อมาผมเดินไปดูที่ด่านประตูน้ำ ทุกด่านปิดหมดห้ามเข้าแม้แต่การ์ดนปช.ที่ไม่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน เพราะแต่ละด่านอันตรายมาก ทหารจะยิงจากตึกสูงลงมาได้ทุกเวลา ผมวกกลับมาที่หน้าเวทีเจอน้องชายที่นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง เขาเป็นการ์ดอยู่หน่วยเคลื่อนที่เร็ว เราร่วมต่อสู้กันมาตั้งแต่สมัย นปก.
ก่อนราชประสงค์แตก 5 วัน น้องเขาก็กลายเป็นการ์ดวีไอพี.คอยอารักขานายเขาอยู่ด้านนอก เขาเข้ามาราชประสงค์คืนนี้เพื่อสังเกตการณ์ เราคุยกัน น้องเขาบอกผมว่าศึกครั้งนี้ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะหายไปจากสังคมที่เป็นอยู่ รอฟ้าเปลี่ยนสีก่อนเขาจะกลับมาพบผมใหม่(หมายถึงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่)
ก่อนจากกันน้องเขายังพูดอีกว่าประชาธิปไตยไม่มีทางชนะโจร ตอนนี้โจรมีอำนาจ สิ่งที่จะชนะได้เราต้องมีปืนและกำลังพลเหมือนฝ่ายตรงข้าม รักษาตัวด้วยพี่ชายหากได้ดีผมจะติดต่อกลับมา ..ลาก่อน โชคดีน้องชาย เป็นคำพูดสุดท้ายที่เราร่ำลากัน ผมยืนมองน้องเขาขับรถออกไปทางด้านหลังเวทีจนลับตา
ตอนนี้ก็ตี1.45นาทีแล้ว ล่วงเลยสู้คืนวันที่ 19 พฤษภาคม 53 พอน้องเขาจากไปแม้จะยังเหลือผู้คนมากมายอยู่ล้อมรอบตัวผม แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในแยกราชประสงค์ ส่วนการ์ดคนอื่นๆแม้จะมีความสนิทกันบ้าง แต่ก็รู้จักกันเพียงชื่อเล่นเท่านั้น บ้านช่องห้องนอนไม่เคยไปเห็นกันเลย
ผมมาสมัครเป็นการ์ดเฉพาะกิจด้วยใจไม่เคยเรียกค่าตอบแทนจากใครๆ และผมก็ทำหน้าที่แบบเสี่ยงชีวิตหลายครั้ง โดยที่การ์ดคนอื่นไม่กล้าทำ การเสี่ยงตายในการทำงานของผมไม่ใช่ต่อสูกับทหารนะครับ บางทีผมต้องฝังตัวอยู่กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้รู้ความเคลื่อนไหวของศตรู เช่น เวลาพันธมิตรหลากสีชุมนุมที่สีลม ผมก็จะแฝงตัวเป็นพวกเขา ผมเป็นคนฟื้นทีจึงไม่ยากในเรื่องนี้ ผมจะคอยถ่ายภาพพวกหัวรุนแรงและคนที่มีอาวุธเอาไว้
คืนไหนที่พันธมิตรพกปืนมาหลายคนการ์ดเสื้อแดงที่อยู่ด้านหน้า รพ.จุฬาจะรู้ทันที ที่ผ่านมาเราชาวเสื้อแดงจึงไม่เคยมีใครเสียชีวิตจากพวกพันธมิตรหลากสี บางวันการทำหน้าที่ของผมไม่มีโอกาสเข้าราชประสงค์เลย การปิดทองหลังพระของผมจะรู้กันเฉพาะทีมที่ผมสังกัดอยู่เท่านั้น
แต่พอช่วงที่ทหารบีบวงล้อมแคบเข้ามาผมก็หมด โอกาสแทรกซึมทุกที่ ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำอะไรที่จะประโยชน์แก่ส่วนรวม ถ้ามัวแต่มานั่งรอทหารเข้าสลาย ผมทนไม่ได้แน่ ต้องทำอะไรสักอย่าง
ตี3กับ20นาทีผมขับออกจากราชดำริไปที่ซอย บ่อนไก่ ใช้เวลาเดินทางอย่างระวัง10นาทีผมก็มาถึง 3นาทีถัดมาอีกผมก็มาถึงคลองเตย มาถึงที่นี่เหมือนมาอยู่โลกอีกใบหนึ่ง ความกดดันหวาดกลัวระแวงหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความท้อแท้ที่ไม่ยอมแพ้ยอมจำนน
ชาวคลองเตยที่มาชุมนุมทุกคนเขามีความเป็นห่วง พี่น้องที่ราชประสงค์มากๆ ทุกคนพยามช่วยทุกอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการ ย้ายด่านหน้าเข้าไปหาทหารให้ใกล้เข้าไปอีก การเคลื่อนย้ายยางรถยนต์หรือด่าน ป้องกันภัยแต่ล่ะครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต วิธีป้องกัน กระสุนได้ดีที่สุดคือเผายางรถยนต์เพื่อให้เกิดม่านควันบังตาทหาร หลังจากผมหาอะไร กินที่คลองเตยแล้ว ก็มาอยู่ที่ซอยบ่อนไก่ ที่นี่ยังมีเสียงปืนจากทหารและเสียงประทัดยักษ์จากนักรบ นปช.
บ่อนไก่ ตี4กว่าๆแล้ว ผมยังคิดไม่ออกว่าจะช่วยเหลือพี่น้องที่อยู่ในราชประสงค์ยังไง
ขณะผมที่กำลังใช้ความคิดอย่าง หนักอยู่นั้น สมองต้องหยุดคิดในทันใด เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากรถกระจาย เสียงทางฝั่งของทหาร ว่าพี่น้องที่รักทั้งหลายทุกท่านหยุดยิงก่อน ทหารส่งเสียงมาได้แค่ไม่กี่คำ ก็มีพี่น้องนปช.คนหนึ่งยิบโทรโข่งตอบ โต้กลับไปทันทีว่า ไอ้ทหารชั่วมึงเป็นพี่น้องกับกูตั้งแต่เมื่อไหร่ มึงกับกูไม่เคยรู้จักกัน มึงยิงพวกกูตายไปหลายคนแล้ว ยังมีหน้ามาเรียกพวกกูว่าพี่น้องอีกเหรอ พี่น้องกันเขาไม่ทำกันอย่างนี้โว้ยไอ้ ทหารส้นตีน
หลังจากพูดจบก็มีเสียงคนโห่ไล่ทหารกันอย่าง พร้อมเพียง ตามด้วยเสียงประทัดยักษ์และเสียงอะไรต่อมิอะไรผมแยกไม่ออก ฝั่งทหารโวยวาย กลับมาว่ายังไงตอนนี้ผมฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ฝั่งนปช.ประเคนประทัดยักษ์ให้ทหารฟัง อยู่พักใหญ่ๆจนฟ้าสาง เสียงของนักรบนปช.ก็เงียบลง ที่เงียบลงสงสัยเสบียงอาวุธหมด เพราะเล่นกันแบบ ไม่ประหยัดเลย
ท้องฟ้าเริ่มสดใสหมอกยามเช้าก็กำลังเกิดขึ้น หมอกซอยบ่อนไก่ ไม่เหมือนหมอกที่ไหนๆ เพราะเป็นหมอกสีดำอันตรายที่เกิดจากการเผายางรถยนต์ วัน2-3วันมานี่ผมได้ยินโทรทัศน์ วิทยุประกาศอยู่บ่อยๆ ว่าใครเผายางนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ควันที่เกิดจากการเผายางอันตรายเพราะ เป็นสารก่อมะเร็ง มันก็ใช่นะ
แต่ให้คิดถึงหลักความจำเป็นระหว่างสารก่อ มะเร็งกับลูกกระสุนปืนที่ยิงจากทหารให้เลือกเอาอยากตายแบบไหน 06.30น. 19 พฤษภาคม ผมมองจากซอยบ่อนไก่ไปที่ใต้ทางด่วนพระราม4 เห็นมวลชนกำลังหลั่งไหลมาเรื่อยๆ และหันหลังมองกลับไปยังท้ายซอย ทำให้ผมคิดอะไรได้จึงปรึกษากับแนวร่วมหลายคน ว่าเราต้องระดมมวลชนให้ได้มากที่สุดเพื่อไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์
ตอนนี้หลายคนเริ่มได้ข่าวว่าทหารเข้าราชประสงค์แล้ว ด่านศาลาแดงแตกแล้ว ยิ่งทำให้ผมร้อนรน กว่าจะรวบรวมไพร่พลได้ ใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะต้องสอบถามเอาแต่คนที่สมัครใจไม่กลัวตาย คร่าวๆโดยประมาณพันคนเศษๆ (ต้องขอขอบคุณน้ำใจแนวร่วมทุกท่านในวันนั้นอีกครั้ง ที่ถามใครหาคนปฏิเสธยากมาก)
เมื่อพร้อมเพียงกันแล้วเราก็เฮโลเข้าซอยทันที โดยให้มอเตอร์ไซน์นำหน้าไปก่อน ยังไปไม่ถึงกลางซอยเลย พวกเราถูกพันธมิตรหลากสีโจมตีด้วยอาวุธปืนยาวน่าจะเป็นอาก้าเอชเค 47 เมื่อฟังจากเสียง และดูจากวีดีโอที่มีคนซูมถ่ายคนกับปืนไว้ได้ เราต้องหมอบและวิ่งหาที่หลบกันจ้าล่ะหวั่น หลายคนมองเห็นว่ายิงมาจากแฟลตบ่อนไก่หลังที่ 3 ชั้นที่4 แล้วก็มีเสียงตะโกนว่าเผามันเผามันเลย จึงมีคนปาระเบิดขวดประทัดยักษ์กันยกใหญ่
และตอนนี้เสียงปืนเสียงระเบิดดังมาจากทุกทิศทาง ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายยิงใคร เพราะผมเห็นชาวบ้านแถวบ่อนไก่บางคนมีอะไรเขาก็งัดออกมาสู้กับฝ่ายตรงข้ามหมด กำลังใจชื้นขึ้นมาว่า ฝ่ายเราก็มีปืนเหมือนกัน แต่แล้วความหวังที่จะไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์ก็เป็นอันหมดหวัง เพราะทหารเต็มซอยเลย เราจึงต้องถอยออกมา
ฉากสุดท้ายก่อนมอบตัว-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ร้องเพลงนักสู้ธุลีดิน รักคนเสื้อแดง และเพื่อนตาย ด้านล่างเวทีท่ามกลางการอารักขาของการ์ดในเวลาราวเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. ก่อนที่ช่วงบ่ายจะประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัว
ต่อมากี่โมงผมจำไม่ได้เขาบอกให้เงียบฟังโทรทัศน์มือถือ แกนนำกำลังประกาศบนเวที พอได้ยินแกนนำประกาศบอกอย่ายิงประชาชน แกนนำทุกคนยอมมอบตัวแบบไม่มีเงื่อนไข แค่นั้นแหละ แนวร่วมมวลชนจำนวนมากไม่รู้ใครเป็นใครก็เกิดอาการคลั่ง เริ่มทุบโน้นเผ่านี่ทันที ทั้งที่กองเพลิงเผาที่หน้าซอยงามดูพลียังดับไม่หมดเลย
มาถึงตอนนี้ผมก็คับแค้นรัฐบาลที่ทำอะไรมันไม่ได้ พี่น้องหลายคนก็จะเผาระบายแค้น ต้องคอยห้ามกันไว้ เพราะแถวซอยบ่อนไก่บ้านคนทั้งนั้น ยังดีที่ผมห้ามปรามพวกเขาเชื่อฟัง จึงทยอยกันไปที่อื่น
ต่อมาก็ได้ยินใครไม่รู้ร้องตะโกนชักชวนกันว่าไปที่หมายแห่งหนึ่งกันดีไหม...?
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 6/02/2010 03:42:00 หลังเที่ยง
อ่านจนจบบอกความรู้สึกไม่ถูกเลย
ตอบลบทั้งสะเทือนใจการเสียเปรียบทุกทาง
และแค้นใจกับรัฐบาลโจรที่ปล้นอำนาจของพวกเราไป
ก่อนวันเกิดเหตุ 2-3 ได้กลับบ้านมาก่อนด้วยเรื่องเร่งด่วน
คืนสุดท้ายก่อนกลับอยู่เป็นเพื่อนกับพี่น้องที่หน้าเวทีจนถึงเช้า
พอกลับมาก็ติดตามฟังข่าวทางวิทยุชุมชนเพราะไปไหนเอาติดตัวไปได้
อยู่บ้านก็ดูทางเน็ต คาดการณ์ล่วงหน้าว่ายังไงพวกเราก็ต้องแตกพ่ายแน่
ก็จะไม่ให้แตกพ่ายได้อย่างไร ทหารกับอาวุธสงครามเต็มอัตราศึก
เสมือนว่าทหารกำลังไปสู้รบกับอริราชศัตรูของประเทศ
ตอนบ่ายขณะที่แกนนำกำลังประกาศยุติการชุมนุม
มีเสียงปืนเสียงระเบิดตกวนอยู่หน้าเวทีตลอดเวลา
แต่ก็ยังได้เห็นภาพแกนนำทุกคนแสดงถึงความเป็นห่วงพี่น้อง
ละล้าละลังอยู่บนเวทีไม่ยอมเดินลงจากเวที คุณเต้นขอร้องให้พี่น้อง
รีบหาทางกลับบ้านเพราะอยู่ตรงนั้นมันอันตรายมาก
พูดไม่ทันจบลูกปืนวิ่งมาเฉี่ยวหัวแกนนำ จนทุกคนต้องย่อตัวหลบลง
จากนั้นการ์ดก็ได้ฉุดแขนแกนนำลงจากเวทีทางด้านขวามือ
ถึงตรงนี้ภาพที่ติดตามดูจากเน็ทก็ล้มและหายไป
เฝ้าติดตามว่าสถานการณ์ตลอดทั้งวันทั้งคืนทางวิทยุกับทางเน็ท
ทางทีวีไม่ค่อยนำเสนอข่าวเลย นอกจากช่วงดึกช่องทีวีไทยจึงเสนอข่าว
เหตุการณ์ผ่านมาแล้วจนถึงวันนี้ประมาณ 15 วันแต่พี่น้องเสื้อแดง
ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีใครลืมและไม่มีใครพูดคำว่าพูดคำว่า
พอแล้วแม้แต่คนเดียว มีแต่บอกว่าพวกเขาจะไม่ยอมจำนนและไม่ยอมแพ้
หากโอกาสเอื้ออำนวยและถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาจะเดินหน้าต่อสู้อีก
เราขอขอบคุณผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ การ์ดที่สู้ไม่ถอย และพี่น้องเรา
ที่อยู่จนนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะ น.ส.ผุสดี นามขำ ที่นั่งรอความตาย
อยู่ที่หน้าเวทีเป็นคนสุดท้าย ที่สำคัญผู้เขียนเล่าเรื่องนี้
ขอได้โปรดให้ทุกท่านได้รับการคารวะจากเราด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านแล้วรู้เลยว่า คนที่เขียนมีนิสัยคล้ายผม เรารู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรซึ่งมันตรงข้ามกับสื่อที่เผยแพร่ออกมา คืนวันที่17พค53 ผมกับเพือนตายคนนึงที่มาสนิทกันเพราะการออกมาชุมนุม เข้าไปดูว่าเขาทำอะไรกันที่ใต้ทางด่วนพระราม4ช่วงที่เลยบ่อนไก่ไป และเดินเลาะเข้าไปถึงปากซอยงามดูพลี ที่นี่จะเห็นคนเสื้อแดงย้ายกองยางรถยนต์ร่นเข้าไปทางสะพานไทย ญี่ปุ่น และถนนพระรามสี่ช่วงนี้เดินเลาะติดด้านงามดูพลี สาธร ได้อย่างเดียว มีพลซุ่มยิงบนตึกฝั่งนี้จะเห็นประกายไฟแว๊บนึงเวลาลูกกระสุนปืนกระทบพื้นถนน( ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้าวันที่10เมษา บรรยากาศการชุมนุมเหมือนมีคอนเสิร์ตเท่านั้นและจำนวนคนก็ทยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่มีเหตุคนเสื้อแดงไปรุมทำร้ายใครเหมือนที่เป็นข่าว)
ตอบลบ