แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"คน ชุดดำ" บนเส้นทางสู่ความจริง




โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com

ผมไม่ ได้เป็นแฟน "เอเชียไทม์ส ออนไลน์"ชนิดขาดไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่า"เอโอแอล"
เลือก เรื่องมาบอกเล่าได้น่าสนใจในหลายๆ ครั้ง เพราะตรงกับความอยากรู้ ในห้วงจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ


อย่างเช่นเมื่อหลายคนอยากรู้ ให้มากขึ้นเกี่ยวกับ"คนชุดดำ"เอโอแอลก็มีข้อเขียนของ เคนเนธ ท็อดด์ รุยซ์
และ โอลิวิเยร์ ซาบิล สองผู้สื่อข่าวและช่างภาพอิสระ มาเขียนบอกเล่าถึง"เม็น อิน แบล็ค"เต็มๆ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา


รวมทั้ง ข้อเขียนชวนให้ขบคิดใคร่ครวญอย่างยิ่งของ
แดนนี่ อังเกอร์ ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย นอร์เธิร์น อิลลินอยส์ ในสหรัฐอเมริกา
เมื่อ วันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็พอเหมาะพอดีกับสถานการณ์แวดล้อมของการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง


เรื่อง แรกนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หยิบยกไปพูดถึงไว้ในการตอบคำอภิปราย
ในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากมายนัก
เพราะคงคิดอย่างเดียวกับ ที่ผมคิดว่า เรื่องอย่างนี้"อ่านเอาเอง-คิดเอาเอง"จะดีกว่าเป็นไหนๆ


แต่ ในด้านหนึ่ง คำบอกเล่าของ เอโอแอล เรื่องคนชุดดำ ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เพิ่มเติมมากมาย
อาจเป็นเพราะ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขง่ายๆ ประการหนึ่งก็คือ
พูดคุยด้วยได้ แต่ห้ามถ่ายภาพ-ถ้าถ่ายแม้แต่ช็อตเดียว"ผมจะฆ่าคุณ"


คำบอกเล่า ของเอโอแอลเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้จึงเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า
"คน ชุดดำ"ที่เรียกตัวเองว่า"แบล็ค แองเจิล"ผู้ทำหน้าที่"พิทักษ์"ผู้ชุมนุม-มีอยู่จริง
มีอยู่ด้วยกันจำนวน ทั้งสิ้น 27 คน จัดตั้งแบบเดียวกับหน่วยทหารในยามศึก
มีทั้งผู้รับผิด ชอบด้านสื่อสาร และผู้ที่รับผิดชอบด้านเสนารักษ์ ส่วนใหญ่เป็น"พลร่ม"



มี หนึ่งรายที่บอกว่ามาจาก"กองทัพเรือ"ทั้งหมดมีอาวุธสงครามเป็นอาวุธประจำกาย
ทั้ง เอ็ม 16, ทาร์ 21 (ที่มักคุ้นกันมากกว่าในชื่อ ทาร์โว่) ผลิตในอิสราเอล
ที่ ยึดมาจากทหารที่สี่แยกคอกวัว, เออาร์-15 ไรเฟิล เป็นอาทิ
ผู้สื่อข่าว ของ เอโอแอล ไม่เห็น เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 แต่เชื่อว่า
มีอยู่ในครอบ ครอง พิเคราะห์จากการจัดการกับระเบิดพลาสติค
และการจัดวางระเบิดรอบ พื้นที่ที่เป็นค่าย ทำให้รุยซ์และซาบิลสรุปว่า
ทั้งหมดน่าจะผ่านการฝึก ด้านวัตถุระเบิดมา เช่นเดียวกับยุทธวิธีด้านการทหารอื่น


คนทั้ง หมดอยู่ในวัยยี่สิบเศษ อ่อนเยาว์เกินกว่าที่จะเป็น"คอมมานโด จากยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์"
อย่างที่สื่อเคยพูดถึงกันไว้ ทุกคนมีพื้นเพมาจากดินแดนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกว่า"บ้าน"

รุยซ์ และ ซาบิล ยืนยันว่า ค่ายพักของคนชุดดำอยู่ในส่วนที่เป็น"หัวใจ"ของพื้นที่ชุมนุมนั่นเอง
ทั้ง คู่ระบุด้วยว่า ได้เห็น"คนชุดดำ"ออกปฏิบัติการ 2 ครั้ง หนึ่งนั้นเป็นการจัดชุดเล็กออกไป
"ปฏิบัติการ"ในพื้นที่"ประตูน้ำ"เมื่อ วันที่ 15 พฤษภาคม

อีกครั้งเป็นการปฏิบัติการ"เผา"ในวันที่ 19 พฤษภาคมนั่นเอง!
*****


ผมครุ่นคิดถึงข้อเขียนเรื่องคนชุดดำ อย่างมาก
เมื่อครั้งที่ได้ผ่านตาคำให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ผ่านการจัดการของทีมทนายความ ประจำตัว ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่เป็นตัวแทนสื่อในหลายประเทศ
ตั้งแต่ สหรัฐอเมริกาไปจนถึงออสเตรเลีย


ตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวเอาไว้เป็นการให้ข้อมูลว่า
ในฐานะเป็นตำรวจเก่า การันตีได้เลยว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เผากรุงเทพฯในวันนั้น
หากแต่เป็น การ"จัดฉาก"ที่เกิดขึ้นเพื่อใส่ใคล้ผู้ชุมนุม เหตุผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ
การเผาดังกล่าวเป็นไปอย่างมี"แบบแผน"มากเกินไป ไม่ใช่เกิดขึ้นจากอารมณ์
หากแต่เป็นการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี


แม้ ตรรกะของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะฟังดูแปร่ง-แปลกหู
แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่า ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น หากแต่อยู่ตรงที่
ข้อมูลที่ออกจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับข้อมูล
ที่ผู้สื่อข่าวเอโอ แอลบอกเล่าออกมา


ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือ
สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด คล้ายคลึงแทบจะเป็นข้อมูลเดียวกันกับที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่า การเผาครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่อง"บังเอิญ"
หรือ เพราะ"อารมณ์ชั่ววูบ"หากแต่เป็นการเผาที่ผ่านการตระเตรียม และวางแผนการมาเป็นอย่างดี


ข้อมูล 2 ชุด แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน ต่างกันที่ข้อสรุปเท่านั้นเองว่า"มรึงทำ-ไม่ใช่กู"


นี่คือข้อ ที่ชวนให้สังเกตอย่างยิ่ง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด"ข้อมูล"แบบเดียวกันนี้
แต่ถูก"ตี ความ"แตกต่างออกไปเกิดขึ้นภายในปริมณฑลแห่งความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อ ของไทยหนนี้


เป็นข้อมูลที่ยากอย่างยิ่งที่คนธรรมดาสามัญอย่าง เราๆ ท่านๆ ยากอย่างยิ่ง
ที่จะหาข้อพิสูจน์ได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนถูกและผิด


เมื่อไม่อาจพิสูจน์จริงเท็จด้วยตัวเอง และขาดความระมัดระวังใคร่ครวญเพียงพอ
ใส่ใจอยู่แต่ว่า"อะไร"เกิดขึ้น ไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอว่า"ทำไม"มันถึงได้เกิดขึ้น เป็นธรรมดาอยู่เอง
ที่ คนทั่วไปจะเลือกใช้วิธีการ"เชื่อ"จากตัวบุคคลที่พวกเขา"คิดเอา ว่า"หรือ"ศรัทธา"ว่า เชื่อถือได้


จึงเกิดความ"เชื่อ"เพราะนี่คือ สิ่งที่"ทักษิณ"พูด และความ"เชื่อ"เพราะนี่คือสิ่งที่"อภิสิทธิ์"พูด


ไม่ ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนจากกรณีนี้ว่า
จำ ต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด"เล่นกล"กับข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


เพราะนั่นนไปสู่ปัญหาสำคัญ ที่ไม่อาจหาคำตอบได้ นั่นคือ
ใครกันที่เล่นแร่แปรธาตุ หยิบความจริงผสมความเทืจออกมาบอกเล่า!


มีใครบอกได้ไหมครับว่า ใครกันชอบใช้วิธีการเช่นนี้?



แดนนี่ อังเกอร์ พูดถึงเรื่อง"เส้นทางสู่ความเป็นจริง"ในเมืองไทย ไว้น่ารับฟังอย่างมาก
เขา เริ่มต้นจากการชี้ให้เห็นว่า
ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย เต็มไปด้วยการนิรโทษ ให้อภัย และความอดทนอดกลั้น


ในทางหนึ่ง การกำหนดแนวทางเช่นนั้น
ถือเป็นการให้ความสำคัญสูงสุดแก่คุณสมบัติความ เป็น"คน"แต่ในอีกทางหนึ่งการกำหนดเช่นนั้น
อาจนำมาซึ่งสภาวะ"พ้นจากความ รับผิดตามกฎหมาย"
และกระตุ้นให้เกิดอาการ"ขาดความรับผิดชอบ"ต่ออาชญากรรม และการใช้อำนาจอย่างบิดเบือน


พูดง่ายๆ ก็คือ การให้อภัยหรือนิรโทษฯครอบคลุมไปทั้งหมด
"รีเซ็ต"สังคมไทยใหม่ได้หลายต่อ หลายครั้งก็จริง
แต่ทุกครั้ง เป็นเหมือนการ"กวาดขยะ"เข้าไปซุกไว้ใต้พรม-ใช่หรือไม่!

อย่างไรก็ตาม อังเกอร์เชื่อว่า
นั่นเป็นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ในอันที่จะทำให้เมือง ไทยของเราบรรลุถึง"ความสงบสันติในสังคม"
ซึ่งสังคมไทยกำลังต้องการมาก เหลือเกินในเวลานี้


อีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้ นั่นคือ การกำหนดให้ทั้งสังคม ยึดมั่นในพันธะแห่ง"นิติรัฐ"
และสร้างกรอบขึ้นมา อันหนึ่งสำหรับใช้ในการ"แก้ปัญหาความขัดแย้ง"ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


นั่น หมายความว่า ใครจะทำอะไร ต้องแบกรับความรับผิดชอบตามกฎหมายเอาไว้ด้วย
ใคร ผิดต้องว่าไปตามผิด ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง รัฐบาลหรือทหารก็ตามที

ถ้าถาม แดนนี่ อังเกอร์ ความเห็นของเขาที่ให้ไว้เป็นการส่วนตัวก็คือ
เขาเชื่อว่าเมืองไทยเรา กำลังต้องการอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก เหตุผลประการสำคัญ
เพราะเขาเกิด กังขาขึ้นมาแล้วว่า
วิกฤตการณ์ทางการเมืองหนนี้ได้ปั่นความขัดแย้งใน สังคมไทยให้ทะยานขึ้นสู่ระดับ
ที่"การให้อภัย-นิรโทษฯ"สามารถทำให้ทุก ฝ่ายเลิกรา
และหันหน้าเข้าหากันในฐานะคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างสันติสุข ขึ้นในสังคมอีกครั้งหนึ่งสำเร็จได้


แต่ แดนนี่ อังเกอร์ รู้เรื่องเมืองไทยดีพอที่จะซึมซับได้ว่า แม้เลือกใช้หนทางแรก
การส ร้าง"ข้อเท็จจริง"ให้ปรากฏและเป็นที่ยอมรับของทุกคน ทุกกลุ่ม ก็ยากเย็นเหลือหลาย


เขาบอกไว้ตอนหนึ่งว่า ณ วันนี้
ดูเหมือน คนไทยจะยึดกุมเอาแนวความคิดรวบยอดทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งไว้อย่างเต็มที่ แล้ว
เขาอธิบายแนวความคิดรวบยอดที่ว่านี้เอาไว้ด้วยการอุปมาถึง
"ต้น กำเนิดแห่งความผิดบาป"เหมือนกับที่ระบุเอาไว้ใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์


"ต้น กำเนิดแห่งความผิดบาป"คือความคิดแบบเหมารวม โดยปราศจากการจำแนกแยกแยะข้อเท็จจริง
และสภาวะแวดล้อมจำเพาะที่แตกต่าง ออกไป
ในทำนองเดียวกับทรรศนะที่ชาวปาเลสไตน์มีต่อชาวอิสราเอลและผู้คนใน อิสราเอลมีต่อปาเลสไตน์


ความขัดแย้งในปัจจุบัน เกิดขึ้นเพราะเราไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกันได้ เพียงเพราะเหตุการณ์ในอดีต


เขา บอกว่า เพราะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีข้อเท็จจริงกี่ชุด
แต่ละฝ่ายสามารถตี ความข้อเท็จจริงเหล่านั้นให้แตกต่าง และกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ได้ทุกครั้ง ทุกที


เช่นเดียวกับการ"สรรหา"ผู้คนหรือกลุ่มคนอันหนึ่งอันใด ขึ้นมาทำหน้าที่รับผิดชอบ
ในการแสวงหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็อาจเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งใหม่ได้แทบจะในพริบตา


นั่นทำให้ แดนนี่ อังเกอร์ เสนอให้รัฐบาลใช้บริการของคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสหประชาชาติ


ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่า คนไทยเป็นจำนวนมากยากที่จะทำใจยอมรับได้ในเรื่องนี้



"คน เรามีสีติดตัวเมื่อไหร่กัน?"เพื่อนฝรั่งของผมถามขึ้นมาลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ


ดำ เหลือง แดง หรือเขียว ไม่ใช่สีที่ติดมากับตัวตั้งแต่เกิดอย่างแน่นอน
บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ตัวเองสีอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมายัดเยียดให้ด้วยคำพูดในทำนองที่ ว่า"เฮ้ย พูดอย่างนี้ต้องเป็น-นี่หว่า"


การยัดเยียดของคนเพียง ลำพังไม่ได้ทำให้คนมีสีสันติดตัว แต่ถ้าหลายคนและหลายครั้งเข้า
แม้เจ้า ตัวจะไม่รู้สึก หรือไม่ยอมรับ ผู้คนก็มีสีเข้าจนได้
"ทำอย่างไร สีถึงหมดไปในเมืองไทย?"


ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป หรือจริงๆ ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าทำอย่างไร


ผมเองรู้แต่ว่า ถ้าไม่อยากมีสี ก็ต้องเลิกใช้สีไปป้ายให้ใครต่อใครเขา-ก็เท่านั้น!

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275809145&grpid=&catid=02

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน