โดย DeeJ อ้น ชัยนรินทร์
ศูนย์เอราวัณ และ สาธารณสุขสรุปยอดผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่12 มีนาคม2553 ถึงปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิต 88 ราย บาดเจ็บ 1,885 คน และนี่คือ ตัวเลขที่มีรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศ!
ไม่น่าเชื่อว่าภายหลังวันเจรจาเริ่มต้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2553 ระหว่าง ตัวแทน นปช.แดงทั้งแผ่นดินนำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ กับ ฝั่งรัฐบาลซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะนำไปสู่เหตุการณ์กลียุค พฤษภา 53
ทำไม? เ หตุการณ์ที่กำลังคลี่คลายไปสู่พรมแดนแห่งสันติ จึงกลับกลายเป็นดั่งเปลวเพลิงห่ากระสุน
แม้ว่าความตายมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่การตายอันมีลักษณะผิดจากธรรมชาติ และความตายที่รัฐมอบให้ไม่ว่าจะในรูปแบบกระสุนของทหาร ผ้าพันคอ หรือ สติ๊กเกอร์สีอะไรก็ตาม มันคือความตายที่เกี่ยวข้องกับรัฐ ซึ่งรัฐต้องรับผิดชอบ
จะนิ่งดูดายเอาแต่เพียงการจัดการที่ได้หน้าได้ตา ได้การโฆษณา ซึ่งล่าสุดแม้ว่านายอภิสิทธิ์ จะพยายามอย่างสุดซึ้งในกรณีที่นำพวงหรีดไปวางหน้าศพน้องเกด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตด้วยอาวุธปืนสงครามภายในวัดปทุมวนารามอันเป็นวัดหลวง แต่ทางญาติผู้ตายไม่ต้องการโดยเชิญออกจากหน้าพิธี
เหตุการณ์ยกระดับการกระชับวงล้อมหรือขอพื้นที่ ราชประสงค์คืน ของ ศอฉ. ในเช้ามืดวันที่19 พฤษภาคม 2553 นั้นสร้างจินตนาการได้หลากหลายยิ่ง
ข้อแรก ที่น่าสนใจ คือ กระบวนวาทกรรม ของ นาย ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล ได้โน้มน้าวด้วยคำพูดที่ใช้ ฟังดูดี สุภาพ เรียบร้อย ประหยัดคำพูด อันเป็นรสนิยมภาษาของคนเมืองกรุงฯ แต่การกระทำนั้นเผด็จการเด็ดขาดตามแบบฉบับของทหารนิยม
แต่ด้วยชุดวาทกรรมของนายปณิธาน นี่แหละ ที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า มีมาตรการในการจัดการ ด้วยแนวทางประนีประนอม ไม่ได้โต้ตอบด้วยความรุนแรง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง ก็เพราะ มันทำให้หน่วยข่าวกรองต่างๆ ในเวทีชุมนุมลืมเสียสนิทใจว่า ทหารสามารถใช้เครื่องมืออาวุธ ที่ใช้ทำสงครามภายนอกประเทศ และแล้วภาพการใช้อาวุธสงครามดังกังวานไปทั่วโลก
ยุคมืดแห่งโลกาภิวัฒน์ อยู่บนโลกที่สามนามว่าประเทศไทย
ขอท้าวความไปนาทีแรกแห่งการเจรจา ในวันที่28 มีนา 2553นั้นดู เรียบร้อยดี เมื่อเข้าไปภายในห้องแล้วได้มีการนั่งประจันหน้ากันดังนี้ นายแพทย์เหวงกับนายชำนิ นายวีระกับนายอภิสิทธิ์ และนายจตุพรกับกอร์ปศักดิ์ โดยมีบรรยากาศยิ้มพราย สบายๆ และมีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที
นายวีระได้เสนอข้อเสนอโดยให้นายกรัฐมนตรียุบสภาเลือกตั้งใหม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่มีการเจรจาวันนี้ก็เพื่อต้องการให้ประเทศไทยชนะไม่ใช่ฝ่ายใดผ่านหนึ่งชนะ ตนเองก็พูดมาตลอดว่าไม่ได้เป็นศรัตรูกัน แม้นว่าความเห็นทางการเมืองแตกต่างก็กันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็เห็นว่าไม่มียุคใดที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่หลังจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดระยะเวลา 13-14 วันที่ผ่านมารัฐบาลก็มีการประเมินตลอด และขณะนี้ทุกฝ่ายก็เครียด ตนไม่เคยปฏิเสธของการยุบสภา ก็มีคำถามว่า การยุบสภาแล้วเราจะทำอะไร?เพื่อวัตถุประสงค์อะไร? เพราะความขัดแยังที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่มากจากการรัฐประหารแต่เป็นสิ่งที่สะสมมานาน แต่การจะตกลงอะไรกันนั้นคงจะต้องการปรึกษาจากหลายๆฝ่าย เพราะตนนั้นมาในฐานะนายกรัฐมนตรีก็จำเป็นต้องปรึกษาพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
ซึงจะเห็นด้ว่า แนวทางร่วมกัน คือ ต้องการยุติปัญหาทางการเมืองด้วยการเมือง คือการแลกเลือก ระหว่างข้อเสนอทาง นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คือ ยุบสภา กับ ยุติการชุมนุมทางการเมือง นั้นข้อตกลงตรงกันคือ การกลับไปคิด กรอบของเวลา ในการยุบสภา ว่าเมื่อใดดี จะอีกสามเดือน หรือ สิ้นปี หรือ 15 วัน(ตามที่นายจตุพร พรพมพันธุ์เสนอ)
มาถึงตรงจุดนี้ อะไรๆก็ดูเหมือนว่า ทางออกในครั้งนี้กำลังเดินหน้าไปได้สวย แต่ถ้า พิจารณา การโต้แย้ง และ ข้อถกเถียงกัน ในเชิงเนื้อหา และสภาพปัญหาทางการเมือง มีข้อยอมรับร่วมกันคือ การยุบสภามิใช่ประเด็น แต่ปมขัดแย้งทางการเมือง ทางสงครามความคิดได้ปริแตกเป็นรอยลึกยากจะประสานสอดคล้อง นั้นคืออุดมการณ์ที่เรียกว่า อำมาตย์ กับ ไพร่
อะไรคือ “อำมาตย์” และอะไรคือ”ไพร่” มันมิใช่ฐานะทางชนชั้นทางเศรษฐกิจ แต่มันคือความรู้สึกร่วมต่อการเป็นเจ้าของความรับรู้ทางสำนึกอย่างวิญญูชน ดังที่เสื้อแดงมี บุคคลที่มีเกียรติและฐานะความรู้ทางสังคม อย่าง หมอเหวง หรือนายแพทย์แหวง โตจิรการ หรือสหายเข้ม ชื่อจัดตั้งในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในการเจรจาทางการเมืองรอบที่ผ่านมา
นายแพทย์เหวงคนนี้ มีประสบการณ์ต่ออุดมการณ์ของเขามายาวนาน และเป็นอุดมการณ์ทุนนิยมดีกว่าศักดินา ล้าหลัง ดังนั้นแนวคิด “ไพร่” ก็ คือ แนวความคิดที่เอาการแข่งขัน เอาพลังการผลิต และพัฒนาเทคโนโลยี จากรากหญ้าสู่ไม้ใหญ่
สอดคล้องกับแนวร่วมเสื้อแดงท่านหนึ่ง ที่สื่อเรียกขานว่า “ ไพร่ ห้าหมื่นล้าน” ซึ่งเขามองว่า การแข่งขันที่มีอำมาตย์เป็นใหญ่ ทำให้การพัฒนาการแข่งขันเสรีในระดับโครงสร้าง มิได้เติบโตไปอย่างที่มันควรจะเป็น มันคือ ความไม่เสมอภาคทางการแข่งขันและไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมใดๆได้เลย
หรือกระทั่งดีเจอ้อม กลุ่มรักเชียงใหม่51 มองว่า การตายของพี่น้องเสื้อแดงชาวไพร่ เมื่อวันที่10 เมษายน2553 เหมือนหมาที่ถูกยิงตายข้างถนน!!!
ลำพังการต่อสู้เพียงเพื่อให้ได้ข้อยุติทางการเมืองเฉยๆ ตามระบบรัฐสภาซึ่งก็ได้ผลสรุปแน่ชัดว่ารัฐบาลชนะโหวตเสียงในสภาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็คงไม่น่าจะมีการสูญเสียชีวิตมากมายขนาดนี้ แต่ด้วยเพราะการเอาชนะที่มากกว่าระบบรัฐสภา คือการครองความเป็นใหญ่ในทางจิตสำนึก ซึ่งนี่เป็นต้นเหตุหลักที่ดึงเอาอุดมการณ์สูงสุดต่างๆมาปะทะกัน จนเกิดเป็นรูปรอย แนวทางการต่อสู้ ของชนชั้นปกครอง และแล้ววันซ้อมใหญ่ก็มาถึง ซึ่งได้ออกมาเป็น ความน่าสะพรึงกลัวของการทำสงครามกับประชาชน อาวุธรุนแรงที่สุดถูกพิสูจน์บนท้องถนน ความสามารถขั้นเทพของการยิงอย่างแม่นยำ ประดุจการจับวางวิณญานเพฌฆาต
การต่อสู้ทางรัฐสภาจึงเป็นเพียงคอกหมูของการปกครอง ไม่ท้าทายอธรรม มิหนำซ้ำยังเปิดเกมให้อำมาตย์เอาชนะได้หมด ทุกทาง (ตุลาการภิวัฒน์ ฯลฯ)
ดังนั้น สิ่งที่ยอมรับกันมากที่สุดในการใช้ศิลปะประชาธิปไตย คงอยู่ที่ชั้นเชิงนอกสภา อาวุธที่ยังคงมีอานุภาพ คือ สื่อทุกชนิด และ พลังแห่งการสร้างสรรค์ทางอุดมการณ์ จิตสำนึก มีอยู่ล้นเปี่ยม หากมันขึ้นอยู่กับการจัดวาง เวทีทางความคิดในรูปแบบต่างๆอย่างมีระบบให้มีพลัง คือ สิ่งบอกเหตุแห่งชัยชนะ
ถึงเวลาแล้วละครับ ที่จะถอดความบันเทิงจอมปลอมในรูปแบบเนื้อหาเก่าๆเดิมๆ การกินเลี้ยงเชิญแขกด้วยนักวาทศิลป์ที่ยังไม่ตื่นแห่งความฝัน อันศักดิ์สิทธิ์ น่าจะตกขอบหมดยุคเสียที นอกจากว่ายังไม่เข็ดและยอมรับความพ่ายแพ้ที่ไม่สิ้นสุด
แต่ผมคนหนึ่งละครับที่(ไม่)เจ็บแล้วจดจำไปวันตาย ....ลองไตร่ตรองดูเพื่อนแดง
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 6/02/2010 03:30:00 หลังเที่ยง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น