ก่อนอื่นต้องขอกล่าวตรงนี้ไว้่ก่อนว่า ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพราะไม่ได้ต้องการมาเกย์ทับ บลั๊ฟแหลกใครอะไรตรงไหน แต่ด้วยที่ว่าอ่านเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เขียนเรื่อง สุชาติ นาคบางไทร จากหลายๆท่าน ที่พยายามเขียนจากฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไป เอาเป็นว่าในฐานนะที่เดินทางเส้นเดียวกันกับสุชาติมาช่วงหนึ่ง ก็ขอเขียนในมุมมองของตัวเองบาง ฐานข้อมูลบางอย่างก็อาจจะไม่ตรงหรือไม่เหมือนการเขียนของคนอื่น เพราะลีลาก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา ....
ผมเริ่มรู้จักกับ ปากไวใจดี ทางเวปบอร์ด การเมืองยอดฮิตอย่างห้องราชดำเนินของค่ายพันทิพคาเฟ่ ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วล่ะก็เขาเองก็ไม่ได้เป็นเช่นกูรูทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ก็ด้วยลีลาการตอบแต่ล่ะทียาวเหยียด และเสนอแนวความคิดที่เรียกว่าโดนใจ และก็ฟาดฟันกับกลุ่ม Anti-Government ในขณะนั้น ที่เรียกว่าระดมกันมาอย่ามโหราญ และ Big name ในขณะนั้น ก็มีอย่าง บก.ลายจุด พิเภก แคนไทยเมือง แล้วก็อีกหลายคนที่ผมจำชื่อได้ไม่หมด เอาเป็นว่ายกมาเท่าที่จำได้
ก่อนหน้าที่จะมีการยึดอำนาจไม่นาน ปากไวใจดี ได้เริ่มตั้งเวปบอร์ของตนเองขึ้นชืื่อว่า Weekend conner ซึ่งที่มาที่ไปเป็นอย่างไรผมจำได้ไม่แน่ชัดครับ แต่เท่าที่จำได้แม่นๆ ก็มีการเอาพิเภก เข้าไปร่วมด้วย ซึ่งสุชาติเล้าให้ฟังเองว่า เพราะภิเพก ดึงคนได้ดี ก็เลยไปชวนมา ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากัน โลกของอินเตอร์เนทมันก็แบบนี้ครับ คุยกันแต่ไม่เห็นหน้ากัน อย่างนี้เยอะมาก
หลังจากที่มีการึดอำนาจ และราชดำเนินมีอันต้องปิดเพราะโดนสั่งปิดชั่วคราว พวกเรา(ฝ่ายเรา) ก็เคว้งหาที่ลงไม่ได้ เป็นเจ้าไ่ม่มีศาลกันหมด ผมจำได้เลาๆ ว่าคืนวันที่ 20 พวกเราหลายคนพล่านกันมาก ผมได้เบอร์ msn เป็นใครต่อใครบ้างไม่รู้ เรียกได้ว่าวุ่นไปหมด ซึ่งตอนนั้นเองผมก็ได้เป็นสมาชิกweekend conner ไปแล้วแต่ตอนนั้นทางเข้าปิดสนิท และก็มีการเปิดเวปบอร์ด ด่า คปค. กันกลายๆ และทางเข้า weekend conner ก็เปิดให้ผมเข้าไปได้
ซึ่งบอกตามตรงว่า ใน Moment นั้น ผมจำอะไรแทบไม่ได้ เพราะมันงุ่นง่านมากๆ
หากคนที่เป็นสมาชิกของweekend conner ก็ต้องมีCode เลขโทรศัพท์ สี่ตัวแรกที่มีรหัสทางไกลไว้ด้วยเพื่อบอกว่าอยู่ที่ไหน จะด้วยเป็นการจัดกลุ่มหรือไม่อย่างไร พวกเราก็ได้นามเรียกขาน ทีมีเลขสี่ตัวนี้ตามหลังชื่อที่ส่วนใหญ่ก็เป็นชื่อในพันทิพ (หากว่าอพยพมาจากที่โน่น)
หลังจากที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง เราก็มีทางเข้าที่ซับซ้อนแบบชนิดที่ว่า ต้องแกะรหัสกันยุบยั่บ ขณะนั้น ความหวังของพวกเราส่วนใหญ่มากจากข่าวของสองคนก็คือ พิเภก กับเจมูจิน นอกนั้นก็รวมเหล่านักวิเคราะห์ (ที่ตอนหลังเป็นแค่พวกนักวิแคะ) ซึ่งเรียกได้ว่าพวกเราหิวข่าวยิ่งกว่าหิวข้าว จึงเป็นที่ปล่อยข่าวลวงของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
ผมอยากย้อนไปสักนิดหนึ่งก่อนที่จะมีการนึดอำนาจ มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งผมเองก็ตามติดมาห่างๆ ไม่ได้เข้าร่วมด้วย กลุ่มคนพวกนี้ก็คือกลุ่มคนผ่านฟ้า ซึ่งภายหลังก็แยกกลุ่มกัน และมีกลุ่มใหม่ขึ้นก็คือ กลุ่มวายุภักษ์ (หากจำไม่ผิดนะ) ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่ออกมาต่อต้านสนธิลิ้ม และสนับสนุนรัฐบาล (เรืองนี้เอาไว้ให้คนในกลุ่มมาเล่าเองนะครับ)
พวกเราหลายร้อย (ที่จริงเป็นพัน) ก็เริ่มที่จะเข้า weekend conner เป็นหลักมากกว่าที่อื่น และจำได้ว่า มีการไล่ Block จากทางICT เป็นระยะๆ ทำให้เราต้องย้ายบ้านหนี และเปลี่ยนชื่อหนีกันอุตลุด เรื่องนี้สุชาติ ที่ตอนนั้นเราเรียกเขาว่า น้าแอ๊ด... ซึ่งมาจาก Admin เพราะสุชาติเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเปิดเวป และจัดการเรื่องเวป และเป็นคนแรกที่เข้ามาเป็นสมาชิก จึงไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ นอกจากชื่อ Admin ซึ่งพวกเราก็เรียกแกอย่างนี้เรื่อยมา จนกระทั่งออกมาสู้นอกเวปนั่นล่ะ จึงเปลี่ยนชื่อกัน
ถามว่าพวกเราไปทำอะไรกันบ้างในตอนนั้น ผมเองก็ไม่อยากที่จะโม้หรือว่าพูดแบบขี้โอ่อะไรมากมาย เอาเป็นว่าพวกเราหลายคนก็สร้างประโยชน์ไว้ให้กับการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย และส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครมาบอกให้ใครทำ และไม่มีการมาบอกว่า นี่ผมทำเอง... เพราะตอนนั้นเรากลัวอำนาจของทหารมากๆ ซึ่งก็มารู้เอาทีหลังว่า ตอนนั้นไม่น่ากลัวเท่าตอนนี้ เพราะบังธิ ไม่ได้บ้าเลือด จะมีก็่แต่สพรั่งคนเดียวที่ออกอาการมากที่สุด
หลังจากที่มีการยึดอำนาจ ตอนนั้นกลุ่มแรกที่ออกมาเคลื่อนไหวจริงๆ ก็คือ กลุ่ม 19 กันยาฯต้านรัฐประหาร และคนที่ออกมาต่อต้านแบบยืนเดี่ยวคนเดียว จนกระทั่งจบชีวิตของตัวเองเพื่อประท้วงอำนาจเผด็จการก็คือ ลุงนวมทองไพรวัลย์
ผมจำเหตุการณ์ที่ไปร่วมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ขณะนั้นผมไม่รุ้จักใครเลยสักคน แต่ก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เอาเอกสารมาแจดเปนกระดาษเอสี่พับครึ่ง ผมรับมาดู มันคือ หนังสือพิมพ์เล็กๆชื่อ เสรีชน ...(ในช่วงหลังก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ ฅนวันเสาร์ทำเป็นประจำ) เป็นหนังสือพิมพ์รายสะดวก
ซึ่งตอนนั้นก่อนที่จะมีการพิมพ์ออกมา ก็มีการเอามาปล่อยทางเวปนี่ล่ะ พวกเราหลายคนก็ Print เพื่อเอาไปแจกจ่ายต่อ ส่วนใหญ่ก็เป็นข่าว บทความ ที่น่าจะนำไปขยายต่อ ว่ากันตามตรงแล้วก็ไ่ม่ได้มีข่าววงในอะไรมากมายไปกว่า การวิเคราะห์ วิแคะแบบตามมีตามเกิด
กลางเดือนตุลาคม(หากจำไม่ผิด) เรื่องที่ฮือฮามากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ การที่ เตมูจิน ไปแจ้งความจับ พลเอกสนธิ ข้อหา 113 คือเป็นกบฏ ซึ่งในใบแจ้งความนั้นลงชื่อ นายชณาพัทธ ณ นคร เรื่องนี้ก็เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้พวกเราเริ่มออกมาชุมนุมกันนอกเวป ซึ่งตอนนั้นเป็นกฏอัยการศึกห้ามชุมนุมกันเกินห้าคน ก
ก่อนหน้านั้นก็มีการแถลงข่าวกันอย่างเป็นทางการ โดยมีพี่ชายของสุชาติ มาร่วมด้วย มีสุดชาย บุญชัย และก็ชณาพัทธ แต่ผมน่ะหรือ อยู่ในเวปนั่นล่ะ ไม่กล้าออกมาหรอกตอนนั้น
หลังจากที่มีการแถลงข่าวก็มีการปล่อยข่าวกันเยอะแยะทำให้แพแตกเผ่นแน่บกันไป เพราะมีมือดีเอาข่าวมาปล่อยว่า ให้แยกสลายตัวเพราะป่าหวายเอาจริง อะไรก้ว่ากันไป ตอนนั้นก็มีการด่ากันเละเหมือนกัน จนแล้วจนรอด วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 ก็มีการนัดชุมนุมกัน ซึ่งตอนนั้น ชนาพัทธ บอกว่า มีรถเครื่องเสียงพร้อมคนสามหมื่นคน ซึ่งผมเองก็ไปร่วมด้วย เรียกว่าไปตั้งแต่เที่ยง ก็พบแต่สนามหลวงเปล่าๆ ไม่มีอย่างอื่น นอกจากแม่ค้าขายของ เวลาล่วงเลยจนบ่าย ก็เห็นวรัญชัย โชคชนะยืนถือโทรโข่ง ตะเกียง และมีแผ่นไม้อัดเขียนข้อความด่า คปค ไว้นิดหน่อย ซึ่งที่บริเวณใต้ต้นมะขามก็มีกลุ่ม พิราบขาว 2006 มารวมตัวกัน(จำชื่อแกนนำไม่ได้เฉยเลย)จนกระทั่งล่วงลยไปจนบ่ายแก่ ก็ไม่มีรถเครื่องเสียง และมวลชนอย่างที่บอกไว้ สุดท้ายก็ต้องมาใช้โทรโข่งของวรััญชัย และเก้าอี้จากแม่ค้าแถวนั้น และวันนั้นเอง ผมก็ได้รู้จักขื่อของ วิภูแถลง ...
หลังจากที่วันที่ 1 พย. 49 กลายเป็นปาหี่ขอเตมูจิน ซึ่งเขาอ้างว่ารถเครื่องเสียง และมวลชนโดนสกัดอยู่แถวแม่กลอง(แล้วเราก็เชื่อแม่งซะด้วย)
ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังไม่ท้อกัน ตอนนั้นกลุ่มแกนนำ ก็เริ่มคิดหาทางใหม่หนึ่อาทิตย์หลังจากนั้น พวกเราก็ออกมารวมกันอีกครั้งโดยที่เอาเวทีมาเอง เครื่องเสียงมาเองพร้อมเครื่องปั่นไฟ จำได้ว่าทุกลักทุเลเป็นอย่างมาก เวทีเล็กๆ ขนาดสองเมตร ไม่มีบันได ขึ้นไปพูดที ก็ต้องเอาเก้าอี้มาวางไว้แล้วปีนขึ้นคนปีนไม่ไหวก็ต้องช่วยกันดันตูดกัน ตอนนั้นเริ่มมีการทำป้ายทำสัญลักษณ์ และแน่นอนว่า wrist band สีดำ เขียนว่า freedom ก็ออกมาขายในช่วงนั้น
ตอนนั้นเราใช้สีดำ เป็นการต่อต้าน เสื้อดำ สายรัดข้อมือสีดำ และเปิดไฟหน้ารถกลางวัน พร้อมผูกริบบิ้น เป็นแคมเปญ ที่เรารณรงค์กันตอนนั้น วันที่ 7 พย.49 เป็นวันที่เราต้ั้งเวทีครั้งแรกจริงๆ ตอนนั้นเราใช้ชื่อกลุ่มว่า กปป. (จำชื่อจริงไม่ได้ด้วยขอบอก) .... ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังเห็นว่า เตมูจินเป็นแกนนำอยู่ทั้งที่มัก็เริ่มน่าสงสัย เพราะว่า ในเวป มันพูดเก่งแต่มาข้างนอก ขึ้นเวที ไปอ่านอย่างเดียว
ท้ายสุดเรื่องเตมูจินก็ถึงคราวเอวัง เมื่อเข้าไปพบกับบังธิ พร้อมกับสุดชาย บุญชัย แต่สุดชายก็ยังยืนอยู่ฝ่ายเรา ส่วนไอ้เวรนี่มันก็เป็นอย่างที่เห็น ดังนั้นผมไม่อยากเล่าเรื่องมันให้เห็นเสนียดอีกต่อไป
ชื่อของสุชาติ ก็ได้มาเพราะการชุมนุมครั้งที่สอง หลังจากที่เตมูจินเริ่มไ่ม่เข้าท่า โดยครั้งนี้น้าแอ๊ด ออกโรงเอง โดยที่แกบอกว่าชื่อ รักชาติ ณ บางไซ แต่หนังสือพิมพ์ เพี้ยนไปเป็น สุชาติ นาคบางไซ ตอนนั้นเรามีกิจกรรมกันเยอะ ทั้งเอามะเขือเทศปาหน้าพวกมัน เผาพริกเผาเกลือแช่ง และเริ่มมมีการเปิดเผยข้อมูล อย่างเรื่องเขายายเที่ยง ซึ่งสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า พวกฅนวันเสาร์นี่ล่ะ เอาเรื่องนี้มาเล่นตั้งแต่แรก
เราเริ่มชุมนุมกันตั้งแต่ช่วงนั้น จนกระทั้งมาถึงวันที่ 18 พย. 49 เราคุยกันและลงความเห็นว่า เราจะไปร่วมกับกลุ่ม 19กันยา เพื่อเดินขบวน โดยเราจะรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวันนั้นก็มีเพียง เก้าอี้กับโทรโข่ง และมีสุชาติ ตอนนั้นสุชาติได้ถามว่าเราจะชื่อกลุ่มอะไรดี วันธรรมดาเราก็ทำงาน มาได้ก็แค่วันเสาร์ ชื่อกลุ่่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ก็ได้เกิดขึ้น และมันก็เป็นอะไรที่สดใหม่มากๆ เรียกว่า ฝ่ายความมั่นคงวิ่งกันหัวปันว่า ไอ้พวกนี้มีใครหนุนหลัง ก็ต้องบอกเลยว่า มันหาไม่เจอ เพราะไม่มี ...
หลังจากที่มีการได้้ชื่อของกลุ่มออกมาแล้ว เราก็เริ่มที่จะสรางแบรนด์ตัวนี้ให้ติดจริงๆ เราเริ่มรวมตัวกันแน่นขึ้นจัดการงานอย่างเป็นระบบ มีการขยายเวที เพิ่มอุปกรณ์การชุมนุม มีสินค้าหารายได้เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว จะถามว่าอุปสรรคมีไหม ต้องบอกว่าเพียบ ทั้งความไม่เข้าใจกันในแนวคิด และที่หลักๆเลยก็คือ การที่ต้องออกมารบกับเทศกิจเวลาตั้งเวที บางวันเารถขึ้นสนามหลวงไม่ได้ เพราะมันลักปิดลักเปิด เราก็อาศัยขับปีนฟุตบาทกัน เรียกว่าจุดหมายคือต้องทั้งเวทีให้ได้ไ่ม่งั้นเราก็ไม่มีการชุมนุม จนกระทั้งเวลาล่วงเลยมา มีกลุ่ม PTV ซึ่งตอนนั้นเราก็เริ่มงงๆบ้าง ในเรื่องบทบาท ซึ่งเราก็คิดกันไว้แล้วว่า เราจะเดินหน้าจนกว่า ทัพหลวงจะมา หรือขะมีคนที่สามารถทำงานตรงนี้ได้อย่างดี และดีกวาพวกเรา ซึ่งความไม่ยึดติดนี่ล่ะทำให้งานมันเดินมาได้
ในช่วงนั้นมีการชุมนุมของกลุ่มแต่กลุ่มแตกต่างกันไป พวกคนวันเสาร์ก็เลือกวันเสาร์ 19 กันยาวันอาทิตย์ ส่วนพิราบขาว ก็วันจันทร์ แต่ส่วนใหญ่เราจะจอยกัน แบ่งปันข้อมูล ช่วยเหลือกัน ซึ่งเป็นอะไรที่สำควรจดจำเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นการรวมตัวของประชาชนอย่างแท้จริง
ตอนนั้นเรามีความแตกต่างทางความคิดกันอย่างหนึ่งคือ ส่วนหนึ่งไม่เอาทักษิณ แต่เราสนับสนุนทักษิณ และส่วนหนึ่งก็.......นั่นแหละ(ไม่พูดดีก่า)
การชุมนุมของพวกเราแตกต่างกับนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ก็คือภาษาที่ใช้ เราแตกต่างจากกลุ่มอื่นตรงนี้ เพราะด่า ก็ด่าตรงๆ ชาวบ้านๆ ไม่มีศัพท์แสงทางเทคนิค ขนาดผมได้ยินคำว่า สงบสันติและเปิดเผย ผมยังคิดเลยว่า ทำไมมันลิเกขนาดนี้ ขณะที่สุชาติหรือน้าชาติ(ตอนนั้นเลิกเรียกน้าแอ๊ดแล้ว) แกบอกแค่ว่า กระทืบๆๆๆๆๆ
ส่วนมดชมพูด ก็ด่าหงอกเปรมกระจุย ...มันจึงเป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่มีการเอาองคมนตรีมาด่าแหลก
จากนั้นเราก็เริ่มที่จะผลิตงานสื่อที่จำเป็น ไม่ว่าหนังสือพิมพ์เสรีชน ตีเสมอเจ้า สมุดปกม่วง เปรมไม่ใช่ฟ้า พวกนี้ เริ่มแจกกันเป็นล่ำเป็นสัน CD อาหารทะเล และ Music VDO ต่างๆ ที่ออกมา ผ้าเช็ดเท้า เสื้อยืด ส่วนนี้ก็เพื่อหารายได้เอาไว้ขับเคลื่อนต่อ เพราะนายทุนไม่มี ซึ่งส่วนใหญ่เงินทุก้อนแรกก็มาจากพวกเราที่ค่อนข้างมีฐานะ เรื่องนี้ไม่ได้โม้ เพราะหากใครอยู่ตรงนี้จะรู้เลยว่าคนวันเสาร์ยุคแรกจริงๆ หลายคนไฮโซแท้ๆครับ ไม่ใช่ขี้กลากมาหากินกับม๊อบ
หลังจากที่เราเริ่มเป็นตัวเป็นตนมากขึ้น พี่วิภูก็มาเป็นโฆษกของคนวันเสาร์ เรามีเลขา มีคณะทำงาน แบ่งงานกันเป็นระบบ ทั้งหมดก็เริ่มอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ตอนนั้นพอเภกก็ยังไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นอยู่ดี แต่ก็มีการบอกว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น ในวันที่ 5 เมษา 50 ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าอะไร ตอนนั้นก็เลยตั้งเวลานับถอยหลัง ซึ่งท้ายสุดก็ไม่มีอะไร เว้นแต่ว่าเราก็ตั้งมันเป็น Code เรียดว่า dCode 5450 (ตอนนันเวปเปลี่ยนเป็น dCode) ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ขำขี้แทบแตกเพราะฝ่ายความมั่นคงของรัฐตอนนั้นพยายาม อย่างยิ่งที่จะถอดรหัสนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากที่เรามีข่าวนี้ออกไป และเราได้แถลงข่าวการชุมนุมต่อเนื่อง 7 วัน และทอดผ้าป่าประชาธิปไตย ฯลฯ และเราได้รับความร่วมมือจากหลายกลุ่มที่เป็น เข้าร่วมงานนี้กันอย่างคับคั่ง
จำได้เลยว่า การชุมนุมครั้งนี้สร้างความปวดหัวให้่ฝ่ายรัฐเป็นอย่างมาก วันนั้นตำรวจเต็มสนามหลวง เราเอารถเข้าไปไม่ได้ สุดท้ายก็ขนอุปกรณ์ตั้งเวทีเข้าไปเอง โดยที่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยิ้มๆ (ไปคิดเอาเอง) แต่ตอนนั้นพวกเราหมดแล้วซึ่งความกลัว คิดกันเลยว่า เอาวะลุยแม่มเลย ....
ตอนนั้นเริ่มมีการกำเรนินดาราปราศรัย หลายคนเหมือนกัน ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ มากมายไปหมด เอาเป็นว่าใครเป็นใครบ้างผมขอไม่พูดถึงนะครับ
หลังจากที่กลุ่ม PTV ออกมาอย่างเต็มตัวหลังจากที่สถานีไม่สามารถออกอากาศได้ การชุมนุมทาการเมืองทีมีนักการเมืองเป็นแกนนำก็เริ่มขึ้น พวกเราก็เริ่มที่จะทบทวนบทบาทกันต่อไป ว่าจะหยุดเลยหรือว่าจะร่วมไปด้วยโดยลดบทบาทการนำลง เพราะว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะนำคนจำนวนมากๆได้เนื่องจากศักยภาพของพวก เราเองไม่ได้มีมากชนาดนั้นในทุกด้าน
กิจกรรมต่างๆ เราก็ยังคงมีไปพลางๆ หากว่าเวทีใหญ่ไม่มีเราก็จัดหากมีเรากงด จนกระทั่งเริ่มมีการรวมตัวกันของกลุ่ม นปก. นั่นล่ะ เราจึงลดบทบาทลงมาแค่เปิดเต๊นและขายของร้านนินจาช๊อป ที่มาของร้านนี้เอาไว้เล่าทีหลังแล้วกันหรือใครอยากเล่าก็เอาเลยครับ ..
แต่ก่อนหน้านั้นเราได้ทำ จตุคามรามเทพ รุนหนึ่งบาทปราบกบฏ ซึ่งเรื่องนี้หลายคนไม่ได้เห็นด้วย แต่เหตุผลของมันมีอยู่ แม้จะไม่เห็นด้วยและไม่ชอบ แต่ความเป็นประชาธิปไตยและความเห็นส่วนใหญ่เห็นว่ามีคุณมากกว่า
ผลที่ได้ก็คือ ตลาดจตุคามของไอ้ลิ้ม แทบพังครับ เพราะเรากดราคาลงอย่างตลกสัดไปเลย (ตรงนี้ต้องขออถัยสำหรับท่านที่บูชาอยู่ด้วย)
ตอนนั้นเราโดนโจมตีแรงมากๆ แต่ก็ไม่ได้หวั่น แม้วันที่เราแจกจะตรงกับวันยุบรรคไทยรักไทยก็ตาม วันนั้นเราก็โดนสารพัด ทั้งความพยายามกั้นรถขนของเข้ามาที่สนามหลวง เรียกว่าเกือบโดนมวลชนกระทืบตายเหมือนกัน ใครอยู่วันนั้นก็คงจำบรยากาศได้ดีครับ
อ้อ.. เรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปไม่ได้ก็คือ ขณะนั้นมีการร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น กลุ่มของหนูหริ่ง หรือบก.ลายจุด หรือสมบัติ บุญงามอนงค์ นี่ล่ะที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต้าย รธน. ฉบับนี้โดยเคลื่อนไหวในนามกลุ่มพลเมืองภิวัฒฯ์ ส่วมเสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ จะว่าไปเขาเป็นคนแรกที่แต่งแดงออกมาเลยก็ว่าได้ We Vote No คงจำกันได้นะครับ
จากที่มีการรวมตัวของ นปก. มาเป็น นปช. เราก็ให้พี่วิภู เข้าไปเป็นตัวแทนของเราในการเป็นแกนนำ และช่วงที่แกนนำโดนจับและห้ามเคลื่อนไหว แกนนำรุ่นสอง ก็มีืชื่อสุชาติ เข้าไปด้วย
ผลงานหลายอย่างที่เราทำกัน เทคโนลียี่ ที่ใช้กันทุกวันนั้น ทั้งวิทยุ TV ที่อาศัยอินเตอร์เนท พวกนี้เราถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิก หลังจากที่เวลาผ่านไป หลายคนก็เลือกเดินทางอื่นซึ่งเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อถึงเวลาเราก็มาเดินข้างกันแม้ว่าเราไม่ได้ทำงานร่วมกัน เพราะการต่อสู้นั้นเราคงมีแค่นี้ไม่ได้ ต้องมีมากๆ หลายกลุ่ม กลายคน หลายความคิด หลายแรงครับ
วรีกรรมยังมีอีกเยอะ รอคนอื่นมาเล่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแล้วกันครับ ข้อมูลของผมนี้เขียนจากประสบการณ์จริงที่ลงมือเองเล่นเองเจ็บเอง อาจจะไม่ตรงกับใคร ก็โต้แย้งมาได้ครับ
ขอบพระครวย..เอ้ยพระคุณ...
จากผม ...นาย พ่องตาย ..
ผมขอเล่าย้อนไปในวันแรกที่เรามีเวทีของเราเองนะครับ วันนั้นหากจำไม่ผิดก็เป็นวันก่อนหน้ารูปข้างบนนี้ไม่กี่วัน ก็คือหลังจากที่เตมูจินทำเอาพวกเราเละเป็นโจ๊กมาทีนึง แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่เข็ดกับไอ้เปรตนี่ ซึ่งที่จริงก็เริ่มมีข้อสงสัยในสันดานของเขาแล้ว เพราะว่าออกมาข้างนอก พูดอะไรไม่เป็นเหมือนคนปัญญาอ่อน แต่ในเวป จ้อได้เป็ฯวรรคเป็นเวรและดูจะเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ดี
วันแรกที่เรามีเวทีกันผมเองก็ยังงงๆ อยู่เนืองๆ เพราะว่ามันเร็วและปุ๊บปั๊บเป็นอย่างมาก ราวๆ บ่ายสองโมงผมโผล่หัวไปสนามหลวง(จำวันที่ไม่ได้จริงๆ ว่าวันไหน อาจจะวันที่ 7 พฤศจิกายน ใครมีบันทึกไว้บอกด้วย) วันนั้นอากาศดีมาก แต่ก็ร้อนตับแลบแบบแดดฤดูหนาว ผมเห็นพวกเราหลายคน(ที่มั่นใจว่าใช่) เตร็ดแตร่อยู่แถวๆนั้น ครั้นเวลาลาล่วงไปประมาณบ่ายสามกว่าๆ รถกระบะคันหนึ่งก็ขนของลงมาจากทางหน้าประตูธรรมศาสตร์ ตอนนั้นเราเอาของลงจากรถ ผมจำได้ว่า ตัวเองไปช่วงยกเครื่องปั่นไฟกับเพื่อนคนหนึ่ง(วันนี้ก็ยังไปก่งก๊งด้วยกัน เสมอๆ)
ส่วนเวทีน่ะหรือ มาโผล่พรวดออกมายังไงผมยังมึนๆอยู่เพราะจากความวั่นวายตรงนัั้นผมก็มาช่วย ประกอบเวที ตอนแรกก็งงๆกันมาก เพราะไม่ได้เป็นคนออกแบบ ผิดที่ผิดทางกัน แต่จนแล้วจนรอดก็เรียบร้อย Back drop สีฟ้าแอ๋น มีลายธงชาติ ชื่อกล่ม กปป . (กลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ..ยังกะพันธมิตร) เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในงานประกอบ ผมก็นั่งปอกสายไฟอยู่หลังเวที
ตอนนั้นบอกตามตรงว่าไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ระแวงกันไปหมด แต่มันก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมากที่่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ต่างคนต่างมาแล้วก็มาช่วยกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ภาพพวกเรากรูเข้าไปขนของลงจากรถอย่างพร้อมเพรียง ยังจำติดตาผมจนทุกวันนี้ ผมจำได้ว่าตอนนั้นพวกเรายังไม่กล้าเอารถขึ้นสนามหลวงด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นก็เสร็จโจร เอาขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเลทุกครั้ง (อิอิ)
วันนั้นการปราศรัยก็เป็นการพูดของประชาชนจริงๆ ไม่มีนักเคลื่อนไหวใดๆ เข้ามาร่วมกลุ่มด้วย เรามาจาโนเนมจริงๆ ช่วงท้ายๆ ดา ตอร์ปิโด ตอนนั้นแกบอกว่าชื่อ ดาอย่างเดียว ตอร์ปิโด นี่มาที่หลัง มาช่วยเราปราศรัยในช่วงที่เราจะเลิก ประมาณสามทุ่มกว่าๆ หากใครมองว่าโห ใช้เวลานิดเดียว ก็ต้องบอกว่าตอนนั้นมันกฏอัยการศึกครับ กล้าออกมาได้ก็บุญแล้วล่ะ
วันนั้นผมกลับบ้านไปด้วยความคิดที่ว่าต่อไปนี้ชีวิตผมจะเปลี่ยนแปลงอย่าง รุนแรง และสิ่งที่ผมคิดในวันนั้น มันก็เป็นจริงครับ ......อ่านต่อตอนต่อไป ..
ต่อๆๆ ..
หลังจากที่มีเวทีในครั้งนี้แล้วเราก็เริ่มที่จะออกโรงเองมากขึ้นและเตมูจิ นก็ไม่เป็นที่ไว้วางใจจากเราอีกต่อไป ตอนนั้นเองผมก็ไม่ได้เข้าร่วมขบวนการฝ่ายในแต่อย่างใด เป็นเพียงมดงานตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่แบกๆ หามๆ ทำโน่นนี่นั่นไปตามหน้าที่มีจะอาสาเข้าไปได้ หากใครไปสนามหลวงช่วงนี้ ก็คงจะคุนเคยกับกลิ่นฉี่ที่ลอยมาจากโคนต้นมะขาม (ซึ่งวันนี้ผมเองก็ยงังทำลายสถิติฉี่ตรงโคนต้นมะข้ามได้ไม่ครบ...I shall return ) ข้าวไข่เจียว กล่องล่ะสิบบาท น้ำเปล่าราคาแพง ขนมจีนน้ำยา และของกินอื่นๆ ที่มีมากมาย การตั้งเวทีเองครั้งนั้นปรากฏว่าเป็นที่สนใจของสื่อพอสมควร ผมจำได้ว่ามีการพูดถึงพวกเรา สรยุทธ กับ กนก มันยังพูดเรื่องเวที แต่รายงานบอกว่าขนาดสามเมตร (ที่จริงไม่ถึงหรอก)
หลังจากที่พวกเราจบงานแรกไปแล้วเราทำอะไรกันบ้างหรือ อย่างแรกก็คือการกลับมานั่งดูรูปที่พวกเราบางคนไปถ่ายกันเอง แล้วเอามาลงให้ดูกัน แล้วก็พยายามหากันว่าใครเป็นใครบ้าง จนแล้วจนรอด ก็ยังไ่ม่มีการเปิดเผยตัวกันมากนัก เพราะตอนนั้นบอกได้อย่างเดียวว่า กลัว..
พวกเราหลายคนที่ออกไปสนาม จะเรียกว่า ภาคสนาม ใครเป็นใครอย่างไร ผมขอไม่บอกตรงนี้นะครับ เอาเป็นว่า หลายคนก็ป้วนเปี้ยนอยู่ในนี้ทั้งนั้น เพราะหลังจากออกสนามไปแล้วเราก็มุดลงเวปเหมือนเดิม บางทีก็มา Chat กันใน MSN เล่าเรื่องราวต่างๆให้กันฟัง และสิ่งที่เราหิวมากที่สุดก็คือ "ข่าวสาร"
ด้วยความที่ไ่ม่มีประสบการณ์ในเรื่องงานการเมือง งานการข่าว ดังนั้นพวกเราส่วนใหญ่จะฟังคนที่เขียนเก่งๆ และเอาข้อมูลมาเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี และยกเขาให้เป็นกรูรู ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง เต้ามาบ้าง เป็นความเห็นส่วนตัวบ้าง แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากมาย นอกจากหากมองแล้วเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็เอาออกมาใช้คำว่า "ด่วน" มันเป็นอะไรที่เราตื่นเต้นทุกครั้งที่มีใครมาเขียนแปะเอาไว้
เราชื่นชมพวกเรากันเองหลายคนที่สามารถเอาข่าววงในมาเล่าสู่กันฟังได้ เพราะมันเป็นอะไรที่โอ้ววววว ซี๊ด ...นี่ล่ะ เออ..ใช่ ..อืม.. อะไรทำนองนี้ล่ะครับ ...
ดังนั้นตรงนี้มันเลยกลายเป็นข้อด้อยของเรา เหมือนกันในการที่จะมีใครแฝงตัวเข้ามาปล่อยข่าวลวง หลอกให้เราหลงทางกันไปหรือเชื่อในเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามเขาวางหมากเอาไว้ แต่ในความด้อย ก็มีจุดแข็งอย่างมากก็คือ พวกเราไม่มีใครมาหนุนหลัง และไ่ม่มีใครมาคอยบงการให้เราทำอะไร เราอยากทำอะไรเราก็ทำ คิดอะไรเราก็คิดแบบของเรา เป็นอิสระจริงๆ
พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ ...
ติดตามอ่านรายละเอียดของประวัติศาสตร์หน้านี้ได้ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น