แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เขมรโต้DSIแฉนักรบแดงเข้าฝึกค่ายทหาร


คมชัดลึก :ดีเอสไอแถลงผลสอบปากคำ 11 นักรบแดง แฉ 3 เส้นทางหลักเข้าเขมรรับการฝึกในค่ายทหาร ล้างสมองให้เกลียดชังสถาบัน ก่อนวกกลับไทยกบดานรอปฏิบัติการฆ่าผู้นำ ซักซ้อมแผนซุ่มยิงสุเทพ เตรียมเสนอข้อมูลก.ต่างประเทศเรื่องเพื่อนบ้านแทรกแซงความมั่นคง

(11ต.ค.) พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย แถลงความคืบหน้าในการสอบปากคำกลุ่มนักรบแดง 11 คน ที่ตำรวจจับกุมได้ที่ดอยคู่ฟ้ารีสอร์ท อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ว่า ดีเอสไอได้เข้าไปสอบปากคำกลุ่มบุคคลทั้ง 11 คน ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก ดังนั้น ดีเอสไอจึงจะกันคนเหล่านี้ไว้เป็นพยานในคดีก่อการร้าย ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ให้การว่าได้เข้าร่วมชุนนุมกับกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. และได้เห็นกลุ่มนปช.ฮาร์ดคอร์ ใช้อาวุธยิงตอบโต้ทหาร ยิงรถดับเพลิง ในวันที่ 14-19 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยในจำนวนนี้หลายรายถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ บางคนถูกจับกุมตามหมายจับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่มีทนายความของพรรคฝ่ายค้านมายื่นประกันให้ เมื่อได้รับการปล่อยตัวจึงหลบหนี

พ.ต.ท.พเยาว์ กล่าวอีกว่า ระหว่างที่กลุ่มคนดังกล่าวหลบหนีหลังได้ประกันตัว แกนนำนปช.ระดับรอง ซึ่งเป็นกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ 51 ซึ่งนำโดยนางกัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม และนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ได้ติดต่อประสานเพื่อหาคนไปฝึกอาวุธที่ประเทศกัมพูชาจำนวน 39 คน โดยมีผู้ประสานงานแบ่งออกมาเป็น 2-3 สาย ในการชักชวนและจัดหาเส้นทางส่งคนออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

โดยเส้นทางที่ 1 เป็นการเดินทางออกจากกทม. ผ่านไปยังอ.ช่องจอม จ.สุรินทร์ เส้นทางที่ 2 จากกทม.ออกไปทางอ.โคราชเข้าจ.สุรินทร์ ออกกัมพูชา และเส้นทางที่ 3 กทม. - พัทยา-สระแก้ว-กัมพูชา ซึ่งทุกเส้นทางจะไม่ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นระหว่างรอรับการฝึกบางรายถูกนำตัวไปพักอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง บางส่วนถูกส่งพักที่โรงแรมอังกอร์ซิตี้ จ.เสียมเรียบ จากนั้นจึงนำไปเข้ารับการฝึกที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งที่จ.เสียมเรียบเป็นเวลา 3 สัปดาห์

พ.ต.ท.พเยาว์ กล่าวต่อว่า การฝึกสัปดาห์แรกจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้อาวุธ ปลุกระดมล้างสมอง ปลูกฝังความเชื่อด้วยการนำภาพวีดีโอ และซีดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันมาเปิดให้ดู เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกเกลียดชัง สัปดาห์ที่ 2 เป็นการฝึกด้านอาวุธศึกษา เช่น วิธีการใช้ปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้า เครื่องยิงเอ็ม 79 อาร์พีจี และการประกอบระเบิดซีโฟร์ ทีเอ็นที และอื่น ๆ ส่วนสัปดาห์สุดท้ายเป็นการฝึกอาวุธจริง กระสุนจริง ระเบิดจริง โดยระหว่างฝึกจะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าตอบแทนไม่มากนัก แต่หลังการฝึกทุกคนจะได้รับเงินเป็นจำนวน 20,000 บาท และกลับเข้ามาในประเทศ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผ่านเข้ามาทางชายแดนช่องจอม สุรินทร์ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกมีจำนวน 39 คน และเดินทางกลับเข้ามาเพียง 35 คน ที่เหลืออีก 4 คน นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง คัดเลือกไว้เป็นการ์ดของตัวเองและให้เข้ารับการฝึกเพิ่ม โดยหนึ่งในจำนวนนั้นได้มีนายมงคล สารพัน ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่หลบหนีหมายจับรวมอยู่ด้วย

“11 นักรบแดงยังระบุว่าระหว่างที่อยู่ในกัมพูชาได้พบแกนนำนปช.และกลุ่มดีเจภาค เหนือทั้งหมด รวมทั้งผู้ประสานงานของกลุ่มนปช. อีก 2 คน ซึ่งเป็นผู้ติดต่อให้ทั้ง 11 คน มารวมตัวกันที่ดอยคู่ฟ้ารีสอร์ท จ.เชียงใหม่ ก่อนเริ่มปฏิบัติการประทุษร้ายบุคคลและสถานที่ โดยมีการซักซ้อมวางแผนก่อเหตุ โดยเฉพาะแผนที่บ้านของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งเส้นทางการเดินทาง ขบวนนำ ขบวนติดตาม เส้นทางกลับรถ ซึ่งมีการวางแผนเพื่อเลือกจุดลงมือ พ.ต.ท.พเยาว์กล่าวและว่าดีเอสไอยังมีหลักฐานสำคัญที่จะนำมาสนับสนุนคำให้การ ของพยานทั้ง 11 ปาก คือ ชิพการ์ดขนาดเท่าซิมการ์ดโทรศัพท์ ภายในระบุรหัสลับประจำตัวเป็นโค้ดซึ่งใช้เรียกแทนชื่อจริงมีข้อความเป็นภาษา อังกฤษซึ่งทหารกัมพูชาเป็นผู้จัดทำให้ผู้ผ่านการฝึก

พนักงานสอบสวนดีเอสไอ กล่าวด้วยว่า มีการเก็บตัวนักรบแดงส่วนที่เหลืออีก 24 คนที่ได้รับการฝึกจากเขมร ได้กระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เนื่องจากคนเหล่านี้มีหลายกลุ่ม บางคนอยู่ลพบุรี กทม. ชลบุรี สระบุรี ข้อมูลที่ฝ่ายความมั่นคงรู้มีเพียงชื่อเล่น ฉายา และภูมิลำเนาเท่านั้น ทำให้ยากต่อการติดตามจับกุมก่อนที่คนร้ายที่ได้รับการฝึกมาแล้วถึง 2 ชุด จะลักลอบก่อเหตุความไม่สงบขึ้นในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดีเอสไอจะทำรายงานถึงกระทรวงยุติธรรมเพื่อประสานไปยังกระทรวงการ ต่างประเทศ เกี่ยวกับการแทรกแซงความมั่นคงของประเทศไทย จากกรณีประเทศกัมพูชาที่ให้พื้นที่ฝึกอาวุธเพื่อต่อต้านการบริหารงานของ รัฐบาล

โจมตีสื่อ-ทหารไทยมั่วเขมรฝึก11นักรบแดง

เว็บไซต์พนมเปญโพสต์ของประเทศกัมพูชารายงานว่า นายทิด โสเทีย โฆษกคณะรัฐมนตรี ออกมาปฏิเสธข่าวที่รายงานว่า กลุ่มนักรบเสื้อแดงได้ เข้าไปใช้พื้นที่ของกัมพูชา ในฝึกอาวุธเพื่อเตรียมไปใช่ก่อเหตุในไทยว่า เป็นข้อมูลที่พูดเกินจริงอย่างมาก และเป็นข้อมูลที่เป็นไม่มีมูลความจริงเลย เพราะกัมพูชาไม่เคยอนุญาตให้ชาวต่างชาติใช้ในการทำร้ายประเทศตัวเอง

ขณะเนื้อหาในเว็บไซต์ดีเอพีนิวส์ของของประเทศกัมพูชาได้ปรากฏรายงานฉบับ หนึ่งในคอลัมน์จดหมายถึงบรรณาธิการ มีข้อความโจมตีการทำงานของสื่อและเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ที่ได้กล่าวว่าประเทศกัมพูชาเป็นแหล่งฝึกอบรมผู้ก่อการร้ายที่มีแผนสังหาร ผู้นำรัฐบาล ต่อต้านรัฐบาลไทย ว่าเป็นการป้ายสีอย่างไร้หลักฐานซึ่งเป็นการสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชน สองประเทศ

ในจดหมายฉบับดังกล่าวอธิบายว่ารัฐธรรมนุญกัมพูชาไม่อนุญาตให้ผู้ใด ดำเนินการดังกล่าวได้ แต่สื่อและตำรวจไทยพยายามสร้างภาพรัฐบาลและประชาชนกัมพูชาในเชิงลบ ทั้งยังสร้างความอึมครึมในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไทยไม่สอบถามทหารที่ไม่ชอบตำรวจและรัฐบาลไทย ซึ่งอาจเป็นผู้วางแผนการณ์เหล่านั้นโดยสมัครใจ นอกจากนั้นยังตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการแบ่งแยกดินแดน 4 จังหวัดภาคใต้ ทำไมฝ่ายไทยถึงไม่ได้กล่าวหาว่าเป็นฝีมือของมาเลเซีย

ทั้งยังได้โจมตืสื่อไทยว่า เคยให้การอบรมสื่อกัมพูชาและสื่อในภูมิภาคนี้ว่าควรทำข่าวโดยเคารพหลัก จริยธรรม แต่สื่อไทยกลับเป็นผู้สร้างภาพอันเลวร้ายระหว่างคใามสัมพันธ์ระหว่าง ไทย-กัมพูชาเสียเอง นอกจากนั้นสื่อไทยยังทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้กับตำรวจในการต่อต้านรัฐบาล กัมพูชา และ กล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายทำให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีเสียหาย

ขณะที่กัมพูชาไม่เคยลืมเลือนว่าเคยถูกทหารไทยรุกรานเข้ามาในพื้นที่ใกล้ เคียงปราสาทพระวิหารและยิงปืนใส่ตลาดของชาวบ้านในบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งทำให้หัวพญานาคบริเวณปราสาทได้รับความเสียหายในเดือนกรกฏาคม 2551

ทั้งยังระบุว่าการที่ตำรวจจับกุมกองกำลัง 11 จาก 39 คน ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งผ่านการฝึกการก่อการร้ายจากกัมพูชานั้นเป็นเรื่องเหลว ไหลและเลื่อนลอย การฝึกกองกำลังอาจเป็นผลงานของกลุ่มจงรักภักดีอดีตนายกฯเอง และได้ท้าทายให้ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยอ้างว่ากัมพูชายึดครองอยู่

"ธาริต"แนะ"สตช."ควรเป็นแม่งานตั้งศูนย์คาร์บอมบ์

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงข้อเสนอจากที่ประชุมวุฒิสภาในการ คณะกรรมการเฉพาะกิจ ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาระเบิดแห่งชาติ หรือ คาร์บอมบ์เซ็นเตอร์ ว่า เรื่องดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ได้ดูแลอย่างจริงจังแล้ว หากจะมีการจัดตั้งคาร์บอมบ์เซ็นเตอร์ตนเห็นว่าสตช.มีความเหมาะสมที่จะเป็น แม่งาน ในการบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงให้เข้ามาร่วมกันปฏิบัติภารกิจภายใต้ การใช้ดุลยพินิจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)

ส่วนกรณีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ส่งสำนวนคดีพร้อมหลักฐานทั้งหมดให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับคดีก่อการร้าย เบื้องต้นจะตั้งชุดพนักงานสอบสวนร่วม 4 ฝ่าย ประกอบด้วย สำนักงานอัยการสูงสุด สตช. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และดีเอสไอ

นายธาริต ยังกล่าวถึงกรณีตำรวจตรวจสอบพบการทำธุรกรรมการเงินระหว่างน.ส.วสา เทพเรียน เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด กับนายกษิ ดิฐธนรัชต์ ผู้ต้องหาในคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ดีเอสไอยังคงต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดก่อน เพราะขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุความเชื่อมโยงของน.ส.วสากับคนร้าย

นายธาริต เปิดเผยถึงการกันตัว 11 นักรบแดงไว้เป็นพยานในคดีก่อการร้ายว่า จากการเข้าหารือระหว่างพ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายกับพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเมื่อช่วงบ่าย วันนี้( 11 ต.ค.) มีความเห็นว่าคำให้การจากการสอบสวนเบื้องต้นเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีก่อ การร้ายและคดีก่อความไม่สงบอื่น ๆที่เกิดขึ้น โดยคำให้การดังกล่าวสามารถนำไปขยายผลถึงผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังขบวนการ ก่อความไม่สงบได้ จึงเห็นชอบที่จะกันตัวทั้ง 11 คน ไว้เป็นพยาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน