แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขบวนการลิ้มเจ้า

dmc

ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

Monday, 20 September 2010

ขบวนการลิ้มเจ้า

ที่มา โลกวันนี้



การสำรวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนอายุ 15-25 ปี ในเขตกรุงเทพฯ
เนื่องในโอกาสวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ 20 กันยายน ปรากฏว่า
เยาวชนร้อยละ 62.1 ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ทางการเมืองค่อนข้างน้อย
ถึงไม่สนใจเลย แม้ส่วนใหญ่จะเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม

ขณะที่เยาวชนร้อยละ 47.6 เห็นว่าการเมืองไทยในปัจจุบันมีแต่ความขัดแย้ง
และจ้องจับผิดกัน มีความวุ่นวาย ไม่เป็นประชาธิปไตย
และมีแต่การใช้ความรุนแรง โดยร้อยละ 44 ยังมีมุมมองต่อนักการเมืองไทยว่า
คำนึงถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

ส่วนความเห็นว่าอยากเห็นนักการเมืองเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้แตกต่างจากประชาชนทั่วไปคือ
ซื่อสัตย์สุจริต คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ และเลิกขัดแย้งกัน
ซึ่งถือเป็นเรื่องจริยธรรมของนักการเมืองทั่วโลกที่ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเลย

สำหรับนักการเมืองไทยแล้วกลับเหมือน “งมเข็มในมหาสมุทร” เพราะนักการเมืองทุกคน
ที่ประกาศตัวเองว่าซื่อสัตย์สุจริต และทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ
หรือถูกยกย่องว่าเป็นคนดีนั้น ล้วนแต่ “ปากว่าตาขยิบ” หรือ “ท่าดีทีเหลว” เกือบทั้งสิ้น

ปัญหาใหญ่หรือต้นเหตุสำคัญของวิกฤตบ้านเมืองวันนี้จึงอยู่ที่นักการเมือง
แต่ไม่อาจปฏิเสธว่ากองทัพก็มีส่วนอย่างมาก เพราะหากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร
ก็คงไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ระบอบประชาธิปไตยไม่ต้องเกิดและดับครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่มีวาทกรรมอำมหิต “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม”
จนทำให้มีประชาชนต้องเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย
จนเป็นความวิบัติและหายนะที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ไม่มี “ขบวนการลิ้มเจ้า” ที่ใช้วาทกรรม “ล้มเจ้า” เป็นเครื่องมือกล่าวหาใส่ร้าย
เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ที่หลอกหลอนผู้คนทั้งแผ่นดินอย่างไม่รู้จบ

ความปรองดองจึงอยู่ที่ความยุติธรรมและความเสมอภาค
ซึ่งไม่ใช่การใช้อำนาจมากดขี่บังคับ หรือให้ทหารออกมาฉีกรัฐธรรม

แต่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องมีสติ
เพื่อร่วมกันสร้างบรรทัดฐานของนิติรัฐขึ้นมา ไม่ใช่เลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐาน
โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
แม้แต่ฝ่ายตุลาการก็ต้องถือว่าอำนาจรัฐประหารเป็น “โจราธิปไตย”

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน