“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อต้นเดือนนี้ ผมได้อ่านข่าว มติชนออนไลน์ (ที่ 04พฤษภาคม พ.ศ. 2553) นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ "เดอ สปีเกล" (Der Spiegel) ของเยอรมัน โจมตีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า เป็น
Mafia state
โดยท่านผู้นำคนดัง กล่าวหาประเทศสวิส ว่า
เป็นหน่วยงาน ‘ก่อการร้าย’ และเป็น ‘แก๊งค์มาเฟีย’ มีพฤติกรรมฟอกเงิน และมีกฎหมายหลอกลวงชาวโลก ซึ่งอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถรับการปลิดชีพจาก แพทย์ได้ แต่แท้จริงต้องการเงินสดของคนเหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารของประเทศ โดยสวิตเซอร์แลนด์ สมควรจะถูกฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมัน โดดเดี่ยวด้วย
สำหรับคนบ้านเรานั้น ชอบใช้คำว่า “มาเฟีย” ไปในความหมายถึงพวก “แก๊ง” อันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ ที่หาประโยชน์โดยมิชอบ และมีสันดานส่อไปในทางขอบ ‘รังแก’ หรือข่มเหงคนอื่น เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนตามอาชีพ เช่น “มาเฟีย คิวรถ” , “มาเฟียวงการม้า-มวย” แม้กระทั่งคนพิการที่ขายสลากกินแบ่ง ที่ทางกองสลากแบ่งโควต้าให้ ก็ยังดันมี
“มาเฟีย...ล๊อตเตอรรี่”
เมื่ออ่านคำสัมภาษณ์นี้แล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงบทความเกี่ยวกับ “มาเฟีย” ที่เคยเขียนลงในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในตอนนั้นแก๊ง “ไอ้บัง กบฏ” ยังเรืองอำนาจอยู่ โดยให้ชื่อตอนที่เขียนว่า
“จ่าตำรวจ-มาเฟีย!”
วันนี้ จะขอนำบางส่วนของบทความดังกล่าว มาลงไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเรื่ององค์กรอาชญากรรมอมตะ ที่ผู้คนเรียกขานหรือรู้จักกันใน ชื่อ “มาเฟีย”
ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ
...ตัวผม สนใจและติดตามเรื่องของ ‘มาเฟีย’ มาตลอด เพราะเคยถูกส่งไปต่างประเทศ เพื่อร่ำเรียน เกี่ยวกับวิธีการสอบสวน เพื่อรับมือ และจัดการเกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางเรื่องการเงิน ขององค์กรที่ลือชื่อนี้ด้วย
ผมได้สร้างหลักสูตร วิชาการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับกรมตำรวจ เขียนตำราการสอบสวนคดีวิชานี้ ขึ้นมาให้ใช้กัน ทั้งบัญญัติคำใช้เรียกคำว่า Money Laundering ว่าเป็นการ “ฟอก เงิน” ขึ้นมา โดยใช้ในการบรรยายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และถ้อยคำๆนี้ปรากฏอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์ “มติชน” รายวัน ซึ่งเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว
ดังนั้น ผมจึงรู้กลไกและวิธีการฟอกเงิน ซึ่งต่อมาก็ได้เดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในต่างประเทศ รวมทั้งในที่ประชุมใหญ่องค์กรตำรวจสากลด้วย เพราะเมืองไทยของเรานั้น เป็นแหล่งสำคัญที่อาชญากรต่างชาติ ได้ใช้เป็นแหล่งซุกซ่อนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือนำมาแปรสภาพในรูปทรัพย์สินอย่างอื่น ถึงขั้นมีคำกล่าวกันว่า
“เมืองไทยเป็นสวรรค์ สำหรับอาชญากรต่างชาติ”
คำว่า Mafia หรือภาษาไทยทับศัพท์เรียกว่า “มาเฟีย” หากใช้ในความหมายของชาวฟ ลอเรนซ์ อิตาลี นั้น แปลว่า “คนตัวเล็กผู้น่าสงสาร” แต่ในเมืองซิซิลีที่เป็นเกาะทางใต้ คำนี้ถ้าใช้ในภาษาของชาวซิซิเลียน ซึ่งเป็นเกาะต้นกำเนิดขบวนการ“มาเฟีย” มาจากคำว่า
“mafiusu”
มีรากศัพท์มาจากภาษาอาราบิค “mahyas” คือการโม้ข่ม หรืออาจมาจากภาษาอาราบิคอีกคำหนึ่งคือ “marfud” แปลว่า “โดนปฏิเสธ” แต่ก็อาจแปลในอีกความหมายหนึ่งคือ คือ “เกียรติยศ-ความหาญกล้า” ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับ ที่คนท้องถิ่นรวบรวมกันเป็นพันธมิตร เพื่อต่อต้านการรุกรานของทหารต่างชาติ ได้แก่ทัพพวกนอร์มันและชาวเติร์ก
เมื่อการรุกรานนั้นหมดไป องค์กรลับนี้หาได้สิ้นสุดตามลงไปด้วย แต่กลับมีวิวัฒนาการ กลายเป็นองค์กรอาชญากรรมนามกระเดื่องไปในที่สุด และเมื่อมีการหลั่งไหลของชาวอิตาเลียน เข้าไปในสหรัฐอเมริกา มาเฟียได้แพร่เชื้อติดเข้าไปด้วย พร้อมกับผู้อพยพชาวอิตาเลียนทั้งหลาย
องค์กรมาเฟียได้มาตั้งหลักปักฐาน ที่มหานครนิวยอร์ก เพราะเมื่อชาวยุโรปเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค มาขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก คนอิตาเลียนจำนวนมาก ได้ตั้งเลือกนิวยอร์กเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ มาเฟียได้เข้ามีส่วนเข้ามาจัดระบบชุมชน ด้วยการแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของ พวกเขา และเรียกค่าตอบแทนในการให้ความคุ้มครอง ให้ความปลอดภัย
มาเฟียก้าวถึงยุคแห่งความรุ่งเรืองสุดขีด เมื่อสหรัฐคลอดกฎหมายที่ชื่อ Volsted Act 1919 ห้ามการจำหน่ายสุรา ทำให้การค้าสุราเถื่อนเฟื่องฟู ทำเงินอย่างมหาศาล ครอบครัวมาเฟียหลายตระกูล กลายเป็นมหาเศรษฐี
ต่อมาองค์กรนี้ ได้ดำเนินธุรกิจกว้างขวางออกไป นอกจากการเรียกค่าคุ้มครองแล้ว ยังได้เข้าควบคุมและหาประโยชน์ จากธุรกิจนอกกฎหมาย เช่นบ่อนการพนัน การค้าหญิงโสเภณี การค้าของเถื่อน และมีบางพวกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การค้ายาเสพติด จนแผ่ขยายเข้าไปในเมืองใหญ่อีกหลายรัฐ จนครอบคลุมไปเกือบทั่วสหรัฐ
ทายาทของแต่ละตระกูล มีบางส่วน ไม่ยอมเข้ามายุ่งในกิจการของครอบครัว เพราะไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับผู้ รักษา กฎหมาย เพราะเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ชีวิตก็ไม่ปกติสุข และถอนตัวออกยาก อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างตระกูล เกิดขึ้นเนืองๆ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายหาจุดสมดุลไม่ได้ กลายเป็นความขัดแย้ง จนถึงเข้าฆ่าฟันกัน ถึงขั้นหนังสือพิมพ์เรียกว่า “สงคราม” หรือ “สงคราม-แก๊งมาเฟีย” กลายเป็นข่าวโด่งดัง จนมีการสร้างเป็นภาพยนตร์นับเรื่องไม่ถ้วน อย่างที่เราได้เห็นกันจนถึงยุค
การควบคุมองค์กรของมาเฟียนั้น มีตระกูลมาเฟียต่างๆแยกกันควบคุม แบ่งกันขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หรือธุรกิจที่ถนัด โดยมีผู้นำองค์กรซึ่งปิดลับ ยากที่จะฝ่ายบ้านเมืองจะเข้าถึงตัวได้
องค์กรมาเฟียนี้ จึงกลายเป็นหนามยอกอก ของฝ่ายผู้รักษากฎหมายสหรัฐมาเนิ่นนาน และยังคงจะดำรงอยู่ต่อไปอีก โดยหาจุดจบได้ยาก
ในการขับเคี่ยวระหว่างผู้รักษา กฎหมาย กับองค์กรมาเฟียนั้น มีตำรวจนายหนึ่งมียศเป็น “จ่า” ชื่อว่า ราล์ฟ ฟรานซิส ซาเลอร์โน (Ralph Francis Salerno) ซึ่งได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติยศชั้นสูง จากกรมตำรวจนิวยอร์ก
เมื่อจ่าเซอร์ลาโน ลาออกจากองค์กรผู้รักษากฎหมายนั้น ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก็อยู่แค่ Detective Sgt. หรือ“จ่าสายสืบ” แต่ผู้คนกลับจำได้มากกว่าตำรวจ คนอื่น และยกย่องเขาในฐานะผู้รักษากฎหมาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปราบปรามแก๊งมาเฟีย
จ่าซาเลอร์โนใช้เวลาของชีวิต ยาวนานถึง 20 ปี ในฝ่ายสืบสวนสอบสวนและงานด้านการ ข่าว เพื่อการปราบปรามอาชญากรรม ในฝ่ายสอบสวนกลางของกรมตำรวจนิวยอร์ก
ความชำนาญในสายงานการปราบปราม ในด้านองค์กรอาชญากรรมของจ่าซาเลอร์โน ทำให้คุณจ่าคนดัง ต้องกลับมาเป็นพยานผู้เชียวชาญ ในคดีธุรกิจให้กู้แบบ ‘ดอกโหด’ หรือที่เรียกกัน ว่า loan-sharking ทั้งการเป็นพยานให้ข้อมูลในชั้นศาล ชั้นการสอบสวนของสมาชิกรัฐสภา สหรัฐ และวุฒิสภาอีกด้วย
หลังจากที่เกษียณอายุไปในครั้งแรก เมื่อปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงยุติธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี. และสำนักงานอาชญากรรมและเด็กมีปัญหาแห่งชาติ
ปี 1970 นายกเทศมนตรี จอห์น วี ลินด์ซีย์ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหานครนิวยอร์ก ได้เลือกเซอร์ราโน่เป็นที่ปรึกษา ในด้านการพนันของรัฐ มีหน้าที่ทำลายล้าง การแทรกซึมเข้าเจาะธุรกิจการพนันของเหล่ามิจฉาชีพ และต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งจาก Nicholas Ferraro อัยการเขตควีนส์ ให้รับผิดชอบในการสอบสวน เกี่ยวกับคดีองค์กรอาชญากรรม
ซาเลอร์โนลาออกจากการรับใช้ทางการเมื่อปี 1975 แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน
จ่าตำรวจผู้นี้ เป็นลูกชาวอิตาเลี่ยนผู้อพยพ และเกิดในแถบ Bronx ซึ่งอิทธิพลของมาเฟียแผ่ขยายแถบถิ่นกำเนิด และมีกฎสำคัญในละแวกบ้าน คือกฎแห่งความเงียบ คือชาวบ้านจะไม่ไปปริปาก หรือทำตัวเป็นเบาะแส คอยชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ได้เป็นอันขาด
เจ้าตัวเล่าให้ฟัง ว่า
“เรื่องที่ผมจำได้ดีที่สุด เกิดขึ้นเมื่อตอนผมเป็นเด็ก นั่งกินข้าวอยู่ในบ้านกับครอบครัว พวกอันธพาลหลบหนีตำรวจมาทางด้านบัน ใดหนีไฟ ผ่านห้องที่เขากับครอบครัวอาศัยอยู่
พวกเหล่าร้ายผิวปาก ส่งสัญญาณให้เราเงียบ พวกเราจึงไม่มีใครเปิดปากบอกเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้
พ่อผมเล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว อีกไม่กี่วันพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำ ช่างในร้านส่งถุงใส่ของให้ ซึ่งพอพ่อรับมาเปิดออก ก็พบมีดโกนใหม่ แปรงสำหรับชุบสบู่โกนหนวด และถ้วยใส่สบู่โกนหนวดกาไหล่ทอง และมีตราสำนักงานสาธารณสุข ที่พ่อเป็นพนักงานประจำอยู่
นี่แสดงว่าคนพวกนี้รู้ว่า คนแถวบ้านผมใครเป็นใคร ทำงานอะไร ไม่ได้ลอดสายตาพวกนี้ไปได้”
ความทรงจำเหล่านี้เอง ที่กระตุ้นให้เขามาเป็นตำรวจ เมื่อ
ปี. 1964 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ และกลายเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียง แม้จะไม่ได้รับยศเป็นตำรวจสัญญาบัตรก็ตาม
การที่จ่าแกจับกุมพวกมาเฟียเชื้อสายอิตาเลี่ยน เช่นเดียวกับตัวเองหลายต่อหลายคน จึงมักจะได้รับคำถามเสมอว่า
“จ่าครับ ทำไมจ่าจึงชอบจับแต่คนอิตาเลี่ยน? คนเชื้อสายเดียวกันกับจ่าแท้ๆ ไม่น่าทำกันเลย!”
จ่าซาเลอร์โนเล่าว่า
“ผมตอบมันไปว่า เอ็งกับข้ามันคนละประเภทกัน กริยาท่าทางของข้า ศีลธรรม และอีกหลายอย่างที่เป็นคุณสมบัติของข้า...มันคนละอย่างกับพวกเอ็ง เฟ้ย”
ตำรวจเชื้อสายมักกะโรนี ราล์ฟ ซาเลอร์โน พูดอย่างหนักแน่นต่อไปว่า
“....สิ่งเดียวที่ข้ามีเหมือนกับพวกเอ็ง คือเราเติบโตมาจากวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เอ็งมันเป็นไอ้พวกที่ทรยศต่อประวัติ ศาสตร์ และวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์เรา ซึ่งข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก เพราะข้าเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น (ประวัติศาสตร์ชาติและวัฒนธรรม)...”
ฟังคุณจ่าแกพูดแล้ว ให้ผมเองฉุกคิดขึ้นมา ว่า
บ้านเมืองของเรานั้น แม้ผู้คนจะเติบโตมาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเดียวกัน มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นคนไทยมาเหมือนๆกัน และต่างก็มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองเราไม่มีปัญหาเรื่องความ แตกต่างนี้ เหมือนอย่างสังคมอื่นเขา (นอกจากปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)
แต่ไม่น่าเชื่อว่า
ทันทีที่พูดถึงเรื่อง ‘แนวความคิดทางการเมือง’ ของคนบ้านเราแล้ว ปัจจุบันกลับ ‘แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว’ จนยากที่จะผสมกลมกลืน เข้าเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน ยังผลจะทำให้การอยู่ร่วมกัน ต่อไปในประเทศนี้ในวันข้างหน้า
เพราะคงจะหาความ เป็นปกติสุข ได้ยากเต็มที!
เราลองมาคิดดูกันเล่นๆก็ได้ ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้วาจา แบบจ่าซาเลอร์โน คือพูดแบบทิ้งทวน ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่า
“แม้เอ็งกับข้า จะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ความเชื่อของข้ากับเอ็ง มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงว่ะ...ไอ้เวรเอ๋ย ! ”
หยุดสักนิด เพื่อเพิ่มความเข้มเสียงอีกสักหน่อย แล้วพูดต่อ
“พวก ข้ารักและศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตย แต่เอ็งกับพวก มันใฝ่ใจ‘เผด็จการ’!”
แค่นี้เท่านั้น ไอ้เรื่องการที่จะมาเรียกร้องให้ ‘สมานฉันท์’ กัน....บอกได้เลยว่า
“ไม่มีทาง!!”
---
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ที่ท่านเพิ่งอ่านจบลงนั้น เป็นข้อเขียนของผม ในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2550 ไม่กี่สัปดาห์
เมื่อการเลือกตั้งจบลง ฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง และสร้างความผิดหวังให้กับพวกถือปืน เข้ายึดอำนาจประชาชน กลายเป็นพรรคดักดานซึ่งยอมอ่อนน้อม ค้อมกระบาลให้กับ...
พวก เผด็จการ นั่นเอง!
นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พรรคเก่าแก่นั้น ได้รับการช่วยเหลือในการเลือกตั้งทุกรูปแบบ จากแก๊งที่ก่อกบฏ ยึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งยังเรืองอำนาจอยู่ในเวลานั้นด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยังคิดว่า คราวนี้พรรคของพวกนายกฯทักษิณ ที่ถูกบีบอย่างหนักนั้น คงจะต้องปราชัยย่อยยับแน่ๆ
แต่.. ผลมันกลับตรงข้าม!!
เมื่อพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่หยุด ยังคงขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไม่ยอมรับ และต่อต้านรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ประชาชนเขาเลือกมาทุกวิถีทาง ตามแผน “บันใดอัปรีย์” ของ “ไอ้บัง กบฏ” จนทำให้บ้านเมืองของเรา เคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยความยากลำบาก
เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความขัดแย้งให้กับผู้คนในบ้านเมือง และดำเนินต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอย่างที่เห็นกัน และทำให้ประชาชนคนไทย
ต้อง บาดเจ็บล้มตาย เป็นจำนวนมาก!!!
สถานการณ์ที่ปรากฏขึ้น ในบ้านเมืองเราขณะนี้นั้น รัฐบาลของนายมาร์ค ร้อยศพ ดูเหมือนได้เปรียบเหนือฝ่ายต่อต้าน พวกเขากำลังเปิดเกมรุก ไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่
ถึงวันนี้ พลพรรคของฝ่ายคนเสื้อแดง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด เพราะยังมีกฎหมายที่กดกระบาลอยู่ คือ “พ.ร.ก.” แต่โทษที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ที่ยกมาขู่กันนั้น ก็กะริบกะร่อย เพราะเพียงแค่โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร
ที่สำคัญก็คือ
เมื่อตัวพระราชกำหนดถูกยกเลิก หรือไม่มีการต่ออายุเมื่อใด ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษ ก็จะต้องได้รับการปล่อยตัว เพราะการสิ้นสุดหยุดลงของกฎหมาย ส่วนผู้ที่ยังจับกุมไม่ได้ หรือไม่ได้เข้ามอบตัว คดีก็เป็นอันหมดสิ้นกันไป
สำหรับคดีอุปโลกน์ เรื่อง ‘ก่อการร้าย’ ก็มีเงื่อนเวลาจำกัดเพราะสำนวนการสอบสวน จะต้องเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า ตามอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาของศาล ที่จะสิ้นสุดลงตามกฎหมาย
สำหรับ ‘คดีก่อการร้าย’ ที่อยู่ระหว่างการฝากขัง และอัยการจะต้องมีคำสั่งก่อนอำนาจการควบคุมสิ้นสุดลง ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก
หากอัยการสั่งฟ้อง ก็จะต้องกินเวลาในการพิจารณากันอีกยาวนาน อย่างน้อยกว่าการพิจารณาจะสิ้นสุดลง ก็ต้องใช้เวลา
ไม่น้อยกว่า 10 ปี!
(ราคาต่อรอง สำหรับผลคดีในตลาดตอนนี้ ก็อยู่ที่ 5 ต่อ 1 ว่า แกนนำถูก ‘ยกฟ้อง’ แหงๆ!)
ผมเคยเขียนเปรียบเทียบ ความซับซ้อนของ ‘คดีก่อการร้าย’ กับคดีซื้อเสียงของพรรคประชาธิปัต ย์ รายนั้นผู้ต้องหาแค่คนเดียว แต่ก็สู้กันยันฎีกา กว่าศาลจะลงโทษนักการเมืองของพรรคเก่าแก่ ด้วยการ จำคุก 1 ปี และตัดสิทธิ 10 ปี ได้สำเร็จ ก็กินเวลานาน
ถึง 1 ทศวรรษ
แม้แต่คดี ส.ป.ก.4-01 ซึ่งเป็นเรื่องอื้นฉาวของพรรคเก่าแก่ดักดานอีกเหมือนกัน กว่าจะเสร็จสิ้นการฟ้องเรียกที่ดินของรัฐคืนได้ ก็กินเวลายาวนาน 10 ปี เช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคดีความการก่อการร้าย ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องหาและพยานผู้เกี่ยวข้องมาก มาย ได้รับการคาดหมายว่า
จะต้องยืดยาวเป็นหนังชีวิต โดยมีภาคต่อและภาคตาม อีกหลายตอน ซึ่งจะต้องดำเนินการในชั้นศาล โดยลากกันไปอีกอย่างยาวนาน เพราะต้องว่ากันเต็มเหนี่ยว
ไปจบกันที่...ศาลฎีกาโน่นเลย!
ดังนั้น ยิ่งเวลาทอดออกไปเนิ่นนานเท่าใด โอกาสที่บาดแผลในใจของฝ่ายที่ถูกปราบ ปราม ก็จะยิ่งถูกขยายให้กว้างขึ้น และกว้างขึ้น จนกลายเป็นแผลเฟอะฟะ เรื้อรัง ของชาติไทยเราไป ในที่สุดความสามัคคีของคนในชาติ ก็จะหาไม่ได้ในแผ่นดินนี้
แม้ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล จะเคลื่อนไหวกันไม่ถนัด แต่ก็มีพลวัตรที่น่าสนใจของส่วนอื่นในสังคมไทย และจะมีความแหลมคมต่อไป นั่นก็คือ
มีความเคลื่อนไหว ในมหาวิทยาลัยต่างๆอย่างกว้างขวาง ซึ่งบรรดาอาจารย์นิสิตนักศึกษา เริ่มนำข้อมูลเรื่องรัฐบาลและทหาร ใช้อาวุธ เข้าปราบปรามประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ออกมาตีแผ่กันแล้ว หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ไทยรัฐ’ เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจน ถึงกับลงในคอลัมน์ ‘ทีมข่าวการเมือง’ หน้า 3 เมื่ออังคาร ที่ 22 มิ.ย. 2553 ว่า
...ที่เฮี้ยนจริงๆกลับกลายเป็นเสียงของนักวิชาการ ทั้งยี่ห้อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ตั้งเวทีเสวนา วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและ ศอฉ.ในการดำเนินการ กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแบบถึงแก่นถึงกึ๋น...
การเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเกินความคาดหมายแต่ประการใด เพราะ ‘สิทธิมนุษยชน’ นั้น พลโลกเขาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า
องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่างฮิวแมนไรท์วอช (ซึ่งเคยเปิดโปงเรื่อง “ศูนย์กระทืบสันติ” ที่ปักษ์ใต้จนต้องยุบศูนย์ไป) ก็มีการเข้ามาสอบสวนพยานในประเทศไทยแล้ว
กรณีของ ประเทศไทยนั้น มีข้อพิจารณาได้ว่า
พยานหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมาจากสื่อมวลชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ และบันทึกความเคลื่อนไหวด้วยเครื่อง มือต่างๆ นั้น
ได้ชี้เป้าตรงไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ที่ออกปฏิบัติการในห้วงเวลานั้น ซึ่งรัฐบาลเอง ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
ทหารไม่ได้ปฏิบัติการแบบหฤโหด ตามที่กล่าวหากัน หรือเป็นฝ่ายสังหารประชาชน!
ในฐานะที่ตัวผู้เขียน มีความคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีขนาดใหญ่ ขอเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า
ในไม่ช้านี้ ข้อสงสัยที่ว่า ทหารเป็นผู้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกรณีฆ่าหมู่ 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม จะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น และจะเป็นภาระหนักของฝ่ายรัฐ ในการแก้ไขเหตุการณ์ต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ
ถ้าหลักฐานฝ่ายรัฐบาล ยังง่อนๆแง่นๆ แต่ตรงกันข้ามหลักฐานของฝ่ายองค์กรอิสระ และนักวิชากลับมีมากขึ้น อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
ในที่สุดประชาชนในบ้านนี้เมืองนี้ ก็จะพากันเชื่อว่า
“กองทัพไทย มีฆาตกร!”
ถึงวันนั้น ไทยแลนด์แดนสยาม และรัฐบาลโลซกแห่งประเทศไทย ก็จะต้องตกมี “ขี้ปาก” ของชาวโลกมากยิ่งขึ้นทุกที...ทุกที!
อีกไม่นานเกินรอ อาจมีผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญในองค์กรต่างของโลก ออกมาซ้ำรอย นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย โดยประกาศก้อง กู่ร้องให้ดังไปทั่วโลกว่า
“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”
............
(คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ตอน “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!” ออ นไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 มิถุนายน 2553)
ประทับใจมาก..
ตอบลบอั้งยี่ราชวงศ์หมิง
ตอบลบ