การเข้าจับกุมตัวสุชาติได้ เมื่อวานนี้ ขณะกำลังนั่งรับประทานอาหาร ที่บริเวณศูนย์อาหาร ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าแพลททินั่มแฟชั่นมอลล์ สอบถามผู้ต้องหา ให้การยอมรับเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ซึ่งในวันนี้ได้กลับมาหาลูกที่ กทม. และนัดมารับประทานอาหารด้วยกัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อดำเนินคดีต่อไป***
***สุชาติจะหมิ่นหรือไม่หมิ่นฯตามข้อกล่าวหา สิ่ง ที่เราอยากเรียกร้องจากกระบวนการยุติธรรมคือต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ประกัน ตัว ไม่ใช่จับยัดคุกขังลืมเหมือนดา ตอร์ปิโด หรือใครๆที่โดนคดีนี้ และเขาจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามกระบวนยุติธรรมที่เป็นธรรม...ดังนั้นวันนี้มารำลึกวีรประวัติการต่อสู้เบื้องแรกของภาคประชาชน ก่อน จะคลี่คลายขยายตัวมาเป็นเสื้อแดงทั่วไทย ฝ่ายประชาธิปไตยทั่วมุมโลกอย่างที่เห็นกันเวลานี้ ซึ่งจะทำให้เห็นคุณูปการอันสำคัญของสุชาติกับกลุ่มคนวันเสาร์...
***หลังรัฐประหาร19 กันยายน 2549 คนแรกที่ออกมาต้องบันทึกเป็นเกียรติยศแก่ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร และทวี ไกรคุปต์ นักการเมืองอาวุโส แต่เพราะมาน้อยเป็นวีรชนลุยเดี่ยว เลยโดนพวกมันหิ้วขึ้นรถตู้ไปเก็บที่เซฟเฮาส์ทันควัน***
***พอวันรุ่งขึ้น กลุ่มเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหาร ซึ่งเป็นการรวมตัวกันหลวมๆของนักกิจกรรมนักศึกษาเก่าค่ายธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ บวกกับบก.ลายจุด และอาจารย์
***ต่อมาพวกคณะรัฐประหารก็สะดุ้งเฮือกไปมา แล้วหาว่าทักษิณมี"คลื่นใต้น้ำ"จะต่อต้านการรัฐประหาร แต่ก็ไม่เห็นโผล่ซักที มีกระทาชายนายหนึ่งโผล่มาจากรู ใช้ชื่อแฝงว่า"เตมูจิน"คุย คำเขื่องว่าจะระดมคนมาต้านคมช.เป็นหมื่น ฝ่ายประชาธิปไตยก็เห็นหน่วยก้านพอพึ่งพาได้ เลยโดดจะไปร่วม แต่ก็ออกอาการแปลกๆคือไปจัดแถลงข่าวที่โรงแรมรอยัลก็ให้พวกกองเชียร์ควักค่า ห้องประชุมแถลงข่าว ค่ากาแฟด้วย พอจะไปหา"บังสนธิ"หัวหน้า คณะรัฐประหารเพื่อยื่นข้อเรียกร้อง ก็ไม่องอาจมาดผู้นำการต่อต้าน หากแต่"กุมไข่"เข้าไป"ขอรับๆๆ"เป็นหลัก พอวันนัดหมายที่สนามหลวงที่ว่าจะมีคนขนมาเป็นหมื่นก็หาย นายเตมูจินเลยกลายเป็น"คลื่นใต้น้ำลวงโลก" บรรดากองเชียร์ก็เลยเลิกพึ่งพาอาศัย แล้วหันมาพึ่งตัวเองแทน***
***1 พฤศจิกายน 2549 หลังรัฐประหาร 19 กันยายนไม่นานนัก และหลังลุงนวมทอง ไพรวัลย์ "เสียสละ"ไป1วันเพื่อปลุกสังคมไทยให้ออกมาต้านเผด็จการและทวงประชาธิปไตย กลุ่มคนใส่ชุดดำก็ ปรากฎตัวที่ท้องสนามหลวงฝั่งธรรมศาสตร์ มีเก้าอี้เล็กๆ 1 ตัว โทรโข่ง 1 อันไม่มีใครมีชื่อเสียงบิ๊กเนม เป็นผู้นำอะไรมาก่อนทั้งนั้น มีสิ่งเดียวคือหัวใจที่จะขับไสเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตยคืนมา***
***เนื่องจากกลุ่มคนที่ไปรวมตัวต้านรัฐประหารที่สนามหลวงนี้เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ วันปกติต้องทำมาหากิน พอวันอาทิตย์เป็นวันfamily dayก็เลยนัดหมายเจอกันทุกวันเสาร์ นั่นคือปฐมบทของ"คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ"
แกน นำก็ต้องหาชื่อแฝงไปก่อน จะสมศักดิ์ สมชาย สมหญิง หรือสุชาติก็ว่ากันไป และเนื่องจากเป็นภาคพลเมืองของแท้ไร้การจัดตั้งใดๆ ก็เปรียบเสมือนการต่อสู้ของชาว"บางระจัน" เพียงแต่บางระจันยุคนี้มันเป็นยุค"ไซออน"แล้ว ก็เลยกลายเป็นรหัสวงในนัดหมายกันว่าพวกเขาคือชาว "บางไซ(ออน)" พอนักข่าวมาถามแกนนำที่ถือโทรโข่งบนเวทีว่าชื่อแซ่อะไรไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาตอบไปว่า"ผมชื่อ สุชาติ ณ บางไซ" นักข่าวเลยส่งเข้าไปที่โรงพิมพ์เป็น"สุชาติ นาคบางไทร" ที่ไปที่มาจุดเริ่มต้นของคนวันเสาร์ ขบวนการที่เป็นหน่อเนื้อเสื้อแดงในเวลาต่อมา ก็เริ่มต้นจากตรงนั้นนั่นเอง***
***การต่อสู้ของภาคประชาชนเบื้องต้นก็ต้องบอกว่าใครคิดอะไรได้ก็ทำไป ดังที่ปรากฎว่าขณะที่"สุชาติ นาคบางไทร"กำลังเหยียบเก้าอี้หัวโล้นอยู่ท่ามกลางพี่น้องนับร้อยที่สนามหลวง เมื่อ 1 พฤศจิกายน 49 นั้น ภายในธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เองทางบก.ลายจุดและเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหารก็รวมพลคนกลุ่มหนึ่งอยู่แถวสนามบอลธรรมศาสตร์แล้วพอได้ที่ก็เคลื่อนขบวนออกจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เพื่อไปประท้วงที่หน้ากองทัพบก
ระหว่างเดินผ่านสนามหลวงที่สุชาติ นาคบางไทรกำลังยืนบนเก้าอี้ใช้โทรโข่งด่าคมช.นั้น ก็มีเสียงหนึ่งแทรกมาว่า"เฮ้ยๆนั่นใช่พวกเราพวกต้านรัฐประหารใช่มั๊ย เห็นใส่เสื้อดำเหมือนกัน"ทาง ฝ่ายที่กำลังเดินขบวนบอก"ใช่" พวกสนามหลวงก็ยุติการอภิปรายแล้วแห่เข้ามาร่วมเดินขบวนไปยังหน้ากองทัพบก คนตอนนั้นนับช่วยแล้วเต็มที่คือซัก 300 คนเห็นจะได้..แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นให้มีเสื้อแดงเรือนแสนเรือนล้านเป็นไฟ ลามทุ่งในเวลาต่อมา***
***นั่นเป็นการเดินขบวนหนแรกที่จัดการโดย เครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร เป็นวันแรกที่เป็นจุดกำเนิดคนวันเสาร์ ทั้ง2กลุ่มหลอมรวมไปหน้ากองทัพบกโดยมิได้นัดหมาย และประการสำคัญทั้งที่ปลายฝนต้นหนาวแล้วก็ตาม พอขบวนเคลื่อนไปถึงหน้ากองทัพบก ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ เปียกกันมะล้อกมะแล้กไปตามๆกัน ฝนยังอยู่คู่ฝ่ายประชาธิปไตยเรื่อยมา บางทีหลายครั้งก็มานอกฤดูหน้าตาเฉย!
แต่ภาคประชาชนอย่างเครือข่าย 19กันยาฯ และคนวันเสาร์ฯค่อยลดบทบาทลง เมื่อทัพหลวงอย่าง3เกลอเริ่มออกศึกในปีถัดมา...แต่เมื่อไหร่ที่ภารกิจเรียก ร้อง แน่นอนว่า ภาคประชาชนไม่ได้ลี้กายสลายตัวไปไหน พวกเราจะกลับมา ด้วยวุฒิภาวะที่แกร่งกล้า ประสบการณ์ที่แกร่งกร้าน และยุทธวิธีที่จัดเจนขึ้นกว่าเมื่อแรก เป็นแน่***
***และควรบันทึก ไว้เป็นวีรประวัติการต่อสู้ของภาคพลเมืองไทยด้วยว่า นับจากจุดเริ่มต้นการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมืองเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม 2550 ก็เป็นครั้งแรกที่ภาคพลเมืองผู้เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยพากันใส่"เสื้อแดง"ออกสู่ท้องถนนปรากฎต่อโลกเป็นครั้งแรก
โดยจุดเริ่มต้นไอเดียมาจากใครยังต้องตามหาเพื่อให้"เครดิต"กันต่อไป แต่คนแรกที่กำหนดสีสัญลักษณ์และนำพาการรณรงค์คือบก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ โดยตอนนั้นฝ่ายอำมาตย์จะเข็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ2550ให้ผ่านจงได้ ฝ่ายประชาธิปไตยจึงใช้สัญลักษณ์สีแดง เหมือนกับ"ไฟแดง"ไม่ให้ผ่านออกมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญ
ผลสรุปจบลงที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้อำนาจทุกทางผ่านได้ฉิวเฉียด51:49% และสีแดงได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อันสง่างามและมีเกียรตินับแต่นั้น***
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น