ถอดความจาก ปาฐกถา"บทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลาซึ่งสังคมไทยไม่ยอมรับรู้" ในพิธีเปิดประติมานุสรณ์ 6ตุลา โดย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 6 ตุลาคม 2543 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ผมมี 2 ประเด็นใหญ่ที่จะขอกล่าวในวันนี้
ประการแรก บทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งดูเหมือนว่าสังคมไทยไม่ยอมเรียนรู้
ประการที่สอง ขอกล่าวอีกสักครั้งถึงสังคมไทยจัดการอย่างไรกับประวัติศาสตร์บาดแผล
1. บทเรียนทางประวัติศาสตร์
คง มีบทเรียนมากมายที่เราน่าจะได้คิดได้เรียนรู้ แต่ในวันนี้ผมขอเน้นเพียงประการเดียว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของโศกนาฏกรรมเมื่อปี 2519 และเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะมีส่วนผลักดันหรือถ่วงรั้งอนาคตของเรา
บทเรียนสำคัญที่จะกล่าวถึงนี้ ยังเรียนรู้กันไม่พอ รัฐ กลไกรัฐ ผู้ครองอำนาจ และคนไทยจำนวนมากมหาศาล ไม่ยอมตระหนักเรียนรู้อย่างจริงจัง จนเกิดความรุนแรงเมื่อพฤษภาคม 2535 อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังใส่ใจเรื่องนี้น้อยเหลือเกิน
นั่นคือ สังคมไทยไม่เปิดพื้นที่ให้แก่ความแตกต่างขัดแย้งกับรัฐ (ไม่ใช่รัฐบาล) รวมถึงความคิดอุดมคติที่แหวกกรอบ นอกคอก ผิดแผกจากขนบความเชื่อทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขัดแย้งกับรัฐและสถาบันหลักของสังคมไทย
เราไม่รู้จักจัดการกับความขัดแย้งกับรัฐ อันเกิดจากความคิดที่แตกต่างและความคิดนอกคอก และพวกนอกคอก
เราไม่ตระหนักว่า ความคิดที่แตกต่างขัดแย้งกับรัฐจนถึงนอกคอก เป็นทรัพยากรอันมีคุณค่า อาจจะไม่ใช่สำหรับปัจจุบัน แต่สำหรับอนาคตของสังคมไทย
อุปสรรคต่อการเปิดใจให้กว้างในระดับรากฐานของสังคมวัฒนธรรมไทย มีอยู่ 2 ประการที่จะเน้นในที่นี้
อุปสรรค ประการแรก เรายึดมั่นถือมั่นในความสามัคคีอย่างผิดๆ และเกินขอบเขต เราพอใจกับการคิดเหมือนๆ กันไปหมดในเรื่องสำคัญ ตั้งแต่ในโรงเรียนประถมจนถึงรัฐสภา อ้างความสามัคคีจนพร่ำเพรื่อ เพื่อกำราบกดปราบความคิดที่แตกต่าง ผลักไสความคิดแหวกแนวสร้างสรรค์ ให้กลายเป็นความคิดนอกคอก
นี่เป็นความสามัคคีอย่างหยาบๆ ไม่ซับซ้อน จึงต้องใช้กำลังอำนาจอย่างดิบ ไม่ซับซ้อนในการควบคุมกล่อมเกลาให้ผู้คนอยู่ในกรอบความคิดตามมาตรฐานที่รัฐ ต้องการ
นี่คือความสามัคคีอย่างตื้นเขิน ที่อาจใช้ได้กับสังคมหุ่นยนต์ หรือครอบครัวเล็กๆ ที่มี “พ่อบ้าน”รู้ดี เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
แต่สำหรับสังคมที่ใหญ่โตซับซ้อน นี่คือ“ทรราชในนามของความสามัคคี”
อุปสรรค ประการที่สอง ต่อการเปิดใจกว้างในระดับรากฐานของสังคมวัฒนธรรมไทย คือ การยึดมั่นถือมั่นในประโยชน์ของชาติอย่างผิดๆ และเกินขอบเขต
ผลประโยชน์ของชาติ ส่วนรวม และเสียงข้างมาก กลายเป็นความชอบธรรมสูงสุด อำนาจรัฐราชการ และนักการเมืองอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติ ส่วนรวม และเสียงข้างมาก เพื่อใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทำร้ายผู้ที่เห็นผลประโยชน์ของชาติต่างออกไป ทำร้ายเสียงข้างน้อย ปฏิเสธสิทธิของเสียงข้างน้อย
เราจึงมีคนในชาติจำนวนมหาศาล ที่ตกเป็นเหยื่อของผลประโยชน์แห่งชาติ
ในเมื่อประชาชนทุกคน เป็นเสียงข้างน้อยในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ ประชาชนจึงมีโอกาสเสมอภาคกันที่จะกลายเป็นเหยื่อของการกระทำ “เพื่อส่วนรวม”
ตัวอย่าง : เสียงส่วนใหญ่ในหมู่บ้านที่พ่อตาผมอยู่ คัดค้าน กทม. ที่จะทำถนนข้ามคลอง อันจะทำลายความสงบร่มรื่นของบ้านแถนนั้น กทม.บอกว่าเพื่อส่วนรวม
และที่เรารู้กันดี ชาวบ้านแม่มูนไม่เอาเขื่อนไฟฟ้า แต่ขอลำน้ำ พันธุ์ปลา และชีวิตปกติ รัฐบาลทุกชุดบอกว่าเพื่อส่วนรวมต้องสร้างเขื่อน
โครงการรัฐที่ไม่เคยให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ มักอ้างผลประโยชน์ของชาติและส่วนรวม กำราบปิดปากผู้คัดค้านซึ่ง (แหงๆ ) ไม่ใช่ประชากรส่วนข้างมากของประเทศ ทั้งๆ ที่ “ส่วนรวม” และ “ชาติ” ที่อ้างกันนั้น หาตัวตนไม่ได้ เป็นแค่การอ้างอำนาจชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตยแบบผิดๆ
เพราะประชาธิปไตย ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เสียงข้างมากบดขยี้ทำร้ายและทำลายเสียงข้างน้อย
ผลประโยชน์ของชาติหรือส่วนรวม ไม่ใช่อำนาจชอบธรรมที่จะทำลายวิถีชีวิตของประชาชนที่เหลือวิถีชีวิตที่ต่างไปจากที่รัฐบงการ
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ กลายเป็นระบอบและกระบวนการที่รัฐใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในนามของส่วนรวมและผลประโยชน์ของชาติ
ในแง่นี้ การเมืองไทยยังไม่ก้าวพ้นจากยุคสฤษดิ์มาสักเท่าไรเลย
เพราะว่านี่คือทรราช ในนามผลประโยชน์ของชาติ
ความคิดและวาทกรรมว่าด้วยความสามัคคีและผลประโยชน์ของชาติ เอื้ออำนวยการใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อกำราบปราบปรามความคิดที่แตกต่างขัด แย้งกับรัฐ เพื่อผลักไสอุดมคติความคิดแหวกแนวให้กลายเป็นพวกนอกคอก อันตราย
เราไม่ควรหยุดอยู่แค่การยอมรับความแตกต่างความนอกคอก
เราควรตระหนักยิ่งไปกว่านั้นว่า ความแตกต่างจนถึงความนอกคอกคือทรัพยากรอันมีค่าต่อการเปลี่ยนแปลง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะ ความคิดที่แตกต่าง จนถึงแหวกแนวนอกคอก ล้วนเป็นฐานทางภูมิปัญญา ฐานความรู้ วัฒนธรรมที่สังคมสามารถเลือกใช้ในภาวะต่างๆ กันท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
ความคิดที่แตกต่าง มักช่วยให้เห็นข้อบกพร่องขีดจำกัดของความคิดกระแสหลัก
บ่อยครั้ง ความคิดแตกต่างและแหวกแนวเกิดจากมุมมองที่มาพร้อมกับกระแสใหม่ๆ พลังเศรษฐกิจสังคมใหม่ๆ
ความแตกต่างแหวกแนว จึงเป็นคลังภูมิปัญญาแก่สังคมจนถึงกับเป็นทางเลือกต่างๆ นานา เมื่อกระแสหลักไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การกำจัดและจำกัดความคิดที่แตกต่าง จึงเป็นการปิดหูปิดตาตัวเอง ปิดทางเลือกสำหรับอนาคต
ดังนั้น นอกจากจะยอมรับความแตกต่างและนอกคอกแล้ว การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้ที่คิดแตกต่าง และพวกแหวกแนวนอกคอก จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นพลังทางสังคมท่ามกลางอิทธิพลใหม่ ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การปะทะทางความคิด ยังจะช่วยให้สังคมเติบโต มีวุฒิภาวะทางปัญญา รู้จักวิจารณ์ เลือก รับ ลอก ปอก ทิ้ง อิทธิพลใหม่ๆ จากภายในและภายนอก “วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์” คือ ภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับการเผชิญอิทธิพลภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้
สังคมใดที่ทำให้ผู้คนคิดไปในทางเดียวกันจนเกินไป สามัคคีอย่างตื้นเขิน เปรียบเสมือนปลูกพืชพันธุ์เดียวในพื้นที่มหึมาซึ่งอาจให้ผลพวงมหาศาลในชั่ว ระยะสั้น แต่ยากที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน และอาจพินาศราบเรียบ เมื่อเผชิญแมลงหรือโรคภัยใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก
เมื่อ 4 ปี ก่อนในงานรำลึก 20 ปี 6 ตุลา เราย้ำกันว่า ใครจะเป็นสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เป็นอดีตที่เราไม่จำเป็นต้องปิดบัง แต่กลับควรดีใจที่เราเกิดมาจริงจัง ไม่งอมือ ไม่เสียชาติเกิด
วันนี้ ผมอยากจะขอย้ำไปอีกขั้นว่า เราต้องเปิดโอกาสแก่ความคิดอันหลากหลาย ให้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมโดยสันติ
ใครจะยังคงเป็นสังคมนิยม เป็นคอมมิวนิสต์ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
รัฐไม่มีสิทธิทำร้าย ทำลายพวกเขา หากเห็นแก่อนาคตของสังคมไทย
ในเมื่อความแตกต่างเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงต้องรู้จักจัดการกับความขัดแย้งอันเกิดจากความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งกับรัฐ
ขอย้ำว่าความสามัคคีจะต้องไม่หมายถึง ความไม่ขัดแย้งกัน
ความสามัคคี ควรจะหมายถึงภาวะที่ความขัดแย้งปะทะความคิดกันอย่างสันติ ไม่มีการทำร้าย และทำลายความแตกต่าง
ไม่มีการฆ่า จำกัด ในนามของความสามัคคี หรือผลประโยชน์ของชาติ
การจัดการกับความขัดแย้งกับรัฐ หมายถึง
วิธีการ เทคนิค การต่อรอง ประนีประนอม กระบวนการเจรจาหาข้อยุติ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และสังคมไทยยังขาดกลไกเหล่านี้อย่างยิ่ง ปล่อยให้ชาวบ้านรออยู่หน้าทำเนียบมา 2-3 เดือนแล้วตีชาวบ้าน แล้วยังกล่าวหาซ้ำว่าพวกเขาไม่ใช่คนไทย เป็นคนอื่น หรือทำให้ประชาพิจารณ์เป็นแค่ประชาสัมพันธ์ แต่นี่กลับยังเป็นการจัดการในระดับเทคนิค
ที่สำคัญอย่างยิ่งในเบื้องต้น คือวัฒนธรรมทางการเมือง ที่รัฐยอมรับฟังตอบสนอง และให้มีส่วนร่วม
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่เจ้าของความชอบธรรมแต่ผู้เดียว รัฐและรัฐบาลทำพลาดตัดสินใจผิดเสมอๆ เป็นสิ่งปกติ
รัฐจึงจำต้องรับฟัง ตอบสนอง และให้ความคิดที่แตกต่าง ประชาชน กลุ่มผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกับรัฐ มีส่วนร่วมในวันตัดสินใจทางการเมือง ระบบการเมืองของสังคมไทยต้องการอำนาจรัฐที่กระจายกว่านี้ เล็กกว่านี้ อำนาจน้อยกว่านี้ เปิดพื้นที่ให้แก่ความแตกต่างหลากหลาย มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองง่ายกว่านี้
ภาวะเช่นนี้ รัฐจึงจะตอบสนองความคิดแตกต่างหลากหลายดีกว่านี้ และจึงจะลดโอกาสที่จะเกิดการทำร้ายและทำลายพวกคิดแตกต่างขัดแย้งกับรัฐ และพวกนอกคอกทั้งหลาย
2. ว่าด้วยประวัติศาสตร์บาดแผล
การจัดการกับความแตกต่างหลากหลายอย่างผิดๆ ประการหนึ่งที่เกี่ยวพันกับกรณี 6 ตุลา คือ การจัดการกับประวัติศาสตร์อย่างผิดๆ คับแคบ และไม่คิดถึงประโยชน์ต่อลูกหลาน
สังคมไทยมีวิธีจัดการกับอดีตที่ไม่อยากจดจำ หรือจำไม่ลง กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ 2 วิธี
ประการแรก ปฏิเสธมันเสีย ทำเป็นว่าอาจารย์ปรีดี ไม่มีตัวตน ไม่มีคุณค่าความหมายใดๆ มากว่า 50-60 ปี
ทำเป็นว่าไม่มี“อาชญากรรมของรัฐ เมื่อ 6 ตุลา 2519”
เรามาวันนี้ เพื่อจารึกความทรงจำต่อการฆาตกรรมหมู่ดังกล่าว ผมขออภัยที่จะกล่าวว่ามีประวัติศาสตร์บาดแผลอีกหลายกรณีที่ถูกลืมเลือนเสีย ยิ่งกว่า 6 ตุลาเสียอีก
6 ตุลา เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับช่างไฟฟ้า 2 คนถูกแขวนคอ เราไม่ค่อยนึกกันแล้วว่าเขาคือใคร ครอบครัวของเขาอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับเขา
6 ตุลา เป็นการปิดฉากการเคลื่อนไหวสังคมนิยมในเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย แต่การปราบปรามกระแสสังคมนิยม มีมาก่อน 6 ตุลา เราไม่ค่อยนึกถึงอาจารย์บุญสนอง บุณโยทยาน กันอีกแล้ว จนป่านนี้ไม่มีใครรู้ชัดว่าใครทำ หรือแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ยังไม่ชัด เราเคยฉุกใจคิดไหมว่าอาจารย์ทัศนีย์ ภรรยาของอาจารย์บุญสนอง ยากลำบากขนาดไหนกับการประคับประคองครอบครัว 25 ปีที่ผ่านมา
อยากทราบ ลองไปค้นหาดูเอาสิครับ
แต่ อาจารย์บุญสนองเป็นแค่ 1 ในบรรดาผู้นำขบวนการกรรมกร ชาวไร่ชาวนา ผู้นำนักศึกษา ที่ถูกปลิดชีวิตไปทีละคนๆ รวมหลายสิบหรือกว่าร้อยคน พวกเขาทุกคนมีครอบครัว มีพ่อแม่-เมียผัว-พี่น้อง-ลูกหลาน ซึ่งไม่เคยได้คำตอบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เขารัก
สังคมไทยไม่จดจำ ไม่สนใจหาคำตอบ ไม่สอบสวน ไม่หาความยุติธรรม
คุณเคยคิดไหมว่าในระยะเดียวกันนั้น มีการสังหารหมู่ที่ตกอยู่ในความเงียบสนิทเสียยิ่งกว่า 6 ตุลา?
เชื่อกันว่าการสังหารหมู่คราวนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องการเมือง จะใช่หรือไม่ก็ตาม การที่อำนาจรัฐสังหารประชาชนตายไปกว่า 70 กว่าคนกลางเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องที่เราควรปล่อยลืมไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กรณีจลาจลพลับพลาไชย” ถูกผลักไสออกไปนอกความทรงจำของเรา เพียงเพราะว่ากันว่าเป็นการก่อความวุ่นวายของแก๊งอั้งยี่ชาวจีน
ณ พ.ศ.2543 คุณยังเชื่ออย่างนั้นอยู่หรือ?
ในนามของส่วนรวม ความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติเราไม่อยากเผชิญความจริงว่ามีเรื่องเหล่านี้อยู่
เรารักษาประวัติศาสตร์ของชาติให้ดูสวยงามน่าภูมิใจอยู่ได้ด้วยการผลักใส ประวัติ ศาสตร์บาดแผลทั้งหลาย ให้กลายเป็น “เรื่องเก่า ๆ ที่ไม่รู้จะขุดขึ้นมาหาเรื่องกันทำไม”
“ประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิ ใจของชาติ” คือยากล่อมประสาทสำรับใหญ่ที่ชวนให้เราหลงใหลกับตัวตนอันสวยหรู ประวัติศาสตร์แบบด้านเดียวคือ อวิชชาที่ทำให้เรายึดมั่นกันหนักเข้า ถือมั่นกันให้แน่นเข้าไปอีก ยิ่งนานก็ยิ่งหลงลืม ไม่รู้จักตัวคน
ลองนึกดูว่า ถ้าหากจู่ๆ คนที่คุณรักเป็นลูก เมียผัว พี่น้อง ของคุณดับสูญไปเฉยๆ อย่างอธิบายไม่ได้ ตำรวจไม่สอบสวนคนร้ายไม่เคยถูกลงโทษ ไม่เคยมีคำอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น แถมกลไกรัฐยังโฆษณาว่า เขาเป็นพวกหนักแผ่นดิน เสียชาติเกิด เป็นอั้งยี่กุมารจีน
24-25-26 ปีผ่านไป และอาจตลอดกาลนาน คุณต้องเฝ้าบอกตัวเองทุกวันทุกคืนว่า คนที่คุณรักไม่ใช่คนเลวอย่างที่ถูกกล่าวหา
เก็บความทรงจำนั้นไว้กับตัวเอง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าเปิดเผยให้คนอื่นรู้
ถ้าหากสักวันหนึ่ง สาธารณชนยอมรับและบอกคุณว่า ใช่-คนที่คุณรักเป็นคนดี และเราจะช่วยกันหาความกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น
วันนั้นจะเป็นวันที่งดงามที่สุดในชีวิตของคุณ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องการแก้แค้น ความสะใจไม่ช่วยสะสางบาดแผล
ความอิ่มเอมใจที่รู้ว่าคนที่เรารัก เป็นที่ยอมรับจดจำของผู้คนอย่างถูกต้อง หลุดออกจากเงาของความเงียบ ความภูมิใจที่เราสามารถเล่าเรื่องของเขาในแบบที่เรารู้จัก ให้คนอื่นได้ฟังอย่างเปิดเผย ไม่ต้องเก็บซ่อน ลังเล อิหลักอิเหลื่อ ได้แขวนรูปของเขาไว้ในที่โอ่อ่าเปิดเผย เพื่อให้คนถาม แล้วเราจะได้เล่าเรื่องของเขาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นี่ต่างหากคือความยุติธรรมที่พึงปรารถนา
ในความเห็นของผม นี้คือภารกิจ ความมุ่งหมายของการชำระสะสางประวัติศาสตร์บาดแผลที่ถูกลืมเหล่านั้น ทุกกรณี
การปฏิเสธอดีตที่ไม่น่าพิสมัย คือการหลอกตัวเอง
ถ้าคนรุ่นหลังไม่ไยดีกับกรณี 6 ตุลา ก็เพราะคนรุ่นก่อนปลูกฝังวัฒนธรรมปิดหูปิดตาตัวเอง แล้วส่งทอดไปยังลูกหลาน
วิธีจัดการประวัติศาสตร์บาดแผลประการที่สอง คือ แปลงความหมายของอดีตนั้น ให้กลายเป็นแบบที่พอจะกล้อมแกล้มกลืนได้ลงคอ
จริงอยู่ อดีตมีหลายความหมายหลายคุณค่า ตามแต่มุมมองของคนร่วมสมัย และมุมมองย้อนหลังจากปัจจุบัน
นี่คือ ภาวะปกติของมนุษย์
ดังนั้น จึงเปิดโอกาสให้แก่การแปลและแปรความหมายของอดีตให้สอดคล้องกับความต้องการจดจำของปัจจุบัน
ขบวนการนักศึกษาช่วง 6 ตุลา คือกลุ่มคนที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นฝ่ายซ้าย ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงราก จำนวนมากตระหนักดีว่า ตนต้องการสังคมนิยม (ไม่ว่าเขาจะเข้าใจมันอย่างไร ถูกหรือผิดก็ตามที) จำนวนไม่น้อยสนใจ พอใจและนิยมคอมมิวนิสต์ ทั้งในฐานะความคิดและที่มาในรูปของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ไม่ว่าความคิดของเขาจะถูกหรือผิด เมื่อมองจากวันนั้นหรือวันนี้ ความคิดของพวกเขาไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดน่ากลัว
พวกเขา-พวกเรา-ไม่ใช่ศัตรูประชาชน
ฝ่ายซ้าย ชาวสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ มีตัวตนในสังคมไทย จะถูกผิด ดีเลว จะชอบหรือเกลียดฝ่ายซ้ายก็ตามที
เราไม่มีสิทธิ์และไม่ควรปฏิเสธอดีตของฝ่ายซ้าย
ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยวันนั้นและวันนี้ มิได้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามมาตรฐานที่รัฐและสังคมไทยตีกรอบไว้อย่างน่าอึดอัด
แล้ว ไง? จับเขาแล้ว ฆ่าเขาแล้ว เราจะปฏิเสธหรือทำเป็นว่าคนเหล่านั้นคิดเหมือนคนอื่นๆ ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามแบบที่รัฐบงการงั้นหรือ?
เราไม่ยอมให้เขามีอดีต อย่างที่เขาปรารถนาจะเป็นอีกงั้นหรือ?
24 ปีผ่านไป ณ สถานที่เดียวกับที่เขาจากไป ผมคิดว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากเคารพในเกียรติ และชื่นชมกับความคิดอุดมคติ ตัวตนที่เขาเป็น ไม่ว่าเขาจะเป็นนักศีลธรรม นักสู้ที่รังเกียจความอยุติธรรม เป็นอนาธิปัตย์ที่ไม่ชอบอำนาจรัฐทุกชนิด เป็นซ้ายสำนักไหน เป็นสังคมนิยมค่ายใด หรือเป็นผู้นิยมพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม
24 ปีผ่านไปแล้ว ณ ธรรมศาสตร์ที่เดิมแห่งนี้ ไม่มีที่ไหนจะเหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว ที่พวกเราทุกคนที่มีส่วนทำให้อนุสรณ์ 6 ตุลาเกิดขึ้น จะเดินหน้าเป็นธงนำให้แก่สังคมไทยอีกครั้ง
คราวนี้ เพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่ความทรงจำอันหลากหลาย ซึ่งรวมถึงให้เกียรติแก่ฝ่ายซ้ายชาวสังคมนิยม ที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมของรัฐไทย เปิดพื้นที่ให้แก่อดีตที่สังคมไทยไม่ปรารถนาจะยอมรับ
เพื่อกระตุ้น เตือนสังคมไทยว่า อนาคตของสังคมอยู่ที่การเปิดอ้อมแขนต้อนรับความแตกต่างขัดแย้งกับรัฐ และให้พวกเขามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเปิดเผยและสันติ
ต่อสู้กับความคับแคบและอำนาจนิยม ที่มักปรากฏตัวในนามของความสามัคคี ผลประโยชน์ของชาติ และชาติ ศาสน์ กษัตริย์
6 ตุลาแบบนี้ ในความหมายนี้ดูรุนแรงเกินกว่าจะรับได้ แต่ผมมั่นใจว่าเพื่อนที่เสียสละไปเมื่อ 24 ปีก่อน ณ ที่แห่งนี้ คงยินดีจะอยู่ชายขอบของประวัติศาสตร์ไทย อยู่ในความทรงจำของคนอย่างเราๆ ที่เคารพในความคิดอุดมคติของเขา ตัวตนของเขา
ผมมั่นใจว่า เพื่อนเราที่จากไปแล้ว อยากอยู่ในความทรงจำของเราอย่างที่เขาเป็น
ถ้าหากความทรงจำเช่นนี้ ยากเย็นเหลือเกินที่จะให้สังคมไทยยอมรับได้ ก็เป็นภารกิจที่ต้องต่อสู้จนกว่าสังคมไทยจะใจกว้าง ไม่ใช่ปฏิเสธ หรือดัดแปลงเขา ให้เข้าพอดีกับความคิดที่สังคมไทยกล้อมแกล้มกลืนลงคอ
วีรกรรมที่ถูกผลักไสไปอยู่ในปริมณฑลของความเงียบ มีคุณค่ามากกว่าวีรกรรมอันโด่งดังมากมายในประวัติศาสตร์ไทย
ขอบพระคุณทุกท่าน และวิญญาณทุกดวงที่บันดาลใจให้ผมพูดในสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น