แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ทักษิณ โก โฮม! ความหวังที่รอคอย บุกมาเก๊าจับเข่าคุย ‘ทักษิณ’




bozo


บ้านเป็นคำสั้นๆ ที่ครอบคลุมความหมายความผูกพันเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่
อมตะนิยายจีน บทประพันธ์ของ โก้วเล้ง มังกรโบราณ ผู้วายชนม์ไปแล้ว
แต่ทิ้งผลงานเอาไว้ให้คนทั่วโลกติดกันงอมแงม
เพราะเป็นนิยายกำลังภายในที่แฝงไว้ซึ่งเรื่องคุณธรรม และน้ำมิตร
โก้วเล้ง ใช้คำเปรียบเทียบ คนที่ไม่มีบ้าน ว่าเป็น คนไร้ราก
สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวเดียวของ
คนที่ไม่มีบ้าน ไม่มียึดเกาะยึดเหนี่ยว ไม่มีที่พักพิงใจ ต้องร่อนเร่พเนตรไปอย่างไร้จุดหมาย
ลูกผู้ชายพึงมีชื่อ ร่ำสุราพึงเมามาย แต่ลูกผู้ชายจะมีความสุขใจที่แท้จริงได้อย่างไร
หากไม่มีบ้าน ลูกผู้ชายจะเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ได้อย่างไรหากไม่มีครอบครัวเป็นผู้ตาม
แล้วทำให้การเป็นผู้นำโดดเด่นขึ้น
ชีวิตของคนเราเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว บทประพันธ์ บทเพลง หรือแม้แต่ภาพยนตร์
จึงให้ความหมายให้ความสำคัญกับคำว่าบ้านเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
และมีผลงานสารพัดออกมามากมาย
ภาพยนตร์ที่โด่งดังในอดีต ติดชาร์ตเป็นหนังทำเงิน หนังอมตะ เรื่องหนึ่ง
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการถวิลหาและการอยากกลับบ้าน
ก็คือ เรื่อง ET เพื่อนรัก ที่โด่งดังอย่างมากในปี คศ. 1982 หรือปี พ.ศ. 2525
อี.ที. เพื่อนรัก (E.T. the Extra-Terrestrial) เป็นภาพยนตร์ไซไฟ-แฟนตาซี
ที่เป็นผลงานกำกับลำดับที่ 5 ของสตีเวน สปีลเบิร์ก
เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายชื่อ เอลเลียต ที่ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกค้างอยู่บนโลก
หลังจากยานอวกาศต้องเดินทางออกจากโลกอย่างกะทันหัน
เอลเลียตเรียกมนุษย์ต่างดาวตนนั้นว่า อี.ที.พากลับมาพักอาศัยที่บ้าน
โดยปกปิดไม่ให้แม่รู้ และช่วย อี.ที. สร้างเครื่องส่งสัญญาณวิทยุกลับไปในอวกาศ
เพื่อแจ้งให้ยานแม่กลับมารับ และหลบหนีการตามล่าจากเจ้าหน้าที่รัฐบาล
ที่ต้องการตัว อี.ที. เพื่อไปทำการวิจัย
หลังจากออกฉาย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
ทำรายได้จากการฉายในโรงถึง 359 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ทำลายสถิติของสตาร์วอร์ส ที่เป็นอันดับหนึ่งอยู่ก่อนหน้านั้น

ภาพยนตร์ถูกนำมาฉายซ้ำในปี พ.ศ. 2528 และในปี พ.ศ. 2545
ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์ โดยมีการใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิก
เพิ่มเติมฉากที่ไม่สามารถสร้างได้ก่อนหน้านั้น เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
ในการฉายรอบปฐมทัศน์ฉบับครบรอบยี่สิบปี
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2545 ใช้วงออเคสตราบรรเลงเพลง
ประกอบพร้อมกับการฉายภาพยนตร์ โดยวงลอสแอนเจลิสฟิลฮาร์โมนิกออเคสตรา
อำนวยเพลงโดย จอห์น วิลเลียมส
อี.ที. เพื่อนรัก ได้รับรางวัลออสการ์ ชนะเลิศ 4 สาขา ได้แก่
สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม,
สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม,
สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
และสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ความน่ารักของภาพยนตร์ที่สะท้อนในเรื่องมิตรภาพอันอบอุ่น
ระหว่างเพื่อที่แตกต่างกันในเรื่องชาติพันธ์ุ แต่ก็อยู่ร่วมกันได้โดยไม่แตกแยก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสัมพันธภาพของความเป็นเพื่อนจะอบอุ่น
แต่สุดท้ายแล้ว ลึกๆภายในใจแล้ว อี.ที.ก็ยังต้องการที่จะกลับไปบ้านของตนเองอยู่ดี
เพราะบ้านคือความอบอุ่นที่แท้จริง
ดังนั้นกับการตั้งคำถามแบบที่ไม่มีความลึกซึ้งถึงความอบอุ่นระหว่างคนกับบ้าน
โดยเฉพาะในแวดวงการเมือง ที่ในประวัติศาสตร์บนถนนการเมือง
ก็เพิ่งมีรอบนี้แหละที่การเมืองมีการมุ่งทำลายล้างกันอย่างสูง
มีการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองกันอย่างรุนแรง
จนทำให้การเมืองไทยมีสภาพแตกแยกและปั่นป่วนเช่นในปัจจุบัน
ในความเหี้ยมเกรียมทางการเมือง จะมีการตั้งคำถามอยู่เป็นประจำ

ถึงเรื่องที่ว่า ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งก็มีเงินทองเพียงพอที่จะอยู่ได้สบายในต่างประเทศจึงยังมีความเคลื่อนไหว
มีความพยายามที่จะหาทางกลับบ้าน
หรือมีการแวะเวียนเลียบๆเคียงๆ โฉบไปโฉบมาในละแวกประเทศ
จนทำให้ขั้วการเมืองตรงกันข้ามต้องพากันหวาดระแวงไม่รู้จักจบสิ้น

หากเป็นคนที่เข้าใจถึงความหมายของคำว่าบ้าน
และความผูกพันระหว่างคนกับบ้านแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีการตั้งคำถามเช่นนั้นแน่
แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ลึกซึ้งอบอุ่นกับคำว่าบ้านก็ย่อมไม่เข้าใจและย่อมมีคำถาม
ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
จะมีการเดินทางมาประเทศกัมพูชา
หรือเดินทางมาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ซึ่งเป็นละแวกใกล้เคียงกับประเทศไทย จึงเกิดความเครียดขึ้นในขั้วการเมืองตรงข้าม

และเปิดประเด็นเข้าใส่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เข้าใส่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกันอุตลุด
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทย
สังคมที่ในอดีตถูกเรียกว่าเป็นประเทศที่มีแต่รอยยิ้มและความอบอุ่น

ในขณะที่คณะกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์บางกอก ทูเดย์ นั้นมองว่า
ครั้งสุดท้ายที่ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บรูไนนั้น
เป็นช่วงก่อนการยุบสภา ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
และที่สำคัญก่อนที่จะรู้ผลว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
ชนะพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย อย่างขาดลอย

รวมทั้งก่อนที่จะมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
และก่อนที่จะมีกระแสในเรื่องของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ออกมา
ทำให้มีประเด็นคำถามที่ต้องการจะถาม พ.ต.ท.ทักษิณ อีกไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อปรากฏกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
มาแวะๆเวียนๆอยู่แถวๆประเทศที่ไม่ไกลจากประเทศไทยนัก
ในฐานะสื่อมวลชนที่มีหน้าที่
แสวงหาความจริงแสวงหาข่าวแสวงหาคำตอบมา
ให้กับประชาชนผู้อ่าน ทางกองบรรณาธิการ บางกอก ทูเดย์
จึงพยายามติดต่อนัดหมายที่จะไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้ง

ซึ่งในครั้งนี้ ปรากฏว่าจุดนัดหมายเพื่อการไปพบและสัมภาษณ์ คือที่ ประเทศมาเก๊า
ในเย็นวันอังคารที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา
คณะผู้บริหารกองบรรณาธิการ บางกอก ทูเดย์ จึงได้ไปขึ้นเรื่องของ ไทยแอร์เอเชีย
เพื่อเดินทางไปมาเก๊าตามนัดหมาย
ซึ่งปรากฏว่าในการเดินทางครั้งนี้ ก็ได้เห็นว่า
มีนางสาวพินทองทา ชินวัตร หรือ เอม บุตรสาวคนรอง
กับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวคนสุดท้อง
ของ พ.ต.ท.ทักษิณก็กำลังเดินทางไปพบบิดาด้วยเที่ยวบินนี้ด้วยเช่นกัน

แต่เป็นการเดินทางแบบธรรมดาๆทั่วไป
เดินไปนั่งท้ายเครื่อง ทำตัวแบบติดดิน
ไม่ได้มีภาพว่าเป็นลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรี
หรือเป็นลูกสาวของคนมีเงินเลย
ทุกอย่างเป็นอะไรที่เรียบง่ายเหมือนคนธรรมดาเดินทาง
แม้แต่ไปถึงมาเก๊าแล้ว ทั้งเอม และอุ๊งอิ๊ง ก็เดินไปต่อแถวรับการตรวจ
โดยไม่มีเรื่องช่องพิเศษ หรือ ฟาสต์แทร็ค
แบบลูกผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่ชอบๆทำกันแต่อย่างใด
ซึ่งเป้นภาพที่สะท้อนมุมมองของชีวิตได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อทางคณะบางกอก ทูเดย์ เข้าพักที่โรงแรมโซฟิเทลเรียบร้อยแล้ว
ก็ได้ติดต่อคอนเฟิร์มนัดหมายกับทาง พ.ต.ท.ทักษิณ
เพื่อที่จะสัมภาษณ์พูดคุยกันในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นัดหมายให้พบกันที่ MGM
การพบกันอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไรต้องยอมรับว่าแม้อาจจะมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า ปะปนอาการครุ่นคิดบ้าง
แต่แววตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความมุ่งมั่น ยังมีแววสู้ไม่ถอยอยู่เหมือนเดิม

แต่ที่น่าประทับใจก็คือ
ภาพที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินไปกอดลูกสาวด้วยความผูกพันและด้วยความคิดถึง
เป็นสิ่งที่สะท้อนได้ดีว่า นี่คือห่วงโซ่ที่ผูกพันความเป็นครอบครัว
และทำให้เกิดแรงถวิลหาที่จะกลับคืนสู่บ้าน
เพื่อความพร้อมหน้าพร้อมตาให้ได้ในอนาคต
เริ่มต้นกันด้วยคำถามเบาๆที่ว่า
รู้สึกอย่างไรบ้างกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะ
และนางสาวยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่าไม่ได้มองในแง่ที่ว่าเป็นชัยชนะของพรรค
แต่ว่านี่คือสิ่งที่ประชาชนมอบให้ นี่คือ
การตัดสินใจของประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทย
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอขอบคุณคนไทยทุกๆคน
ที่ให้ความเป็นธรรมกับพรรคเพื่อไทย

เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
พรรคเพื่อไทยโดนกล่าวหา โดนโจมตี โดนใส่ร้ายป้ายสีหนักเหลือเกิน
ซึ่งหากเชื่อตามนั้นคนก็คงไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
แต่การที่คนยังเลือกสะท้อนว่าคนไม่ได้เชื่อข้อกล่าวหาเหล่านั้น
และได้เลือกที่จะให้ความเป็นธรรมกับพรรคเพื่อไทย
จึงทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

และทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณคนไทยอย่างยิ่งจริงๆ
ขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งที่ออกมา
ด้วยการเลือกพรรคเพื่อไทย ด้วยการเลือกนางสาวยิ่งลักษณ์
ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นคนไทยยังต้องการเห็นความยุติธรรม ความเป็นธรรม
และต้องการเห็นระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขเดินหน้าต่อไปตามครรลอง
ไม่ต้องการเห็นการมุ่งทำลายล้างกันทางการเมือง
ไม่ต้องการเห็นการใส่ร้ายป้ายสีโจมตีกันด้วยสารพัดข้อกล่าวหา
แต่สังคมต้องการเห็นความปรองดองที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในอนาคต

บางกอก ทูเดย์ จึงตามตรงๆไปว่า
แต่ขณะนี้ขั้วตรงข้ามทางการเมืองยังมองว่าคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังในทุกเรื่อง
แม้แต่เรื่องการจัดตั้ง ครม. รวมทั้งเรื่องที่ว่าไม่ปล่อยให้น้องสาวเป็นตัวของตัวเอง
ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี

พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันหนักแน่นว่า
ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวในการจัดการอย่างที่โดนกล่าวหา
และไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหรือสั่งการน้องสาวแต่อย่างใด
แต่ถามว่าในความเป็นพี่ชาย ในความเป็นอดีตหัวหน้าพรรค
หรือในความที่มีประสบการณ์ในการเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อน้องสาวโทร.มา เมื่อคนที่เคยทำงานร่วมกันปรึกษามา
จะไม่ให้ข้อคิดเห็นเลยหรือ จะบอกปัดไม่ช่วยแนะนำอะไรเลยอย่างนั้นใช่มั้ย

ซึ่งหากบอกว่าผมให้แง่คิดให้มุมมองกับน้องสาว
ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของความเป้นคนในครอบครัวเดียวกัน แล้วมันผิดตรงไหน

ซึ่งในแง่ของหลักการบริหารจัดการ ในเรื่องของการทำงานแล้ว ไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย
เพราะพรรคก็มีคณะกรรมการบริหารพรรค รัฐบาลก็มีนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งตรงนี้จะไม่เข้าไปวุ่นวาย
ปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาล หน้าที่ของพรรคในการดำเนินการในการตัดสินใจ

พ.ต.ท.ทักษิณ บอกด้วยว่า สิ่งที่อยากทำหรืออยากช่วยรัฐบาลจริงๆ ก็คือ
ระหว่างนี้อยากช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศให้กับประเทศไทย
เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังการเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มุมมองของหลายๆประเทศที่มีต่อประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ
ดังนั้นหากวันนี้สามารถที่จะทำได้ ก็คือ
ในเมื่อโดยส่วนตัวก็รู้จักกับผู้นำหลายๆประเทศอยู่แล้ว
ก็อยากจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับประเทศไทย

ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช่จะเพิ่งมามีตอนที่นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นายกฯ
เพราะส่วนตัวมองว่าทำเพื่อประเทศ ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะช่วยทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะยอมให้ช่วยหรือไม่
หรือว่าจะพยายามไล่ล่าจนสร้างความงุนงงให้กับประเทศอื่นๆ ว่ามันอะไรกัน

เนื่องจากคดีความผิดที่ถูกตัดสินนั้น ในสายตาต่างประเทศแล้ว
มองว่าเป็นคดีมโนสาเร่ การที่ภริยาซื้อที่ดินแล้วสามีเซ็นยินยอม
กลับกลายเป็นความผิดถึงขั้นต้องติดคุกนั้น
ต่างประเทศจะไม่มีวันเข้าใจ แล้วก็ไปมองในประเด็นการเมือง
ทำให้ที่ผ่านมาหลายประเทศที่มองเป็นประเด็นการเมือง
จึงไม่มีการให้ความร่วมมือในเรื่องที่รัฐบาลที่ผ่านมาขอให้เป็นกรณีส่งตัวคนร้ายข้ามแดน

เพียงแต่เพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ก็จะวางตัวเป็นกลาง พยายามหลีกเลี่ยงในการให้เข้าประเทศเพื่อไม่ให้เกิดประเด็น
ซึ่งอนาคตหากการเมืองเปลี่ยนไม่มีการไล่ล่า
เพราะไม่ได้เคยมีหมายจับของตำรวจสากล ก็คงสามารถเดินทางไปประเทศต่างๆได้
และสามารถช่วยสร้งสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นมาได้บ้าง

อย่างตอนนี้กำลังคิดว่า ถ้าเป็นไปได้
ก็จะนำบรรดาผู้นำองค์กรการเมืองที่มีชื่อเสียงของประเทศต่างๆ
มาจัดสัมมนาที่เมืองไทยสักครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าทำได้ประเทศไทยก็จะมีแต่ได้กับได้

บางกอก ทูเดย์ จึงถามไปว่า แบบนี้แล้วเรื่องที่จะกลับประเทศไทย
ซึ่งหลายฝ่ายห่วงว่าจะถูกขั้วการเมืองตรงข้ามใช้เป็นประเด็นในการจุดให้เกิดความวุ่นวาย
หรือเกิดความแตกแยกขึ้นมาในสังคมไทยอีกหรือไม่

พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า เรื่องที่อยากกลับบ้านเป็นเรื่องของปุถุชนธรรมดา
คนเราทุกคนย่อมผูกพันกับบ้าน อยากเห็นหน้าลูก อยากกอดลูก
ให้มีเงินกี่ร้อยกี่พันล้านแต่ต้องอยู่ต่างประเทศ
ไม่ได้อยูกับครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความสุขที่แท้จริง
อย่างตอนนี้ลูกสาวมาหาก็จะได้อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วัน
ก็ต้องจากกันอีกแล้ว

ดังนั้นหากถามว่าอยากกลับบ้านหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าอยากกลับ

แต่หากว่ากลับมาแล้ว จะกลายเป็นประเด็น
จะเป็นโอกาสให้มีคนเอาไปใช้ทำให้สังคมไทยสับสนวุ่นวาย
ถ้ายังวุ่นๆกันก็คงยังไม่กลับ ไม่ได้อยากให้กระเพื่อมอะไรกันขึ้นมาอีก
แต่เมื่อคนไทยปรองดองกันล้ว ก็จะกลับบ้านแน่นอน

สุดท้ายถามว่าจะฝากแง่คิดอะไรกับการเมืองขั้วตรงข้ามหรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า อยากให้หลายๆฝ่ายย้อนกลับไปคิดเสียใหม่ว่า
การที่พรรคเพื่อไทยชนะไม่ใช่เพราะว่าพรรควิเศษ หรือว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ
แต่เป็นเพราะผู้คนเบื่อหน่ายกับการกล่าวหาต่างๆนาๆใช่หรือไม่ คือ
ทุกวันนี้แค่ตื่นขึ้นมาหายใจ หรือเดินไปไหนมาไหน
ก็โดนกล่าวหาว่าผิดแล้ว ทำให้คนที่รักความเป็นธรรมมองว่าไม่ใช่
ผลเลือกตั้งจึงออกมาอย่างที่เห็น
ดังนั้นตรงนี้ต้องคิดให้ดี ว่าจะปรองดองเพื่อประเทศชาติกันอย่างไร

ถ้าหันกลับมาคิดเพื่อประเทศชาติ
โดยไม่มี agenda แอบแฝง ประเทศชาติก็จะเดินหน้าได้แน่
คนๆหนึ่งที่ถูกตามไล่ล่าด้วยคดีมโนสาเร่
ถูกตามหมายทำลายล้างทางการเมือง
แต่ยังคิดคำนึงห่วงใยประเทศชาติ ก็ได้แต่ให้กำลังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้า
พ.ต.ท.ทักษิณ คงได้กลับบ้านอย่างที่ต้องการ

http://www.bangkok-today.com/node/10242

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน