สหายต๋าคำ
เช้าวันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ บางกอกทูเดย์ พร้อมกันที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินข้ามฟ้าไปประเทศบรูไน ตามคำเชิญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งแรกๆที่ได้รับคำเชิญให้ไปสัมภาษณ์พิเศษทำข่าว ก็ยังไม่แน่ใจว่า เป็น ดูไบ หรือ บรูไน กันแน่ แต่เมื่อได้รับคำยืนยันว่าเป็น บรูไน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญไปบรูไนในช่วงนั้นพอดี ทาง”บางกอกทูเดย์”จึงตัดสินใจไปตามคำเชิญ
การเดินทางไปในครั้งนี้ ในแง่ของมุมมองในฐานะสื่อ ที่ต้องการจะหาคำตอบมารายข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ว่า กับสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ประเทศไทยประสบอยู่ขณะนี้
จะได้รู้ว่า....พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี คิดเห็นหรือมีมุมมองอย่างไรบ้าง??
พร้อมกับมีคำถามแรกในใจ ที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังบินไปบรูไน ก็คือ
ในเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในยุคที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ เป็นที่รู้กันทั่ว ว่าได้มีการปิดล้อม พ.ต.ท.ทักษิณ ไปยังประเทศต่างๆมากมาย แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณจึงยังสามารถไปไหนมาไหนได้ รวมทั้งมาเยือนบรูไนได้?
คำตอบที่ได้รับในภายหลังที่พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วก็คือ ตั้งแต่ครั้งที่ไปเยือนรัสเซียแล้ว ตอนนั้นก็ได้มีหนังสือจากกระทรวงต่างประเทศระบุว่า ขอความร่วมมือในการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ด้วย เพราะเรื่องนี้มีอยู่ในหมายของตำรวจสากล หรือ Inter Pol. แล้ว???
ทางประเทศรัสเซีย ก็ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ กลับพบว่าทางตำรวจสากลบอกว่าไม่มีเรื่องหมายจับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาคนร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด!!
ดังนั้นไม่เพียงแค่รัสเซียเท่านั้น แต่หลายๆประเทศก็งงไปตามๆกันว่า กระทรวงต่างประเทศของไทยออกหนังสือในลักษณะดังกล่าวมาได้อย่างไร???
ที่บรูไน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญจากสายราชวงศ์บรูไน จึงได้รับการจัดที่พำนักให้เป็นอย่างดี ทำให้คณะของบางกอก ทูเดย์ ซึ่งเดินทางไปเพื่อสัมภาษณ์จึงถูกจัดให้เข้าไปพบและร่วมทานอาหารในเขตเดียว กัน เพื่อความสะดวกในการสัมภาษณ์
เมื่อไปถึงบรูไน ผู้เชี่ยวชาญในคณะยืนยันว่าสภาพของบ้านเมืองยังคงไม่ได้แตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาสักเท่าไหร่นัก บ้านเมืองสงบเรียบร้อย สะอาด มีต้นไม้ร่มรื่น ประชากรมีประมาณ 400,000 คน ผู้คนมีระเบียบวินัยดี มีฐานะร่ำรวยเพราะการค้าน้ำมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าประเทศไทยเองก็มีน้ำมันบนดิน คือการเกษตรกรรม หากรัฐบาลค้าขายเป็น พัฒนาประเทศเป็น คนไทยก็คงจะมีฐานะที่ดีกันได้เช่นกัน
และคงไม่ต้องสั่งซื้อน้ำมันปาล์มให้จ้าละหวั่น เพราะขาดแคลนกันแบบวินาศสันตะโร อย่างเช่นเมืองไทยในขณะนี้
ปัญหาก็คือประเทศไทยจะมีอนาคตที่ดี และพ้นจากปลักแห่งวังวนปัญหาการเมืองในขณะนี้ได้อย่างไร??
ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามแรกในการสนทนา ด้วยการถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีว่า รู้สึกอย่างไรที่เห็นบ้านเมืองยังยุ่งวุ่นวายไม่จบเสียทีอย่างเช่นทุกวันนี้ และคิดจะกลับบ้านไปเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบ้างหรือไม่
อดีตนายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นห่วงเป็นใยสภาพปัญหาของเมืองไทยในขณะนี้เป็น อย่างมาก และแน่นอนว่าต้องการที่จะกลับไปเมืองไทยเพื่อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่ก็ยอมรับความจริงว่ายังคงถูกกีดกันไม่ให้กลับไป ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้มาก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าจะไม่ให้เป็นห่วงบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะเวลานี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก่อหนี้เอาไว้สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาทแล้ว
(หนี้สาธารณะต้นปีงบประมาณ 2554 มีจำนวน 4.166 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.36% ของ GDP ที่สำคัญเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.904 ล้านล้านบาท)
ซึ่งสูงกว่าหนี้ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 25 คนของไทยเคยก่อหนี้เอาไว้!!
แถมงบประมาณปี 2554 ที่กำหนดวงเงินงบประมาณไว้ที่ 2.07 ล้านล้านบาท ก็เป็นงบประมาณขาดดุล ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น เพราะงบกับหนี้แทบจะเป็นตัวเลขเดียวกันแบบนี้ ลูกหลานไทยจะต้องใช้หนี้กันอีกกี่ปีกี่ชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า อยากกลับบ้านแน่นอน อยากจะมาทำอะไรให้กับประเทศไทย แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับหรือไม่หากการเมืองยังเป็นเช่นนี้ หากยังมีความคิดที่จะทำลายการกันทางการเมืองแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะ ยอมให้กลับไปหรือไม่
“ก็เรื่อยๆสบายๆ แต่ยืนยันว่าอยากกลับมาแน่นอน คือจริงๆแล้วก็เริ่มปรับตัวได้แล้วกับการที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ชีวิตจึงไม่ได้ลำบากอะไร เพราะยังไปไหนมาไหนได้ทั่ว แม้ว่าจะยังไม่สามารถกลับประเทศได้ก็ตาม
ผิดกับกลุ่มคนที่ต้องการทำลายล้างทางการเมือง ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ต้องอยู่ได้แค่ที่เดียว ในขณะที่ผมจะไปประเทศไหนๆก็ได้ คิดแล้วก็ขำดี”
สำหรับบรรยากาศในช่วงที่ไปพักอยู่ที่บรูไน พบว่ามีคนไทยที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ขาดสาย มีเป็นร้อยๆคน บ้างก็มาเป็นคณะ บางคนเป็นอดีตรัฐมนตรี บางคนเป็นนักการเมืองในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันบรรดาคนที่มาหามาเยี่ยมเยียนก็มีสารพัดกลุ่ม คือมีตั้งแต่นักคิด นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ คนทำธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้าน ต่างๆก็ซื้อตั๋วเดินทางกันมาเองเพื่อมาให้กำลังใจ
ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ หากเป็นผู้ชายก็อาจจะเก็บอาการได้ในการทักทายพูดคุย แต่หากเป็นสุภาพสตรีมักจะเก็บอาการไม่อยู่ จะมีการเข้าไปโอบกอดพร้อมกับน้ำตาซึม จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ จึงต้องตั้งเป็นประเด็นคำถามขึ้นมา
และคำตอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงทำให้หลายคนสะอึก??
“พวกเขาคงเห็นใจผมที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ และเพราะตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดความรู้สึก ว่าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ผมก็อยากกลับไปแน่ เพื่อจะได้ช่วยทำอะไรให้กับคนส่วนใหญ่”
สำหรับการเลือกตั้งที่ตามกติกาแล้วจะต้องเกิดขึ้นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หากไม่มีสิ่งแทรกซ้อนอื่นๆเข้ามา ก็ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะยังคงได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อยู่ แต่จะได้มากเพียงพอที่จะเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ ยังไม่มั่นใจนัก
เพราะที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการแล้ว กลุ่มอำนาจในปัจจุบันสามารถทีจะทำอะไรก็ได้ แทรกแซงอย่งไรก็ได้ โดยไม่แคร์เสียงสะท้อนหรือว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆเลย
อย่างเช่นมีความพยายามที่จะอ้างว่า คนอีสาน หรือคนเหนือสามารถซื้อเสียงได้ แต่อาจจะลืมคิดไปว่าที่ใช้การแทรกแซงเข้าไปซื้อได้อย่างที่บอกนั้น
ก็ซื้อได้เฉพาะแค่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของคนอีสานคนเหนือแล้ว เชื่อเถอะว่าไม่มีวันที่จะซื้อได้
ยิ่งเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้วทำให้มีลูกหลานคนอีสานคนเหนือทั้งเจ็บทั้ง ตายเป็นร้อยเป็นพันคนนั้น รู้หรือไม่ว่าบรรดาญาติพี่น้องของคนที่ตายคนที่บาดเจ็บนั้นมีความรู้สึกที่ ขยายวงแตกหน่อไปเท่าไรแล้ว ยังคิดว่าจะซื้อได้อีกหรือ??
และต่อให้มีเงินที่ได้มาจากการใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมือง สะสมเอาไว้ แต่ถามว่าจะสามารถซื้อได้สักกี่ครั้งกัน ในเมื่อไม่สามารถซื้อวิญญาณและสร้างการยอมรับที่แท้จริงได้
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่มั่นใจว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็คือ กลัวสิ่งแทรกซ้อนมากกว่า
ส่วนกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่าจะมี ส.ส.ย้ายพรรคออกไป จะมีการหว่านซื้อ ส.ส.ไปอยู่ที่พรรคอื่น จนถึงวันนี้หลายๆคนที่ตกเป็นข่าวว่าจะย้ายไปนั้น ก็ยังคงมีการติดต่อกันอยู่ตลอด มีการมาพบปะเป็นครั้งคราว
“อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อยากจะไปจริงๆ ก็คงจะไม่ไปขอร้องให้กลับมา เช่นเดียวกับคนที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็คงจะไม่มีการรับให้กลับมาใหม่แน่ เพราะบรรดาคนที่ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องคงไม่ยอมแน่”
ที่สำคัญตอนลำบากระหกระเหินนี่แหละ ที่ทำให้รู้ว่าใครเป้นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม
ในเรื่องของปัญหาสุขภาพที่มีการปล่อยข่าวโจมตีมาอย่างต่อเนื่องนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ้มก่อนที่จะบอกว่า เป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด เมื่อครั้งที่ไปรัสเซียก็ได้ทำการตรวจสุขภาพโดยละเอียด ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
“ผมยืนยันว่าผมยังแข็งแรงดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
ซึ่งเท่าที่สังเกตุ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้มีปัญหาซูบผอม หรือผมร่วงผมบางอย่างที่มีการปล่อยข่าว ยังคงดูแจ่มใสดี แถมดูแล้วน่าจะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำไป
และในฐานะสื่อ ที่ไม่อยากเห็นสภาพบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งสีกันอย่าง รุนแรงอีกต่อไป จึงได้มีการยิงคำถามกันตรงๆไปเลยว่า จะมีส่วนแก้ไขปัญหานี้อย่างไร จะมีการเจรจาประนีประนอมยอมถอยให้กันได้หรือไม่?
อดีตนายกรัฐมนตรีตอบว่า ยืนยันได้เลยว่าพร้อมที่จะคุย พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาโดยไม่มีวาระแอบแฝง แต่หากอีกฝ่ายยังคงมี Hidden Agenda อยู่ตลอดก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปหรือข้อยุติให้จบลงได้
“จริงๆแล้ววันนี้คงต้องถามว่า สถานะอย่างผมที่โดนกระทำขนาดนี้แล้ว ยังจะมีสิทธิต่อรองอะไรได้อีกหรือ เวลานี้ผมก็แค่ไม่ได้รับโอกาส ทั้งๆที่ผมเข้ามาโดยได้รับการเลือกตั้ง แต่กลับถูกทำปฎิวัติรัฐประหาร ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาคนที่รักความเป็นธรรมรักประชาธิปไตยที่แท้จริง ย่อมไม่เห็นด้วย
แล้วแบบนี้ผมผิดหรือที่ประชาชนยังสนับสนุน ยังศรัทธาและชื่นชมในนโยบายที่มุ่งทำให้กับคนระดับรากหญ้า มุ่งทำให้กับทุกๆคน??”
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีคนพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ทุจริต แต่วันนี้เป็นอย่างไร นอกจากจะเล่นงานเอาผิดไม่ได้.แต่ คนที่เคยกล่าวหา คนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแต่วันนี้ได้เปลี่ยนขั้วไป ก็ได้เอาแนวทางเอานโยบายของพรรคไทยรักไทยไปใช้อยู่ไม่ใช่หรือ แล้วแบบนี้แปลว่าอะไร สิ่งที่เคยกล่าวหาคนอื่นแต่วันนี้กลับทำหมดทุกอย่าง แปลว่าอะไร
“ประเทศไทยนั้นพระสยามเทวาธิราชมีจริง วันหนึ่งความจริงทุกอย่างจะต้องเปิดเผย หลักฐานต่างๆมีการเก็บเอาไหมด เก็บไว้ได้ 10 ปี 20 ปีก็ไม่สาย ใครทำดีทำชั่วอะไรไว้ ฟ้าดินย่อมรู้ดี ผมไม่ต้องทำอะไรหรอก ถึงเวลาทุกๆสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา”
อย่างเช่นในเรื่องที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กำลังพยายามที่จะใช้เวทีโลกในการพิสูจน์ความจริงในหลายๆเรื่อง ล่าสุดทางสหพันธ์เสรีนิยมระหว่างประเทศ หรือ ไอบียู ที่ถูกยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบเพื่อให้ถอดถอนพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากไอบี ยู เนื่องจากคดีการสังหารประชาชน
และล่าสุดทางไอบียู ก็ได้แจ้งให้รัฐบาลไทยทราบว่าจะสอบเพิ่มเติมจากคำร้องเรียนดังกล่าวแล้ว
สำหรับปัจจุบัน อดีตนายกฯทักษิณ บอกว่า นอกจากการทำธุรกิจเหมืองทองแล้ว เวลาที่เหลือก็คือการพบปะกับคนระดับสูง บรรดานักธุรกิจ และผู้บริหารในประเทศต่างๆ ซึ่งช่วยให้มีมุมมองที่กว้างไกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และเท่าที่เห็นและพูดคุยกัน คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณนั้น การได้เจอกับคนระดับชั้นนำของโลก ก็ย่อมสามารถที่จะคิดอะไรใหม่ๆได้สารพัด ในขณะที่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะคบหาพบปะกับคนที่เหมาะสม มีความคิด มีอนาคต ที่จะสามารถร่วมมือกันได้ด้วยเช่นกัน
พ.ต.ท. ทักษิณ จึงยืนยันว่าด้วยโครงสร้างและทรัพยากรของประเทศที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยควรจจะต้องพัฒนาให้เป็นประเทศเกษตรกรรม ให้ประเทศไทยสามารถเป็นครัวของโลก ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องการผลิตทางด้านการเกษตร
ซึ่งถือเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด ที่จะช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลปัจจุบันเดินหลงทางมาตลอดได้
ระยะเวลา 2 วันที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์และพูดคุย รวมทั้งสังเกตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ในฐานะสื่อ บางกอกทูเดย์คงต้องยกคำกล่าวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีกระแสข่าวออกมาว่า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เคยยอมรับกับคนหลายคนมาแล้วว่า
“น่าเสียดาย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ ที่สามารถทำอะไรให้กับประเทศได้มาก”
ปัญหาก็คือแล้วจะปล่อยให้ปัญหาของชาติคาราคาซัง โดยได้แต่บอกได้แค่ว่าน่าเสียดายเท่านั้นหรือ
วันนี้ “ทักษิณ อิน บรูไน”… อนาคตจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมี “ทักษิณ อิน ไทยแลนด์”อีกครั้ง??
* ข่าวยอดนิยม
http://www.bangkok-today.com/node/8413
นี่แหละตรงกับคำที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน เพราะบ้านเมืองเรามีแต่คนอิจฉา ทำไม่เป็น แต่ก็ไม่อยากให้ใครเก่งเกินหน้าเกินตา เอ็งเก่งกว่าข้าก็อย่าได้ผุดได้เกิด บ้านนี้เมืองนี้เป็นของข้า ข้าใหญ่แต่เพียงผู้เดียว อนิจจา
ตอบลบ