แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดร . ชาญวิทย์ส่งจดหมายรักถึงคุณหญิงและลูกศิษย์มธ.:Make Love not War with Asean Neighbors


โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
14 กุมภาพันธ์ 2554

A Letter to a Khunying from Nai Cherng Kaenkeo:จดหมายถึงคุณหญิง จากนายเชิง แก่นแก้ว
(14 February 2011)


ถึง คุณหญิง และกัลยาณมิตร

(1) Happy Valentine’s Day และ ขอส่งความปรารถนาดีเนื่องในวันแห่ง ความรักขอ สันติภาพจงบังเกิดต่อพี่น้องร่วมชาติของเราใน สยามประเทศไทยกับมนุษยชาติข้ามพรมแดนใน เขมรกัมพูชาในลาว ในอุษาคเนย์ และใน ประชาคมอาเซียน

(2) ต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดข้อเขียนของ อ. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อันเป็นที่รักเคารพของเรา จากครรภ์มารดา ถึงเชิงตะกอน” (From Womb to Tomb) ที่กล่าวไว้ว่า

เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ
คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น
ตายในสงครามกลางเมือง
ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์
ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ
หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ



(3) ผมเชื่อว่า การเมือง (ที่) เป็นพิษในการเมืองภายในของบ้านเมืองเรา ที่ลามปามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จาก สันติภาพ” (Peace) กำลังกลายเป็นสงคราม” (War) จาก สนามการค้า” (Market Place) กลับเปลี่ยนเป็น สนามรบ” (Battlefield) นั้น ด้านหนึ่ง มาจากกิเลศและตัณหา จาก โลภ-โกรธ-หลงและอีกด้านหนึ่งมาจาก อวิชชาจากอประวัติศาสตร์ขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่ บรรพชน-บรรพกษัตริย์ของเราได้ทำเอาไว้ และขาดการเคารพกติการะเบียบของสังคมโลกที่เป็น สากลและเป็น อารยะ

(4) ปัญหาที่มาจากกิเลศและตัณหา ว่าด้วย โลภ-โกรธ-หลงนั้น ก็คือ

โลภ เพราะอยากได้ ปราสาทกับ พื้นที่
โกรธ เพราะไม่ได้ ปราสาทกับ พื้นที่
หลง เพราะคิดว่าอาจจะได้ ปราสาทกับ พื้นที่



(5) ส่วนปัญหาที่เกิดจาก อวิชชาจาก อประวัติศาสตร์และจากการขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่ บรรพชน-บรรพกษัตริย์ของเราได้ทำไว้ ก็คือเรื่อง หนังสือสัญญาฉบับต่างๆ และแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น)ที่ สยาม” Siam ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับ เสนาบดีพระหัตถ์ซ้าย-ขวาของท่าน คือ คือ สมเด็จกรมเทววงศ์ (การต่างประเทศ) และสมเด็จกรมดำรงฯ (มหาดไทย) จำต้องทำและให้สัตยาบันไว้กับฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นฉบับ ค.ศ. 1893-1904-1907 (ตรงกับ ร.ศ. 112, 122, 125 และตรงกับ พ.ศ. 2436, 2447, 2450 ตามลำดับ)

(6) รวมทั้งแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น ที่มักจะรู้จักกันในนามของ 1: 200,000) ที่ขีดเส้นพรมแดนครอบคลุมดินแดนจากแม่น้ำโขงตอนบน (แม่กบ-เชียงล้อม)-น่าน-เทือกพนมดงรัก-ตลอดลงมาจนถึงเมืองตราด อันเป็นผลงานของ คณะกรรมการเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม” (Commission de Delimitation entre l’Indochine et Le Siam) และอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส (หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร) ที่ทรงรับมาเป็นจำนวน 50 ชุด และส่งกลับมากรุงเทพฯ ถวายให้กับเสนาบดีการต่างประเทศ คือ สมเด็จกรมฯ เทววงศ์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2451 (1908)

(7) การที่ต้องทำหนังสือสัญญาต่างๆข้างต้น การ ที่ต้องให้สัตยาบัน และการที่ต้อง รับแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น) นั้นมา ก็เป็นไปตามปรัชญาความเชื่อว่าด้วย ชาติของ ราชาชาตินิยมหรือ Royal Nationalism ที่จะต้องรักษา เอกราช-อธิปไตยของสยาม/Siam เอาไว้ ต้องยอมรับว่าสยามมีพื้นที่หรือดินแดน จำกัด” (limited land) เป็นเพียงรูปขวานทองและต้องยอมสละ ส่วนเกินหรือส่วนที่เป็นประเทศราช-เมืองขึ้นที่ไป ได้ดินแดน” (ของ คนอื่นของเขมร-ลาว-มลายู”) มา ไม่ว่าจะเป็นเสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-จำปาศักดิ์-หลวงพระบาง-เชียงตุง-เมืองพานตลอดจน เคดะห์-ปลิส-กลันตัน-ตรังกานู” (ที่ต้องยอมยกและแลกเปลี่ยนไปกับอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2452 หรือ ค.ศ. 1909 ปลายรัชสมัย เสด็จพ่อ ร. 5”)

(8) แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (1932) พวกผู้นำใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก เสนาอำมาตย์หรือ ปีกขวานักการเมืองสายทหารของ คณะราษฎรก็เปลี่ยนปรัชญาความเชื่อของตน เปลี่ยนและ สร้างชาติตามแนวลัทธิ อำมาตยาเสนาชาตินิยมหรือ Military-Bureaucratic Nationalism (แทน ราชาชาตินิยม” Royal Nationalsim)

ลัทธิ ใหม่นี้ เปลี่ยนนามประเทศจาก ราชอาณาจักรสยามจาก Siam เป็น ประเทศไทยเป็น Thailand พ.ศ. 2482 (1939) รวมทั้งเปลี่ยนเนื้อร้อง เพลงชาติ” (แต่ไม่ได้เปลี่ยนทำนอง) จากประโยคขึ้นต้นว่า อันสยาม นามประเทืองว่าเมืองทอง.....เป็น ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.....

แล้วก็ปลุกระดมความ รักชาติการ กู้ชาติดำเนินการขยายดินแดนด้วยการ เรียกร้องดินแดนเพื่อให้ประเทศไทยเป็น มหาอานาจักรไทย” (สะกดด้วย น. หนู ตามตัวสะกดที่ถูกรัฐบาลให้เปลี่ยนในสมัยนั้น) ดังนั้น ประเทศไทยหรือ Thailand ก็มีสภาพเป็น expanded land หาใช่ limited land อย่างของราชอาณาจักรสยามหรือ Siam ไม่

(9) ในปี พ.ศ. 2484-85 หลังการเปลี่ยนชื่อประเทศเพียง 2 ปี ก็เกิด สงครามอินโดจีน รัฐบาลของหลวงพิบูลสงคราม ก็ส่งกำลังของกองทัพบก-เรือ-อากาศ บุกเข้าไปยึดดินแดนต่างๆมาได้ อาทิ เมืองเสียมราฐ (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่าจังหวัดพิบูลสงคราม”)-ยึดพระตะบอง-ยึดศรีโสภณ-(และปราสาทพระวิหาร)-ยึดจำปา ศักดิ์ (และปราสาทวัดพู)-ยึดไซยะบุรี (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่าจังหวัดลานช้างสะกดโดยไม่มีไม้โท)

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ 2485 (1942) และด้วยความช่วยเหลือของ พันธมิตรญี่ปุ่น ก็ทำการยึดเมืองพาน-เมืองเชียงตุง (ในพม่า เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่าสหรัฐไทยเดิม”) แถมญี่ปุ่นยังมอบรัฐมลายู เช่นเคดะห์-ปะลิส-กลันตัน-ตรังกานูให้มาอีก รัฐบาลพิบูลสงครามเอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า สี่รัฐมาลัย

(10) นี่คือสภาพ อีรุงตุงนังและ มรดกทางประวัติศาสตร์ของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศชาติของเราเกือบถูกยึดเป็น เมืองขึ้นและผู้นำของอำมาตยาเสนาธิปไตยหลายคนเกือบกลายเป็น อาชญากรสงครามถูกจับประหารชีวิต เมื่อมหามิตรญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูแพ้สงครามไป

โชคดีที่มี ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ปีกซ้ายของ คณะราษฎรตั้งขบวนการเสรีไทยทำการใต้ดินขึ้นมา กู้ชาติไว้ได้ ทำการประกาศสันติภาพเมื่อ 16 สิงหาคม 2488 (1945) นี่คือผลงานของบรรพชน-มหาบุรุษแต่ท่านปรีดี ก็ถูกกำจัดออกไปด้วยการเมืองทราม-การเมืองเป็นพิษ” (ถูกกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีในกรณีสวรรคตอันมืดมนของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) มีการ รัฐประหาร พ.ศ. 2490” โดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ ที่นำ อำมาตยาเสนาธิปไตยของจอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมา และสืบทอดกันต่อๆมาโดยจอมพลสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ฯลฯ และยังทรงอิทธิพลอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้

(11) จะเห็นได้ว่า อำมาตยาเสนาชาตินิยมของสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ มีหลวงวิจิตรวาทการเป็น มันสมองมีทีมงานจากกรมศิลปากร (นายธนิต หรือ นายกี อยู่โพธิ์-นายมานิต วัลลิโภดม หรือทีมงานของกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์) อย่างนายมั่น-นายคง (นายสังข์ พัธโนทัย) ก็ส่งมรดกตกทอดกันมายัง สฤษดิ์-ถนอม-ประภาสตลอดจนทางสายของนักการเมืองพลเรือนอย่าง เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช-ควง อภัยวงศ์

เรื่อยมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 70 ปี จนถึงรุ่นของจำลอง-สนธิ-โพธิรักษ์-สมปอง-อดุล-ศรีศักร และรัฐบาลในปัจจุบัน

(12) นี่เป็น หลุมดำทางการเมือง” (Political Black Hole) หรือ หีบพยนต์-ผะอบนางโมรา” (Pandora’s Box) ที่หากตกลงไปก็ยากที่จะปีนป่ายขึ้นมาได้ หรือถ้าเปิดออกมา (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ก็อาจถึงตายได้ คำถามของเรา ณ บัดนี้ ก็คือเรา (หมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอก กทม.) จะรอดจาก บ่วงกรรมนี้ไปได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้ การเมืองเป็นพิษหรือ การเมืองทรามกลายเป็น การเมืองดีทำให้ประเทศชาติของเรารุ่งเรือง มีศักดิ์มีศรี มีเกียรติภูมิในวงการระหว่างประเทศ เคารพกติการะเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินการที่เป็น สากลและเป็นอารยะ

กัลยาณมิตร และเพื่อนๆของผมในกลุ่ม สันติประชาธรรมขอเสนอมายังคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง และขอให้ช่วยนำความไปเรียนต่อบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวคุณหญิง ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน หรือเป็นทหาร ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน หรืออยู่ที่บ้านก็ตาม

ขอให้เรามาช่วยกันปฏิบัติธรรมละเสียซึ่งโลภ-โกรธ-หลง ขจัด อวิชชาและ อประวัติศาสตร์ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง สงครามช่วยกันแสวงหา สันติภาพ ช่วยกันทำให้ สนามรบกลับเป็น สนามการค้าอีกครั้ง

ขอให้เรามา ช่วยกัน ทำดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของอุษาคเนย์-อาเซียน ที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์ ระบบนิเวศ ธรรมชาติและวัฒนธรรม จากดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถึงพนมดงรัก จากปราสาทพนมรุ้ง ถึงปราสาทพระวิหาร และปราสาทวัดพู จรดแม่น้ำโขงตอนกลาง ณ คอนพะเพ็ง-แก่งหลี่ผีกลายเป็นมรดกโลกข้ามเขตแดนเพื่อ ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสาของประชาคมอาเซียนที่ ไร้พรมแดนให้จงได้ (Asean Trans-Boundary World Heritage Sites from Dong Phyayen-Khaoyai to Phnom Dangrek-Prasat Phnom Rung/Preah Vihear/Vat Phou to Khone Papeng/Li Phi Falls and the Middle Mekong Basin)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อ ชาติ และราษฎรไทยของเรา เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน หลายพันหลายหมื่นชีวิต ที่อยู่ตามแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตร จากอุบลฯ ศรีสะเกษ จากสุรินทร์ บุรีรัมย์ จากสระแก้ว-จันทบุรี-ถึงตราด ผู้คนที่เป็นเพียงชาวบ้าน แค่ชาวชนบท ด้อยการศึกษา (ไม่มีแม้แต่ประกาศนียบัตรมัธยม โดยไม่ต้องพูดถึงระดับปริญญาตรี อย่างเราๆท่านๆ ในเมืองหลวง)

และก็ด้อยซึ่งโอกาส ที่ต้องเผชิญต่อสงครามและสภาพของบ้านแตกสาแหรกขาด สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ทำมาหากินไม่ได้ ที่อยู่ทางฝั่งตะเข็บชายแดนของ สยามประเทศไทยที่ร่วมชะตาและร่วมกรรมกับผู้คนที่ก็เหมือนๆกัน เป็นญาติพี่น้องกัน ร่วมสายเลือดเดียว ทั้งยังร่วมวัฒนธรรม ร่วมภาษากันในฝั่งตะเข็บชายแดนของเขมรกัมพูชาจากสตุงแตรง ถึงพระวิหาร จากอุดรมีชัย ถึงบันทายมีชัย โพธิสัตว์ และเกาะกง ดังข้อเสนอต่อไปนี้

1. ขอให้กองกำลังของทั้งสองประเทศใช้ขันติธรรม และความอดกลั้น ยุติการสู้รบโดยทันที ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและกองทัพตามชายแดนของ ทั้งสองฝ่าย

2. ขอให้ถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่พิพาทอย่างเร่งด่วน เพื่อลดการเผชิญหน้าทางทหารตามชายแดนระหว่างกัน

3. ขอให้ยุติเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปยังจุดพิพาทอื่นๆ ที่ยังคงเป็นปัญหากันอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะมิให้ขยายตัวออกไปยังจุดอื่นๆตามแนวชายแดน

4. ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาพิพาทเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคีซึ่งมีอยู่แล้ว อันได้แก่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมซึ่งได้จัดตั้งตามบันทึกความเข้าใจแห่งราช อาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543

5. ขอให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการแห่งอหิงสา ยุติการนำประเด็นความขัดแย้งเรื่องเขตแดนมาแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าการเมืองภายในประเทศ หรือการเมืองระหว่างประเทศ อันจะทำให้ปัญหาบานปลายกลายเป็นชนวนสงครามที่ยากจะหาทางยุติลงได้

ด้วยความระลึกถึง

เชิง แก่นแก้ว
สิงหะปุระ

PS:
Make Love not War
with ASEAN Neighbors,
especially Cambodia and Laos

*********

จดหมายถึงลูกศิษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เนื่องในโอกาสวัน Valentine
ขอส่งอีเมล์ที่ส่งถึงทีมงาน สยาม-ขะแมร์
ต่อให้ นศ Seas มธ. (รวมทั้งกัลยาณมิตร คนอื่นๆๆ
ที่ไม่หนุ่มไม่สาว ก็อ่านได้ ครับ)

(1) Feb 14 Valentine Day is coming.
Dont forget to Make Love not War with Asean Neighbors,
esp. in Cambodia and Laos

(2)
อีเมล์รับทราบ ขอบคุณ ครับ Gut-Nur และทีมงาน
การอภิปรายและบริภาษอย่างนี้ เป็น promotion ให้หนังสือ "สยาม ขะแมร็" ที่ดีมาก
ภาษาฝรั่ง เขาเรียกว่า right for a wrong reason ครับ

ผมเอาหนังสือ "สยาม-ขะแมร์"
ติดตัวมาแจกให้บรรดานักวิชาการที่ "Tumasik" หลายเล่ม ครับ
ผู้คนชอบกันใหญ่ ถามว่า นศ ทำจริงๆ หรือ หรือว่าเป็น "มืออาชีพ"

ครับ ผมภูมิใจใน นศ SeasTU ธรรมศาสตร์ของผม
พวกคุณอาจ "กู่้เกียรติธรรมศาสตร์
โดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์"
ลูกแม่โดมเลือดเหลืองแดงได้ กระมัง
หลังจากที่มหาวิทยาลับอันเป็นที่รัก และชาติบ้านเมืองของเรา
ถูกเอาไปทำปู้ยี่ ปู้ยำ
ถูก "อันธพาล" และ "อนาธิปไตย"
ซ้ำเติมจนบอบช้ำถึงปานนี้

อ.ปรีดี มักจะยกพุทธภาษิตมาบอกว่า
"อโถ สุจิณฺณสฺส ผลํ น นสฺสติ
(ผลของกรรมดีที่ก่อไว้นั้น ย่อมไม่สูญหาย)"

Walk on, walk on, through the wind ครับ

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ( อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ )

PS:
Dont forget to Make Love not War with Asean Neighbors, esp. Cambodia and Laos
and HAPPY VALENTINE DAY KRAB


Charnvit Kasetsiri, Ph.D.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน