อ่างขาง : 7ผู้ต้องหาในเขมร คือผลกรรมที่ก่อไว้// เข้าทางท่านฮุนซ็นและรัสเซีย

มีอยู่วันหนึ่งไม่มีอะไรทำ ผมเปิดเข้าไปดูทีวีผ่านดาวเทียมช่อง13 ใช้ชื่อว่า “สยามไทย”
ในวันนั้นมีผู้อยู่ในรายการเท่าที่จำได้
1.นายวีระ สมความคิด
2.นายการุณ ใสงาม
3.นายชัยวัฒน์ สิทธุวงศ์
4.มีผู้ร่วมรายการอีกสองท่านผมจำชื่อไม่ได้
ทั้งหมดในรายการ ได้โทรไปที่ สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว แบบสดๆโดยที่ในห้องส่งมีผู้ชมที่เข้าไปเชียร์ด้วยหลายคน
ผู้รับสายเป็นนายตำรวจท่านหนึ่งแนะนำตนเองว่ามียศพ.ต.ท.เป็นร้อยเวร กำลังรับสายอยู่ ผมจำได้ว่า กลุ่มคนพวกนี้ยะโสโอหังเหลือเกิน ได้กล่าวกับร้อยเวรท่านนั้นออกอากาศสดทั่วประเทศ

ในคำพูดบางตอนกล่าวไว้แบบนี้
“พวกคุณกำลังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำไม่ไม่มาจับกุมตัวพวกผม ในข้อหาผู้ก่อการร้าย ตามหมายเรียกที่พวกคุณเรียกผมมา ผมไม่มีทางไปมอบตัวเป็นอันขาด ถ้าพวกคุณแน่จริงก็ให้มาจับเดี๋ยวนี้เลย คุณแน่จริงหรือเปล่า ถ้าไม่จับแสดงว่าพวกคุณละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีพยานในห้องส่งและทางบ้านเป็นล้านๆคน เป็นพยานให้ผมพวกคุณละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”

เมื่อร้อยเวรไม่อยากมีเรื่อง หรือไม่อยากเรื่องมาก บอกปัดว่าจะไปรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พวกเวรเหล่านี้ก็ไม่ลดละที่จะเหน็บแนมเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปัญญาอ่อน อะไรแบบนั้​น
หลังจากวางสายโทรศัพท์กันไปแล้วทั้งห้องส่งก็อวดศักดากันใหญ่ ถึงความเก่งกล้าสามารถของแต่ละคน
ในนั้นคนที่เหยียดหยามเจ้าหน้าที่ตำรวจมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ “นายวีระ สมความคิด”คนนี้นี่เอง


ผมเองฟังรายการด้วยความสังเวชกับคนในประเทศนี้ มันคิดว่ามันเป็นใคร มันเป็นอะไรถึงกล้าทำได้ถึงเพียงนั้น

พวกเขาคงจะได้ใจ คงจะเคยตัว ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นในประเทศนี้ ไม่เคยผิด
ทั้งสถานีในรายการส่วนใหญ่ที่นำเสนอ มีเรื่องหลักเรื่องเดียว คือ ปั้นเรื่องปั้นราวเอาเรื่องเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นไม่มีเรื่องอื่นนำเสนอ เลย ส่วนเรื่องจิปาถะก็โจมตีรัฐมนตรีบางคนเพื่อ ตบทรัพย์
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากนโยบายของช่องนี้ ทำมาหากินกับสองเรื่อง
เรื่องแรก คือ เรียกเงินจากห้างร้านหน่วยงานของรัฐ ให้โฆษณาช่องตนเอง ถ้าหน่วยงานไหนไม่ลงโฆษณาให้ก็หาข้อมูลมาโจมตี แต่ถ้ากระทรวงไหนลงโฆษณาให้แม้บัดซบเพียงใดก็จะไม่กล่าวถึงเลย และ

เรื่องที่สอง เรียกศรัทธาจากแม่ยกเพื่อขอบริจาคเงิน สิ่งที่นำเอามาเป็นประเด็นก็คือ สร้างเหตุให้คนออกมาชุมนุมกันให้ได้ เมื่อมีการมาชุมนุมก็ต้องมีค่าใช้จ่าย คราวนี้แหละเงินก็หลั่งไหลกันเข้ามา กระทำกันเป็นล่ำเป็นสันกับรายการทีวีของช่องนี้
เมื่อครั้งที่ผ่านมา ก็เคยประสพกับตัวนายวีระมาเองแล้ว เมื่อนายวีระเดินทางไปต่างประเทศ แม่ยกให้เงินมา10ล้าน
นายวีระเห็นว่าได้มาง่ายๆทั้งที่ไม่มีเจ๊กลิ้มเดินทางไปด้วย วีระจึงอมเงินก่อนนั้นไว้ซะเองไม่มอบให้กับเจ๊กลิ้มและแยกสาขามาเปิดทีวีช่องใหม่กัน​เองตามลำพัง
กลับมาทำหาเงินแบบง่ายๆ ไม่ต้องเป็นลูกกะโล่ให้กับใครอีก เจ๊กลิ้มกับวีระจึงแตกคอกันนับจากนั้นมา ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างทำมาหารับประทาน

มาถึงเรื่อเขมรกันบ้าง คนพวกนี้ทำกับเขมรอย่างไร
ปากเก่งกันทุกตัว อวดศักดานักหนา อวดกันมานาน มองประเทศเขมรเหมือนประเทศล้าหลัง มองว่าตนเองเก่งกว่า มองว่ากองทัพไทยแน่กว่า พยามเหลือเกินที่จะให้ทหารไทยทำสงครามกับเขมรให้ได้
วิเคราะห์เจาะลึกถึงความสามารถ เครื่องไม้เครื่องมือ ปริมาณอาวุธ ปริมาณคน ปริมาณทหาร
แม้ว่า ถ้าตนเองเป็นผู้นำประเทศซะเอง ป่านฉะนี้เขมรย่อยยับไปกับมือแล้ว
ว่ากันเป็นเรื่องเป็นราว ด่าผู้นำของเขาทุกวัน ตั้งฉายาให้กันอย่างสนุกปาก ล้วนหยาบช้าสามานย์ทั้งนั้น ขอประทานโทษที่จะยกตัวอย่างเช่น” “ไอ้เฮงซวย”
ผมไม่รู้ว่าฝั่งเขมรจะมีใครได้ฟัง บุคคลกลุ่มนี้ออกข่าวกันบ้างหรือเปล่า

เรื่องของเขมร
การที่มี7คนไทยเข้าไปในพื้นที่ อันที่จริงมันไม่สำคัญอะไรมากนัก เพราะแท้จริงประชาชนทั้งสองฝั่งก็เดินเข้าออกกันเป็นประจำกันอยู่แล้ว
แต่..เหตุที่โดนจับกุมในครั้งนี้ นัยของเรื่องมันไม่ใช่แค่การลุกล้ำดินแดน แต่มันเป็นการเอาคืนหลายเรื่อง ของฝั่งเขมรเอง
ทั้งเรื่องการที่นายวิระ สมความคิด เหยียดหยามผู้นำเขมร และการพยายามสร้างเรื่องราวให้กองทัพเขมรกับกองทัพไทย ต้องเกิดสงครามสู้รบกัน โดยเอาเหตุของดินแดนเป็นตัวเชื่อมโยง

ในความคิดส่วนตัวผม ถ้า..ผมมีอำนาจในประเทศเขมรซะเอง
ผมก็คงต้องทำต้องจับตัวคนกลุ่มนี้ให้ได้เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าไม่ทำจะปกครองประเทศตนเองได้อย่างไร ในเมื่อมีศัตรูเข้ามาหยามถึงถิ่น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดว่ากันที่หลัง

และไม่พอแค่นั้น ผมอาจจะเลียนแบบประเทศไทยในการดำเนินการเอาผิดกับบุคคลกลุ่มนี้เพิ่มเติมอีกด้วย
เรื่องที่1. ผมจะไม่แค่จับเท่านั้น ผมจะเขียนกฎหมายย้อนหลังขึ้นมาอีกด้วย
ตั้งมาตราใหม่ขึ้นมาเลย
มาตราที่1.ว่าด้วยหมวดของความมั่นคง
ให้มีเนื้อหาแบบนี้ ใครผู้ใดดูหมิ่นอาฆาตมาตรร้าย ฐานันดรเชื้อพระวงศ์ ที่มีศักดิ์และสิทธิ์อาจเป็น พระมหากษัตริย์ได้ในชั้น “สมเด็จ” มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต
แล้วก็เอา 7ผู้ต้องหานั้นแจ้งความดำเนินคดีอีกหนึ่งข้อหาไปด้วย

เรื่องที่2. ผมจะถ่วงเวลาให้เรื่องเข้าถึงศาลช้าที่สุดให้อยู่แค่กระบวนการเริ่มต้น และไม่ให้ประกันตัวเฉกเช่นคดีของคนเสื้อแดง

เรื่องที่3.ผมจะโต้กลับประเทศไทยด้วยคำตอบแบบนี้ ประเทศ กัมพูชา ฝ่ายบริหารไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมได้ ดังนั้น ผู้นำประเทศไทยจงอย่ากล่าวร้ายสร้างวาทกรรมบิดเบือนคำพูด เพื่อทำลายสถาบันตุลาการของกัมพูชาเป็นอันขาด เพราะสถาบันตุลาการของประเทศกัมพูชา เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก

ทั้งสามเรื่องที่ผมตั้งขึ้นมานี้มีจุดประสงค์เดียวคือ
เอาตัวนายวีระ และพวกจับแขวนคอทั้งหมดให้ได้ ให้เหมือนกับที่มนุษย์สวะพวกนี้พยายามเหลือเกิน ที่จะยุยงทหารให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง เหมือนคนเสื้อแดงไม่ใช่คน ไม่ใช่คนไทย แล้วก็เป็นจริงตามนั้นเมื่อทหารบ้าจี้ทำตามที่พวกนี้ยุยง เกือบหนึ่งร้อยศพที่ตายไป ส่วนหนึ่งมาจากฝีปากพวกนี้มีส่วนร่วมด้วยทั้งนั้น
ดังนั้น กะอีแค่7ศพที่จะมาเส้นสังเวยดวงวิญญาณของพี่น้องของเรา ผมว่ามันยังน้อยเกินไปและเทียบกันไม่ติด
มันควรโดนลงโทษซะบ้าง จะได้รู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร เมื่อกระทำกับคนอื่นเขาได้ ตนเองโดนซะมั่งจะได้รู้สึก ซะที

แต่..ในความเป็นจริงเรื่องทั้งหมดจะเป็นเช่นไรยังมิอาจรู้ได้

ผมข้อตั้งข้อสังเกตไว้แบบนี้ครับ
นายอภิสิทธิ์ ตำแหน่งหัวโขนนายกฯไทย ครั้งแรกออกมาให้ข่าวในวาทะนี้
“อย่าเพิ่งให้เรื่อง7คนนี้เข้าสู่ศาล ให้เจราจานำตัวคนไทยทั้ง7กลับมาให้ได้ก่อน” และยังโทรศัพท์ไปหาผู้นำของเขมรขอร้องด้วยตัวเองอีกด้วย สุดท้ายก็ถูกตอบกลับมาหน้าหงาย
คำถาม..ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงพูดออกมาแบบนั้น
คำตอบ..ใครจำเรื่องนี้ได้บ้าง นายอภิสิทธิ์ตอบกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย...ว่าอย่างไร กรณีที่สถานทูตรัสเซียมีหนังสือแจ้งมาว่าขอให้ประเทศไทยส่งตัวนาย “วิกเตอร์ บูธ” ให้กับรัสเซียเพราะเป็นคนของรัสเซีย

นายอภิสิทธิ์ตอบด้วยโวหารที่ว่า “ผม เองไม่สามารถก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมได้ เพราะกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เป็นสภาบันฯที่มีเกียรติเป็นที่เชื่อถือของนานาอารยะประเทศ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของศาลไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่ผมจะเป็นผู้กำหนดอะไรได้”

ทั้งหมดที่นายอภิสิทธิ์ทำลงไป กล่าวไปนั้น มันย้อนศรกลับมาแล้ว
ก็เพราะ ตัวของตัวเองที่เล่นลิ้นเอาไว้ มันจะถูกสวนกลับจากผู้นำของเขมรเองด้วยคำพูดของนายอภิสิทธิ์เอง ถ้าต้องขึ้นสู่ศาล
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น เรื่องทั้งหมดก็ขึ้นสู้ศาลจนได้ เหมือน “วิกเตอร์ บูธ”เปี้ยบเลย เมื่อผู้นำเขมร เอาตัว7คนขึ้นสู่ศาลไปแล้ว

ทั้งหมด มันเข้าทางตีนทั้งท่านฮุนเซ็นและประเทศรัสเซียทั้งหมด ที่จะเอาคืน กับการกระทำของนายอภิสิทธิ์
แล้วอย่านึกนะว่า เขมรไม่กล้ารบกับไทย อย่านึกนะว่าเขมรมีอาวุธด้อยกว่าไทย ถึงแม้เขมรจะไม่มีเรือเหาะที่เหาะไม่ได้ ถึงแม้เขมรจะไม่มีจีที200 แต่เขมรเขาก็มีคนช่วยอยู่เบื้องหลังการให้อาวุธ สู้ กับประเทศไทย ได้แน่แน่

ถ้าแม้นว่ารัฐบาลตีขลุมว่า “วิกเตอร์ บูธ” คือเคจีบี เป็นนักค้าอาวุธสงคราม แล้วเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
คำเดียวที่จะถาม..อาวุธที่จะส่งให้เขมร ใครส่งให้ ? เพื่อมาสู้กับไทย
และอีกคำถามเดียวขีปนาวุธที่เคยยึดได้มีอานุภาพขนาดไหน แบบนั้น ถ้าสู้กันจริงๆ เขมรมีแค่ 20ลูก กรุงเทพฯ มันจะเหลืออะไร
เมื่อกรุงเทพฯไม่เหลือ แล้วอะไรจะเหลือ
ทุกศูนย์กลางของประเทศไทยมันคือ กรุงเทพฯ ทั้งนั้น

ส่วนพวก7คนที่โดนจับไปนั้น
มันเป็นเวรกรรที่ตนเองทำกับประเทศไทยไว้เอง ผลกรรมนั้นตามมาตอบสนองแล้ว วันนั้นนายวีระโทรไปท้าให้เจ้าหน้าที่ ตร.จับตนเอง แต่เขาไม่จับ ไปเยาะเย้ยถากถางเขาเอาไว้
วันนี้เลยโดนเขมรจับไปเอง แล้วเป็นไง มาโอดครวญทำไมวีระ ในเมื่อไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว “คุกไทยกับคุกเขมรมันก็คือคุกเหมือนกัน” ไม่ใช่หรือ?