โดย อาจารย์ วันชัย พรหมภา
การเมืองบ้านเราในสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนมีการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยกันอย่างกว้างขวางใหญ่โต และเรียกร้องกันอย่างยืดเยื้อยาวนาน ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย กระแสความต้องการประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชนเหล่านี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีการปกครองแบบเผด็จการ ที่ไม่อาจจะปิดบังอำพรางกันได้อีกต่อไปแล้ว กระแสแห่งการเรียกร้องและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กระหึ่มร้อนแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และพร้อมที่จะพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคขวางหน้า
กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มผลักดันหลายกลุ่ม ได้มีการนำมวลชนเรียกร้องประชาธิปไตยตามทรรศนะของตน โดยไม่เอื้อเฟื้อต่อหลักการและหลักวิชา จึงทำให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งขณะนี้นอกจากจะทำให้บ้านเมืองไม่มีทางออกแล้ว ยังกลับส่งผลร้ายให้ความขัดแย้งของคนในชาติทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ในท่ามกลางบรรยากาศแห่งความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนเช่นนี้ ได้สร้างความสับสนให้แก่พี่น้องประชาชนไม่น้อยเลยว่า ทรรศนะประชาธิปไตยแบบไหนคือความถูกต้อง ทรรศนะแบบไหนคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ และจะนำไปสู่การแก้ปัญหาของชาติได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ ประชาชนต้องการทราบว่า การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องทำอย่างไร หรือต้องเข้าใจอะไรบ้าง
ปัญหาประชาธิปไตยนั้น เกี่ยวเนื่องด้วยหลักวิชาโดยสังกัดอยู่ใน วิชาการเมือง หรือ รัฐศาสตร์ (POLITICAL SCIENCE) ซึ่งมี หลักการ และกฎเกณฑ์ที่จะต้องเข้าใจ และยึดถือ อย่างเคร่งครัด มากมาย จะคิด จะพูด จะทำ เอาตามชอบใจมิได้เลย
การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเข้าใจใน ลัทธิประชาธิปไตย (DEMOCRACY) เป็นพื้นฐานแล้ว ยังจะต้องประกอบด้วยความเข้าใจปัญหาและ อุปสรรคต่างๆ ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญหลายประการ อาทิเช่น
1. เราต้องเข้าใจว่า ปัญหาพื้นฐานของชาติคือ ระบอบเผด็จการ (DICTATORIAL REGIME) กล่าวคือภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี 2475 แล้ว ประเทศของเราก็ยังคงมีการปกครองแบบเผด็จการตลอดมา เป็นเวลา 77 ปี ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ประชาชนธรรมดารู้และรู้สึกได้เป็นอย่างดี แต่นักวิชาการและนักการเมืองกลับไม่รู้ และยังหลอกให้ประชาชนรู้ผิดๆอีกด้วย
2. การสร้างประชาธิปไตย หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้น ประชาชนต้องทำเองด้วยการทำให้ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (SOVEREIGNTY OF THE PEOPLE หรือ POPULAR SOVEREIGNTY) มิใช่การเรียกร้องให้เอารัฐธรรมนูญปี 2550 คืนไป และเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมา และก็มิใช่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย หรือ ก็มิใช่การโค่น อำมาตยาธิปไตย หรือยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แต่อยู่ที่ต้องโค่นระบอบเผด็จการ
3. เสนอเรื่อง การปฏิวัติ ใน สถานการณ์ปฏิวัติ ปัจจุบันเป็นสถานการณ์ปฏิวัติ เป็นสถานการที่ต้องเปลี่ยน ระบอบเผด็จการ ให้เป็น ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น เป็นสถานการณ์ที่ยังไม่เหมาะสมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป เพราะเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนปฏิเสธการปกครองที่ไม่ใช่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน ดังนั้นการเลือกตั้งทั่วไป จึงไม่ใช่ทางออกของชาติในสถานการณ์เช่นนี้
4. แยก การปฏิวัติ (REVOLUTION) ออกจากรัฐประหาร COUP D’ETAT อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติหมายถึงทำสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น เป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ ในทางการเมืองหมายถึง การเปลี่ยนระบอบเผด็จการ เป็นระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐประหารหมายถึง การใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจรัฐโดยผิดกฎหมาย จึงไม่ควรเอา 2 คำนี้มาปะปนกัน เพราะการเห็นรัฐประหารเป็นการปฏิวัตินั้น เป็นอุปสรรคที่สำคัญของการสร้างประชาธิปไตย กลายเป็น อาชญากรรมทางวุฒิปัญญา
5. การเรียกร้อง ลัทธิรัฐธรรมนูญ (CONSTITUTIONALISM) หรือ การเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยของนักวิชาการ โดยไม่เรียกร้อง ลัทธิประชาธิปไตย (DEMOCRACY) นั้น เป็นการพ่นพิษใส่ประชาชน ทั้งนี้เพราะเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างที่สุด ของการสร้างประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทย ในทางวิชาการเรียกขบวนการทางการเมืองเช่นนี้ว่า พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ (COUNTER REVOLUTIONALY) หรือ พวกปฏิวัติซ้อน หมายถึง พวกปฏิวัติเพื่อทำลายการปฏิวัติ
6. ใน ระบบทุนนิยม (CAPITALISM SYSTEM) ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ถ้าตราบใดที่ชนชั้นกรรมกรซึ่งเป็น ชนชั้นล่าง ยังไม่มีการผลักดัน (PRESSURE GROUP) การสร้างประชาธิปไตย ตราบนั้นก็เป็นอันเชื่อได้ว่า จะยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ระบบทุนนิยม และระบอบประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้ ก็แต่โดยความร่วมมือระหว่าง กรรมกร กับ นายทุน เท่านั้น ขาดข้างใดข้างหนึ่งก็จะไม่มีระบบทุนนิยม และถ้ากรรมกรไม่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็จะไม่มีระบอบประชาธิปไตย
7. การสร้างประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีห้วงเวลาในการเปลี่ยนแปลงในทางวิชาการเรียกว่า ระยะเปลี่ยนผ่าน (TRANSITION PERIOD) หรือ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ความล้มเหลวหรือความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยก็จะอยู่ที่ตรงจุดนี้ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญของ รัฐบาลเฉพาะกาล (PROVISIONAL GOVERNMENT) หรือรัฐบาลชั่วคราว (INTERIM GOVERNMENT) ไม่ใช่เป็นภารกิจของรัฐบาลรักษาการณ์ (CARETAKER GOVERNMENT) ซึ่งไม่มีอำนาจหรือรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมือง ดังเช่น ในกรณีพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็น พรรคปฏิกิริยา (REACTIONARY) เป็นขบวนการเมืองที่ล้าหลัง (BACKWARD) ไม่ใช่ขบวนการปฏิวัติ (REVOLUTIONARY) หรือขบวนการก้าวหน้า (DROGRESIVE) จึงเป็นที่สำคุญที่สุดของการสร้างประชาธิปไตย
8. เสนอการ ปฏิวัติสันติ (PEACEFUL LINE) ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทยนั้น มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนคือ จะสำเร็จได้ก็แต่ การปฏิวัติสันติ เท่านั้น มิอาจสำเร็จได้ด้วยการปฏิวัติแนวทางรุนแรง (VIOLENT LINE) และการเคลื่อนไหวมวลชน เช่นที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะว่าการเคลื่อนไหวปฏิวัตินั้น สำหรับประเทศไทยนอกจากต้องใช้แนวทางสันติแล้ว การเคลื่อนไหวปฏิวัติยังจะต้องประกอบด้วย
1) การเคลื่อนไหวทางความคิด 2) การเคลื่อนไหวทางหลักการ
3) การเคลื่อนไหวทางการจัดตั้ง
9. การสร้างประชาธิปไตย หัวใจที่สำคัญอยู่ที่ “ แนวทาง ” หรือ “ มรรควิธี ” (METHOD) มิใช่อยู่ที่ “ เจตนาดี” หรือคำพังเพยของฝรั่งที่ว่า (GOOD INTENTION PAVES THE WAY TO HELL) และสาระสำคัญของแนวทางก็คือ อธิปไตยของปวงชน และ เสรีภาพของบุคคล เช่นเดียวกับสาระสำคัญของนโยบาย 66/23 ที่มีประสิทธิภาพในการยุติสงครามกลางเมืองลงได้ ก็คือ “ การขยายเสรีภาพของบุคคล ” และ “ ขยายอธิปไตยของปวงชน ” ให้ปรากฏเป็นจริง...”แต่ในปัจจุบันอยู่ที่ต้องทำให้ เสรีภาพของบุคคล และ อธิปไตยของปวงชน ให้เป็นจริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิใช่อยู่ที่การขยายให้เป็นจริง ซึ่งก็จะแก้ปัญหาของชาติทั้งปวงได้เช่นเดียวกับนโยบาย 66/23
10. การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้นั้น เราจะต้องมีความเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไป และ ลักษณะประยุกต์ ลักษณะทั่วไปคือปัญหาหลักการและหลักวิชาของลัทธิประชาธิปไตย แต่ความรู้ความเข้าใจแค่นี้ยังไม่พอ เรายังต้องมีความเข้าใจประชาธิปไตยในลักษณะประยุกต์อีกด้วย กล่าวคือเราต้องสามารถประยุกต์หลักการและหลักวิชาอันเป็นหลักสากล ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของสังคมไทยให้ได้อีกด้วย ถ้าเรายังแก้ปัญหานี้ไม่ตก เราก็จะสร้างประชาธิปไตยให้เป็นจริงไม่ได้
11. เราต้องเข้าใจประชาธิปไตยนั้น มีหลายแบบคือ ประชาธิปไตยแบบตะวันตกซึ่งเป็นประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นร้อยๆปี กับประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่กำลังพัฒนา เราไม่อาจจะเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตก มาใช้กับประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือประเทศที่กำลังพัฒนาได้เลย เพราะมันเข้ากันมิได้ เราจึงต้องคิดสร้างประชาธิปไตยให้เป็นแบบของเรา ที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยแบบไทย เหตุที่การสร้างประชาธิปไตยในบ้านเราล้มเหลวมายาวนาน ก็เพราะว่าคณะราษฎรเอาประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งดุ้นมาครอบประเทศไทยเอาไว้ และนักร่างรัฐธรรมนูญคณะต่อๆมา ก็ถนัดแต่จะลอกแบบของประเทศอื่นๆมาใช้ทั้งสิ้น โดยไม่เคยคิดสร้างแบบของเราขึ้นมาใช้เองเลย
12. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนั้นมีทั้ง ด้านเนื้อแท้ และ ด้านรูปแบบภายนอก ด้านเนื้อแท้คือหลักการ คือคำจำกัดความที่ท่าน อับราฮัม ลินคอร์น ได้ประกาศไว้คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นด้านสำคัญที่สุด ด้านรูปแบบภายนอกคือการมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง และมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ตามแบบประชาธิปไตย เราต้องเข้าใจว่าด้านรูปแบบภายนอกจะมีความหมายต่อ ความเป็นประชาธิปไตย ได้ ก็ต่อเมื่อหลักการซึ่งเป็นด้านเนื้อแท้นั้น ปรากฏเป็นจริงแล้วเท่านั้น
13. เราต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้ง เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะบรรลุผลให้มี การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อ ประชาชน ปรากฏเป็นจริง แต่ในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง การเลือกตั้งกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจึงจำเป็นระงับการเลือกตั้งไว้ก่อน และเราจะต้องเข้าใจว่า การไม่มีผู้แทนที่ราษฎรเลือกตั้งมานั้น ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าหากฝ่ายปกครองมีวิธีการต่างๆ ที่จะรวบรวมเอาความคิดเห็นของประชาชนมาทำการปกครองได้มากเพียงใด ทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง การปกครองนั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยมากเพียงนั้น ผู้แทนราษฎรซึ่งราษฎรเลือกตั้งมาโดยตรง แต่กลับไม่ทำหน้าที่ผู้แทนต่างหากเล่า ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
14. การที่เราจะสร้างประชาธิปไตยได้ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความหมายของคำว่า เผด็จการ และคำว่า อนาธิปไตย ด้วย การเมืองในบ้านเราดูภายนอกจะเห็นว่า การที่มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าดูเนื้อในก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว เป็นอนาธิปไตย หรือไม่ก็ เป็นเผด็จการ ทั้งอนาธิปไตยและเผด็จการ ก็ล้วนเป็นภัยต่อประชาชนทั้ง 2 อย่าง ทหารเป็นเผด็จการเรามีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่พรรคการเมืองนำมาซึ่ง อนาธิปไตย ทุกครั้งที่เข้ามามีอำนาจเรากลับไม่เข้าใจกัน และยังกลับเห็นว่า อนาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยเสียอีกด้วย
15. เราต้องเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยโดยมี 2 นัย คือ โดยนัยอันแคบ และ โดยนัยอันกว้าง โดยนัยอันแคบคือ ความหมายประชาธิปไตยใน ทางการเมือง โดยนัยอันกว้างหมายถึง ระบบประชาธิปไตย (DEMOCRATIC SYSTEM) คือ หมายถึง ระบบสังคมทั้งระบบ ซึ่งประกอบด้วย การเมือง เศรษฐกิจ – สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ไม่ใช่มองกันที่ต้องมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งเท่านั้น การทำให้เกิดประชาธิปไตยโดยนัยอันกว้างเท่านั้น ที่จะเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริง
16. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยของไทยนั้น ต้องมี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพราะองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใน ฐานะ “ อเนกชนนิกรสโมสรสมมุติ ” โดยเฉพาะประเทศไทยมีการปกครองในแบบ รัฐเดียว (UNITARY STATE) ซึ่งต้องใช้การปกครองด้วยวิธี “ รวบอำนาจการปกครอง ” (CENTRALIZATION OF ADMINISTRATIVE POWER) จะใช้ การกระจายอำนาจการปกครองมิได้ และจะกำหนดให้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งมิได้ เพราะผิดหลักวิชารัฐศาสตร์อย่างร้ายแรง และการจะสร้างประชาธิปไตยให้สันติได้ก็แต่ พระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
17. เราต้องเข้าใจว่า การสร้างประชาธิปไตยของคณะราษฎรล้มเหลวนั้นก็ด้วยเหตุสำคัญ 2 ประการ ทั้งในการเมืองและทางเศรษฐกิจ ในการวางแผนเศรษฐกิจนั้น เหตุที่ต้อง ล้มเหลว เพราะเอียงไปทางซ้ายสุดไม่ใช่ ระบบเสรีนิยม เมื่อผิดพลาดแล้ว ก็ไม่ได้กำหนดแผนใหม่ขึ้นมาแทน กลับปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ในทางการเมืองล้มเหลวเพราะ นอกจากหลัก 6 ประการของคณะราษฎรขาดหลัก อธิปไตยของปวงชน แล้ว ยังไปนำเอารัฐธรรมนูญจากตะวันตกซึ่งเป็นคนละกรอบมาครอบประเทศไทยไว้อีกด้วย ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้กับ สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย จึงทำให้โน้มเอียงถ้าไม่เป็นเผด็จการก็เป็นอนาธิปไตย
18. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยกับเสถียรภาพทางการเมือง เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันมิได้ ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้ ต้องทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและการจะทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองได้นั้น ต้องขจัดความเป็นเผด็จการและอนาธิปไตย และหลักการที่จะทำให้เผด็จการกับอนาธิปไตยหมดไป ก็คือการทำให้หลัก อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน กับ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ มีความสมดุลกัน
19. การที่นักวิชาการและนักการเมืองตั้งสูตรว่า ทหารเป็นเผด็จการ และ พลเรือนเป็นประชาธิปไตย นั้น ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและหลักวิชา เพราะโดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว ยอดนักเผด็จการของโลกล้วนแต่เป็นพลเรือนทั้งสิ้น ไม่ว่า ฮิตเลอร์ มุสโสสินี หรือ โงดินห์เดียม ฯลฯ และตามหลักวิชาการแล้ว คำว่าระบอบอะไรหมายถึงอำนาจเป็นของใคร เช่นระบอบประชาธิปไตย หมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และระบอบเผด็จการหมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย ซึ่งชนส่วนน้อยนั้นอาจจะเป็น พรรคทหาร หรือเป็น พรรคของพลเรือนก็ได้ทั้งสิ้น
20. เราต้องเข้าใจว่า การสร้างประชาธิปไตยเป็นคนละเรื่องกับการสร้างรัฐธรรมนูญ และ ก็ไม่เคยมีที่ไหนในโลกที่เอารัฐธรรมนูญมา สร้าง ประชาธิปไตยสำเร็จได้เลย มีแต่ต้องสร้างประชาธิปไตยก่อนแล้ว จึง สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมารักษาความเป็นประชาธิปไตย แต่บ้านเรากลับดันทุลังจะสร้างรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ แสดงให้เห็นถึงความวิปริตพุทธ์
21. ในกรณีที่เริ่มต้นสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า การสร้างประชาธิปไตยนั้น เป็น การปฏิวัติ หรือ การเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้กำลังไม่ว่ารูปแบบไหน ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยหลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ว่าเป็นความถูกต้องชอบธรรม
22. ในสถานการณ์ปฏิวัติ เราจะต้องทำความรู้จักกับ ขบวนการเมือง (POLITICAL MOVEMENT) ที่สำคัญในประเทศไทยด้วย คือ
1. ขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย (PROGRESSIVE MOVEMENT )
2. ขบวนเผด็จการ (BACKWARD MOVEMENT )
3. ขบวานการปฏิวัติสังคม (PROGRESSIVE MOVEMENT )
4. ขบวนการรัฐธรรมนูญ (REACTIONARY MOVEMENT)
ขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย มีความมุ่งหมายเพื่อสร้างประชาธิปไตย มีนายทุนที่ก้าวหน้า ร่วมมือ กับขบวนการกรรมกร เป็นกำลังพื้นฐาน
ขบวน การเผด็จการ มีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการ มีพรรคการเมืองเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อย ซึ่งเป็นพรรคของชนชั้นสูง และ พรรคของชนชั้นกลาง โดยปฏิเสธการร่วมมือกับชนชั้นล่าง
ขบวน การปฏิวัติสังคมนิยม เป็นขบวนปฏิวัติที่แข่งกับขบวนการประชาธิปไตย โดยมีความมุ่งหมายไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ มีชนชั้นล่างเป็นกำลัง เพื่อทำลายชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง
ขบวน การรัฐธรรมนูญ มีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการโดยไม่รู้ตัว เป็นขบวนของนักวิชาการ และเป็นขบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยอย่างที่สุดเป็น ปฏิปักษ์ต่อกระบวนการประชาธิปไตย ร้ายแรงยิ่งกว่าขบวนการเผด็จการ ถ้าขบวนการนี้หยุดการเคลื่อนไหวรัฐธรรมนูญเมื่อใด ประเทศไทยก็จะเป็นประชาธิปไตยเมื่อนั้น
23. ในสถานการณ์ขณะนี้ เป็นสถานการณ์ปฏิวัติ คือ ประชาชนขัดแย้งกับระบอบเผด็จการ จึงเกิดการเคลื่อนไหวของปะชาชน กดดันระบอบเผด็จการอย่างรุนแรง แต่บรรดานักการเมืองต่าง ๆ ซึ่งเป็นฝ่ายเผด็จการ ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง อำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชน จึงแบ่งขบวนเผด็จการออกเป็น 2 ขั้ว แล้วระดม สรรพกำลังเข้าสู้กันเอง เพื่อต้องการเบี่ยงเบนกระแส ปฏิวัติของประชาชน หมายความว่าการเคลื่อนไหวมวลชนไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรก็ตาม จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นปฏิวัติ (REVOLUTION)เสมอ แต่มีการนำเป็น ปฏิกิริยา ( REACTION) ดังนั้น ถ้ากระแสปฏิวัติของประชาชนมีความรุนแรงมากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลให้ฝ่ายเผด็จการต่อสู้กันเองอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะก็จะหลอกพาประชาชนไปสร้างรับธรรมนูญใหม่ โดยไม่สร้างประชาธิปไตย ประชาชนจะต้องผ่านบทเรียนเหล่านี้ก่อนทั้งสิ้น ไม่ว่าในประเทศไหน ก่อนที่จะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
24. เราต้องเข้าใจว่า “ไม่ว่าในสิ่งหรือปรากฎการณ์ใดๆ “เนื้อหา”( CONTENT) กับ “รูปแบบ”( FORM) ย่อมเป็นเอกภาพกัน แยกออกจากกันมิได้ ถ้าเนื้อหา กับ รูปแบบ แยกออกจากกัน ก็จะไม่มีสิ่งนั้นหรือปรากฏการณ์นั้นๆ
เช่นเดียวกันถ้า หลักการปกครอง( PRINCIPLES OF GOVERNMENT) กับ รูปการปกครอง( FORMS OF GOVERNMENT) แยกออกจากกัน ก็จะไม่มี การปกครองแบบประชาธิปไตย (DEMOCRATIC GOVERNMENT) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าระบอบประชาธิปไตย กับ ระบบรัฐสภาแยกออกจากกัน หรือขาดข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ภายใต้สภาวการณ์ อนาธิปไตย (ANARCHISM) ของ ประเทศไทย โดยมีรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นผู้ปกครองอยู่ในขณะนี้ นอกจาก หลักการปกครองไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว รูปการปกครองก็ยังไม่ใช่ ระบบรัฐสภาอีกด้วย จึงส่งให้วิกฤตของชาติในครั้งนี้ มีความรุนแรงอย่างที่สุด และหาทางออกไม่ได้ ถ้าทุกพรรคการเมือง เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ตามที่พูดจริง จะต้องวางมือทางการเมืองชั่วคราว และเปิดทางให้รัฐบาลเฉพาะกาล เข้ามาแก้ปัญหาของชาติแทน
25. เราต้องเข้าใจว่า ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เศรษฐกิจได้เปลี่ยนเป็นระบบเสรีนิยม (LIBERALISM SYSTEM) โดยมีระบอบประชาธิปไตย (DEMOCRATIC REGIME) เกิดขึ้นและตั้งอยู่บนรากฐานของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม เมื่อมีการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม มันก็จะผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง และ เป็นไปเอง ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ก็จะส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่าง “ประชาชน” กับ “ระบอบเผด็จการ” พัฒนาขึ้นเป็นความรุนแรง และถ้ามีอุปสรรคขัดขวาง การเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยเมื่อใด มันก็จะระเบิดขึ้นเป็น สงครามกลางเมือง (CIVIL WAR) มวลชนลุกขึ้นสู้ (MASS UPRISING) นำความหายนะมาสู่ชีวิตและทรัพย์สิน ของประเทศชาติและประชาชน
26. เราจะต้องเข้าใจว่า แนวทางสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องของประเทศไทยนั้น คือ แนวทางของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ 5 ,6,7 เป็นต้นมานั้น เป็นวิวัฒนาการของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในประเทศไทย ร้อยกว่าปีจนถึงปัจจุบัน โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามแบบยุโรปและญี่ปุ่น เพราะอยู่ในรุ่นเดียวกัน กล่าวคือ ญี่ปุ่นสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยสำเร็จ เมื่อ พ.ศ.2432 ภายหลังความสำเร็จสมบูรณ์ของมหาปฏิวัติฝรั่งเศส เพียง 15 ปี คือปีพ.ศ. 2414 โดยที่ประเทศไทย ก็เริ่มเคลื่อนไหวประชาธิปไตยมาพร้อมๆกับญี่ปุ่น ในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิ มัตซูฮิโต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งในขณะนั้นเรียกทับศัพท์ว่า “เรโวลูชั่น” ด้วยวิธี “การปฏิรูปการปกครอง” ซึ่งเรียกทับศัพท์ว่า “คอเวินเมนต์ รีฟอร์ม” เพื่อบรรลุความมุ่งหมายเช่นเดียวกับญี่ปุ่น แต่ต่อมา แนวทางดังกล่าวต้องล้มเหลว ก็เพราะ การยึดอำนาจของคณะราษฎรในสมัยรัชกาลที่ 7 และได้ล้มเหลวมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้น การสร้างประชาธิปไตย จึงต้องกลับไปสู่พระมหากษัตริย์ดังเดิม
27. การจะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองกันนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องมีความเข้าใจ รูปธรรมของความขัดแย้งทางสังคม ว่าเป็นอย่างไร หรือคู่ขัดแย้งคืออะไร เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็จะทำให้แก้ปัญหานั้นได้ มีผู้ที่อธิบายหลักการพิจารณาปัญหานี้ไว้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ว่าถูกต้องก็คือ “มาร์กซ” และ “เองเกลส์” ซึ่งเป็นผู้สร้าง ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ (DIALECTICAL MATERIALISM ) ขึ้นแล้ว ก็ได้นำเอาวัตถุนิยมวิภาษไปประยุกต์กับพัฒนาการของสังคม และสรุปขึ้นเป็น วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (HISTORICAL MATERIALISM) โดยถือว่า พัฒนาการของสังคมนั้น ย่อมมีความขัดแย้งไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งต้องเป็นไปตาม กฎของวัตถุนิยมวิภาษ เช่นเดียวกับ โลกธรรมชาติทั้งปวง
โดยเห็นว่าความขัดแย้งภายในสังคม ซึ่งนอกจากจะเป็นความขัดแย้งแล้ว ยังเป็นพลังผลักดันพัฒนาการของสังคมด้วยก็คือ ความขัดแย้งระหว่าง “กำลังผลิต” (PRODUCTIVE FORCE) กับ “ความสัมพันธ์การผลิต” (RELATION PRODUCTION) ในสังคมชนชั้นมันจะแสดงออกเป็นความขัดแย้งทางชนชั้น โดยรูปธรรมของความขัดแย้งที่แท้จริงก็คือ “กรรมกร” กับ “นายทุน” นั่นเอง ดังนั้น ความปรองดองแห่งชาติในสังคมทุนนิยม จะเป็นไปได้ก็คือ คู่ขัดแย้งตัวจริงของสังคมทุนนิยมต้องสามัคคีกัน และการจะสามัคคีกันได้นั้น อยู่ที่ต้องสร้างประชาธิปไตยร่วมกัน ถ้าตราบใดที่ขบวนการกรรมกรยังไม่เข้าร่วมผลักดันการสร้างประชาธิปไตย ตราบนั้นก็จะไม่มีความปรองดองแห่งชาติเกิดขึ้น
28. การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ระบอบเผด็จการ (DICTATORIAL REGIME) เนื้อแท้ตัวจริงเป็นอย่างไร การปกครองแบบประชาธิปไตย (DEMOCRATIC GOVERNMENT) ซึ่งจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตย (DEMOCRATIC REGIME) ก็ได้แต่การปกครองแบบประชาธิปไตย กับ ระบอบประชาธิปไตยนั้น แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์อย่างแยกกันไม่ออก ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะระบอบ คือ มรรควิธีของการปกครอง กล่าวอย่างรูปธรรมหมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร ซึ่งมีเพียง 2 อย่างคือ “ปวงชน” และ “ชนส่วนน้อย” ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนก็เป็น “ระบอบประชาธิปไตย” ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยก็เป็น “ระบอบเผด็จการ” ฉะนั้น ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นหลักการปกครองที่สำคัญที่สุดของ การปกครองแบบประชาธิปไตย และเป็นตัวกำหนดการปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าปราศจากระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีหลักการอื่นหรือเงื่อนไขอื่น เช่น มีเสรีภาพ มีระบบรัฐสภา มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งเป็นต้น ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย
ระบอบเผด็จการ ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย ความหมายตามหลักวิชาการคือ อำนาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย โดยชนส่วนน้อยนั้น อาจเป็นชนชั้นสูงก็ได้ ชนชั้นกลางก็ได้ หรือ ชนชั้นกรรมาชีพก็ได้ รวมทั้งเป็นทหารก็ได้ หรืออาจจะเป็นกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ก็ได้ ที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน โดยแต่ละกลุ่มตั้งพรรคการเมืองของตนขึ้นมาทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของตน ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้แทนของประชาชน นักการเมืองบ้านเราจึงล้วนเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยทั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า พรรคการเมืองเหล่านั้นเป็นเผด็จการ พรรคการเมืองเหล่านี้จะเป็นเผด็จการก็ต่อเมื่อ มีอำนาจอธิปไตยด้วย ดังนั้น ระบอบเผด็จการจึงมีองค์ประกอบดังนี้
1) เป็นผู้แทนของชนส่วนน้อย
2) เป็นผู้ถืออำนาจอธิปไตยของปวงชน
ดังนั้น เผด็จการจึงอยู่ที่ตัวรัฐบาล มิใช่อยู่ รัฐธรรมนูญ
29. การสร้างประชาธิปไตยก็คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย กล่าวตามความหมายที่เป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือ การทำให้ดีขึ้น แต่ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็หมายถึง การยกเลิกสิ่งไม่ดี แล้วทำการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นแทน ทั้งนี้ก็เพราะว่า การสร้างสรรค์สิ่งที่ดีไม่สามารถเป็นไปได้ โดยไม่ยกเลิกสิ่งไม่ดี เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องมีทั้ง “ปหานะ” และ “ภาวนา” ปหานะ คือ ละอกุศลกรรม ภาวนา คือ เจริญกุศลกรรม ดังนั้น การเจริญกุศลกรรมโดยไม่ละอกุศลกรรมนั้น จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือการทำดี โดยไม่ละชั่วจึงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการทำนา ต้องกำจัดวัชพืชก่อน
ฉะนั้น การสร้างประชาธิปไตย ก็ต้อง ยกเลิกระบอบเผด็จการ และ การปกครองเผด็จการ โดยสิ้นเชิง ซึ่งประกอยด้วยมาตรการสำคัญ ดังนี้คือ
(1) ทำให้รัฐบาลของการปกครองแบบเผด็จการสิ้นสุด
(2) ทำให้รัฐสภาของการปกครองแบบเผด็จการสิ้นสุด
(3) ยกเลิกรัฐธรรมนูญการปกครองแบบเผด็จการ
(4) สลายพรรคการเมืองเผด็จการ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือบริษัทค้าการเมืองอันเป็นเครื่องมือ ทำธุรกิจของบรรดาเจ้าพ่อทั้งหลาย
(5) สลายกลุ่มผลักดันมาเฟีย และองค์กรอิสระที่เป็นกลไกปกป้องคุ้มครองระบอบเผด็จการ
(6) ให้จัดตั้ง “สภาปฏิวัติแห่งชาติ” ซึ่งประกอบด้วยองค์การระดับชาติ และองค์การระดับจังหวัด มีผู้แทนในแต่ละอำเภอทั่วประเทศ รวมกับผู้แทนอาชีพต่าง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน
(7) ผู้แทนสาขาอาชีพต่าง ๆ ได้เปิดประชุมแต่ละสาขาอาชีพ สะท้อนปัญหาและ เสนอวิธีแก้ปัญหาของอาชีพนั้น ๆ
(8) กำหนดนโยบายประชาธิปไตย ประกอบด้วยนโยบายหลัก และ นโยบายเร่งด่วน เฉพาะหน้า ซึ่งสาระสำคัญ ของนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าควรเป็นดังนี้
1) ยกเลิกการกดขี่ข่มเหงประชาชน โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกกรณีทันที
2) ยกเลิกหนี้สินของประชาชนที่มีฐานะยากจน และเฉลี่ยรายได้แห่งชาติให้เกิดความเป็นธรรม
3) ตรึงและพยุงราคาสินค้า โดยใช้รัฐวิสาหกิจที่ได้ปรับปรุงให้มีประสิทธิ์ภาพแล้วเป็นสำคัญ
4) ประกันราคาผลิตผลเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิ์ภาพ ให้ผลประโยชน์ตกแก่ชาวนา ชาวไร่ อย่างทั่วถึง
5) ให้ข้าราชการเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงาน และพรรคการเมืองได้อย่างเสรี ซึ่งจะยังผลให้ข้าราชการมีจิตสำนึกเป็นข้าราชการของระชาชน
6) ให้ ผู้แทนรัฐวิสาหกิจ โดยทางองค์กรของผู้ใช้แรงงานที่แท้จริงเข้าร่วมกับฝ่ายบริหาร เพื่อพิจารณากำหนดนโยบาย และมาตรการในการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจ
7) ออกกฎหมายประกันสังคมให้เป็นธรรม และกฎหมายที่เกี่ยวกับการหางาน และส่งคนงานไปต่างประเทศ
8) ปรับปรุงแก้ไข สาธารณูปโภคให้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
9) ปลดปล่อยนักโทษและยกเลิกคดีการเมือง
10) ปราบรามอาชญากรรมและคอรัปชั่น และรักษาความปลอดภัยของประชาชน อย่างมีประสิทธิภาพโดยให้การเมืองและองค์กรมวลชน ร่วมดำเนินการ
11) ปรับปรุงระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตย โดยใช้ มาตรการประสานกลไกรัฐกับกลไกพรรคเป็นเครื่องมือสำคัญ
12) ให้มีสมาชิกวุฒิสภามาจากสาขาอาชีพอย่างยุติธรรม
13) ให้มีพรรคการเมืองพัฒนาอย่างธรรมชาติ มิใช่โดยกฎหมายบังคับ
14) ให้ มีสภาการเลือกตั้งแห่งชาติ ประกอบด้วยส่วนราชการพรรคการเมือง และองค์การมวลชนทำหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปตามหลักเลือกตั้ง เสรีภาพ
15) ยกเลิกข้อมูลเพิ่มเติมกฎหมายทั้งปวง ที่ทำลายหรือบั่นทอน เสรีภาพของบุคคล
16) ตั้ง คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและหลักการประชาธิปไตย ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น เมื่อรัฐสภาลงมติเห็นชอบแล้วให้ประชาชนแสดงประชามติก่อนบังคับใช้
นี่คือตัวอย่าง ของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง
"เราควรแยกการปฏิวัติ ( REVOLUTION )
ออกจากการรัฐประหาร ( COUP D’ETAT ) อย่างเด็ดขาด
การปฏิวัติคือการทำสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น
เปลี่ยนระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตย
รัฐประหารคือการใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจรัฐโดยผิดกฎหมาย"
ขอเรียกร้องให้ทหารทั้งกองทัพมาร่วมกันสร้างประชาธิปไตย
ขอเรียนเชิญประชาชนทุกหมู่เหล่ามาร่วมกันพัฒนาชาติ
สร้างประชาธิปไตยร่วมกัน เพื่ออนาคตของประเทศไทยของเรา
กฎสังคมกล่าวไว้ว่าประชาธิปไตยก้าวหน้า เผด็จการล้าหลัง
สาเหตุปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง
อ.วันชัย พรหมภา ยินดีให้คำบรรยายการสร้างประชาธิปไตย
ติดต่อได้ที่ โทร.02-2744534, 085-4441100
ประเทศชาติของเราจะเจริญรุ่งเรืองและมีสันติสุข แน่นอน
http://welovethaksin.multiply.com/journal/item/85/85
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น