เสียงจากคุก
1. อาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับคุณจตุพร พรหมพันธ์ ที่สัมภาษณ์กับคุณจอม เกี่ยวกับเรื่องพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดง
ผมขอให้พวกเราสนับสนุนความคิดของคุณจตุพร พรหมพันธ์ เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ คุณจตุพรพูดถูกแล้ว ขบวนการเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแยกกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีทักษิณกับคนเสื้อแดงกก็ไม่มีพรรคเพื่อไทย
2. อาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับคุณมิ่งขวัญ
ส่วนคุณมิ่งขวัญอยากเป็นเป็นผู้นำ คุณมิ่งขวัญมีกำลังทรัพย์หรือไม่ แล้วถ้าหากเป็นผู้นำกล้าตายแทนประชาชนหรือไม่
3. อาจารย์มองพรรคเพื่อไทยอย่างไรที่มีลักษณะกล้าๆ กลัวๆ กับการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
พี่น้องเสื้อแดงหลายๆ คนที่ยอมติดคุกเพราะอะไร ก็เพราะทักษิณและพรรคเพื่อไทย
ฉะนั้น พรรคเพื่อไทยต้องใช้คนกล้าออกมาสู้ มายืนข้างประชาชนอย่างแท้จริง ใครไม่กล้าก็ถอยออกไป ในพรรคเพื่อไทยมีคนของฝ่ายเขาแฝงเข้ามา หลายคนรู้ดี ก็ปล่อยเขาไป หรือถ้าหากพรรคเพื่อไทยถอดคนของนปช.ไม่ให้ลงปาตี้ลิสต์ นปช.ก็จะต่อสู้และยืนเคียงข้างประชาชนโดยไม่ต้องคำนึงถึงพรรคเพื่อไทยอีกต่อ ไป
4. อาจารย์ช่วยวิเคราะห์การที่ฝ่ายรัฐ หรือ ฝ่ายเขาจัดการยึด ค้น สถานีวิทยุชุมชน 14 สถานี
เขารุกเราด้วยยุทธวิธี โดยใช้เรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใช้ กฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเครื่องมือ การยึดวิทยุชุมชนก็เป็นยุทธวิธีของเขา โดยอ้างเอาวิทยุเหล่านี้เผยแพร่คำปราศรัยของคุณจตุพร เขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นยุทธวิธี ขณะนี้เดียวกันเขารับเราทางยุทธศาสตร์ โดยพวกเรานำเรื่องการให้ยกเลิก กฎหมายอาญา มาตรา 112 เสียจะได้ไม่มีใครนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน ทำร้ายอิสรเสรีภาพของประชาชนที่รักประชาธิปไตย
5. อาจารย์คิดว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่
ดูจากรูปการและเหตุการณ์แล้วไม่น่าจะมีการเลือกตั้ง ถ้ามีการเลือกตั้งเหตุการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่จบ หรือพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ มันมีอำนาจนอกระบบคอยจัดการ ประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลได้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เรื่องมันไม่จบ
ขอให้พวกเราจำไว้ว่า เสื้อเหลืองหรือพันธมิตรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา ดังนั้นวิธีการต่าง ๆ หรือการเคลื่อนไหวก็ต้องคำนึงถึงการต่อสู้ครั้งนี้
สุรชัย แซ่ด่าน วัฒนานุสรณ์
เรือนจำพิเศษกลางกรุงเทพมหานคร
เวลา 11.20 น.
วันที่ 27 เมษายน 2554
ที่มา : http://www.redsiam.tv/webboard/index.php...252.msg685
รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน
แดงเชียงใหม่
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"
.
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
อ. สุรชัย : เสียงจากคุก
รายงาน สำรวจสถานการณ์หลังปิดวิทยุชุมชนเสื้อแดง (ระลอกแรก)
Fri, 2011-04-29 02:16
มุทิตา เชื้อชั่ง
ภาย หลังมีการสนธิกำลังระหว่างตำรวจกองปราบ เจ้าหน้าที่จาก กสทช. เจ้าหน้าที่จาก กอ.รมน. และตำรวจในท้องที่ เข้าบุกค้นสถานีวิทยุชุมชน 13 แห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อวันที่ 26 เม.ย. และเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และความหวาดระแวงขึ้นโดยทั่วไป
อย่าง ที่ทราบกันว่านอกเหนือจากเคเบิ้ลทีวีไม่กี่ช่อง คนเสื้อแดงก็มี “วิทยุชุมชน” นี่เองที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร บอกข่าว จัดกิจกรรม กระทั่งระดมคนในสถานการณ์ฉุกเฉิน
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหตุผลว่าเหตุที่ดำเนินคดีกับวิทยุชุมชนดังกล่าวเพราะมีการนำเทปการปราศรัยเข้าข่ายผิดกฎหมายของนายจุตพร พรหมพันธุ์ ไปเผยแพร่ ส่วนกอ.รมน.ชี้แจงเหตุผลว่า เป็น การดำเนินการตามที่ประชาชนแจ้งมาว่า คลื่นวิทยุชุมชนดังกล่าวได้นำเสนอเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ และจาบจ้วงสถาบัน เปิดโอกาสให้แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโฟนอินเข้ามาพูดยั่วยุปลุกระดมในรายการ มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง
แต่ ในการดำเนินการนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดังที่ได้กล่าว มานี้ แต่ใช้วิธีตรวจสอบใบอนุญาตที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) ออกให้
เชือดไก่ให้ลิงดู...ปลุกกระแสเซ็นเซอร์ตัวเอง
การ เข้าค้นครั้งนี้บางแห่งพบว่าไม่มีใบอนุญาต บางแห่งมีใบอนุญาตชั่วคราวเท่านั้น จึงทำการยึดของกลาง จับกุมผู้ดำเนินสถานีบางส่วนในข้อหามีเครื่องส่งสัญญาณวิทยุโดยไม่ได้รับ อนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับการประกันตัวแล้ว ขณะที่อีกหลายต่อหลายแห่งก็ปิดสถานีเสียก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง จนบัดนี้ก็ไม่ยังไม่ทราบกำหนดเปิด
จากการสอบถามสถานีคนไทยหัวใจเดียวกัน 92.25 MHz ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่ปิดตัวลงก่อนที่จะถูกค้นในวันที่ค้น 13 จุด ดีเจสมาน เมืองขอนแก่น ดีเจคนหนึ่งของสถานีให้ข้อมูลว่า สถานีของเขามีใบอนุญาตชั่วคราว และดำเนินการมาประมาณ 11 เดือนแล้วภายหลังปิดไปหลายเดือนหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปีที่แล้ว โดยสถานีนี้เน้นให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านการเมืองแก่ประชาชน และส่วนใหญ่จะเชื่อมสัญญาณกับเคเบิ้ลทีวีช่องเอเชียอัพเดท เพื่อถ่ายทอดสดการชุมนุมครั้งต่างๆ นอกจากนี้สถานีนี้ยังเป็นจุดส่งต่อสัญญาณให้กับสถานีวิทยุชุมชนอีกหลายแห่ง เช่น วิทยุชุมชนในจังหวัดอุดรฯ พัทยา ปทุมธานี อ่างทอง
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 10 เมษยนที่ผ่านมา เขาก็ลิงก์สัญญาณถ่ายทอดเสียงปราศรัยของแกนนำ นปช. ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงส่วนของนายจตุพร พรหมพันธ์ ด้วย แต่ไม่ได้มีการเปิดซ้ำซากอย่างที่ถูกกล่าวหา และเนื้อหาโดยรวมของสถานีก็ไม่มีอะไรที่หมิ่นเหม่
“เรา ยังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดทำการเมื่อไร เพราะกลัวว่าเขาจะบุกมายึดข้าวของอีก ก็อย่างที่รู้ว่าเขาดำเนินการแบบเลือกปฏิบัติ เฉพาะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ตอนนี้กำลังหารือกันว่าจะไปยื่นศาลปกครองให้มีการคุ้มครองให้ออกอากาศได้ ชั่วคราว” ดีเจสมาน เมืองขอนแก่น กล่าว
ต่างจังหวัดตื่นตัว ลุ้นปิดโดมิโน่?
ด้านตัวแทนคลื่นวิทยุสร้างสรรค์สังคมเชียงใหม่ 99.15 MHz ให้ ข้อมูลว่าในส่วนของเชียงใหม่นั้นเมื่อมีข่าวการบุกจับที่ส่วนกลาง คลื่นวิทยุชุมชนบางคลื่นก็มีการงดออกอากาศเพื่อประเมินสถานการณ์ และยังไม่ออกอากาศจนถึงวันนี้ (28 เม.ย. 54) แต่ส่วนใหญ่แล้ววิทยุชุมชนที่มีใบอนุญาตทดลองออกอากาศ รวมถึงวิทยุชุมชนที่เสนอข่าวคนเสื้อแดงก็ยังออกอากาศปกติ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายความมั่นคง คือสารวัตทหาร ตระเวนไปยังสถานีวิทยุต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลที่ตั้งสถานี ซึ่งอาจจะมองในด้านหนึ่งว่าเป็นการคุกคามก็ได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โดยรวมถือว่ายังเป็นปกติ แม้จะมีความกังวลถึงมาตรฐานข้ออ้างในการที่จะปิดสถานีวิทยุชุมชนต่างๆ ในอนาคตว่าใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์วัด
ขณะที่ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร สถานีคนรักมุกดาหาร 106.75 MHz มีการประชุมชาวบ้าน หรือผู้ฟังในพื้นที่ 200-300 คนเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคต
“ชาวบ้านเขาก็มากันสองสามร้อยคน เพิ่งประชุมเสร็จเมื่อกี๊นี้เอง (21.00 น. 28 เม.ย.53) เราก็ถามว่าจะเอาอย่างไรดี ปิด หรือไม่ปิด เขาก็ว่าให้เปิดต่อไปเลย เราก็ถามว่าถ้าเปิด เขามายึดเครื่องส่งไปจะทำยังไง ชาวบ้านก็บอกไม่เป็นไร ให้ยึดไป เดี๋ยวระดมเงินกันซื้อใหม่” อำไพ ศิริลาภ ดีเจ คนสำคัญของสถานีเล่าไปหัวเราะไป พร้อมทั้งระบุว่าชาวบ้านมีมติจัดเวรยามเฝ้าสถานีเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้า หน้าที่บุกมายึดเครื่องส่งสัญญาณ แม้ว่าเขาจะมีใบอนุญาตชั่วคราวแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น
สำหรับ พื้นที่ต่างจังหวัด สถานีวิทยุชุมชนเป็นสิ่งที่ชาวบ้านหวงแหน เพราะเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด โดยเฉพาะสถานีที่มีเนื้อหาทางการเมืองโดยตรงอย่างสถานีนี้
“เมื่อก่อนก็มีโฆษณาบ้าง เดี๋ยวนี้พอเลือกข้างชัดเจน โฆษณาก็ไม่กล้าลง ใช้เงินที่ได้จากการบริจาค”
“กำลังส่งเรามีประมาณ 1,000 วัตต์ แต่หลังสลายการชุมนุม ทหารเขาไล่ปิดหมด เราก็เอาเครื่องส่งไปเก็บ แล้วแมลงสาบมันฉี่ใส่มั่งอะไรมั่ง ตอนนี้เลยส่งได้แค่ 600 วัตต์ (หัวเราะ) ก็คงกระจายเสียงได้รัศมีซัก 40 กิโล เวลามีชุมนุมก็ต่อเสียงจากสถานีเอเชียอัพเดทกระจายให้ชาวบ้านเขาได้รู้ เรื่องด้วย เพราะเขาอยากไปแต่ไม่ได้ไป” อำไพว่า
“เรา ไม่ได้แค่ทำวิทยุ แต่เรายังลงพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน ประชุมหารือสถานการณ์บ้านเมืองกันตลอด เราทำความเข้าใจร่วมกันว่า เราคือคนเสื้อแดง ส่วนของหัวคะแนนพรรคการเมืองก็ส่วนหนึ่ง ในสถานการณ์การเลือกตั้งเราก็แปลพลังเป็นคะแนนเสียง แต่ถ้าไม่มีเลือกตั้ง หัวคะแนนไม่ออก เราคนเสื้อแดงก็ยังต้องสู้ต่อ มันคนละส่วนกับพรรคเพื่อไทย เราต้องตื่นตัวของเราต่อไป” อำไพกล่าว
ย้อนรอยสลายชุมนุมปี53 วิทยุชุมชนเหี้ยน
ใน รายงานเรื่อง “การแทรกแซงวิทยุชุมชนภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ประเทศไทย ความเห็นต่าง คื อาชญากรรม” ของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่เผยแพร่เมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่า ภายหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลทั้งในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด สถานีวิทยุชุมชนทั้งในและนอกพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต้องปิดตัวลงมากกว่า 47 สถานี และมีผู้เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนถูกออกหมายจับและดำเนินคดีรวม 49 รายมีสถานีที่ถูกขึ้นบัญชีดำอีก 84 แห่ง
“สถานี วิทยุชุมชนทุกแห่งที่ถูกปิดปรากฏรายชื่อ ในกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาของหน่วยงานรัฐ ก่อนจะมีการบุกเข้าตรวจค้น จับกุม ยึด อุปกรณ์การกระจายเสียง และดำเนินคดีในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.วิทยุ คมนาคม พ.ศ. 2498 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องส่งวิทยุคมนาคมและการตั้งสถานี และถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้กระบวนการออกใบอนุญาตวิทยุชุมชนและได้รับ การคุ้มครองสิทธิการกระจายเสียงจาก กทช. แต่มาตรการดังกล่าวกลับไม่สามารถยกมาอ้างเพื่อคุ้มครองสิทธิให้รอดพ้นจาก การจับกุมและการเข้าปิดสถานีได้”
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ก่อนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2553 รัฐบาลส่งสัญญาณให้องค์กรอิสระเข้ามาจัดการกับความเห็นต่างที่กระจายอยู่ตามวิทยุชุมชน ดังเช่นกรณีที่คณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ภายใต้ กทช. ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตและกำกับดูแลวิทยุชุมชนเป็นการชั่วคราว ได้เตือนไปยังสถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศกว่า 6,000 แห่ง เพื่อไม่ให้นำเสนอเนื้อหาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อเงื่อนไขการได้รับสิทธิทดลอง ออกอากาศ คือ ไม่ดำเนินการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิด การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยออกเป็นหนังสือถึงผู้รับผิดชอบในแต่ละสถานีสามครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งรัฐบาลกลับ ขอความร่วมมือไปยังสถานีวิทยุชุมชนในบางจังหวัดให้รับสัญญาณถ่ายทอดรายการ และข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นของหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่าเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใน สถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความวุ่นวายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดออกหนังสือขอความร่วมมือโดยตรงถึงผู้รับผิดชอบ สถานี
ภาพจากรายงานฯ ของ คปส.
หากย้อนไปดูสถานภาพทางกฎหมายของสถานีวิทยุชุมชนที่ถูกปิดจากจำนวน 47 สถานีที่ถูกปิดไปเมื่อปีที่แล้วมี 29 ราย ที่ได้แจ้งความประสงค์จะประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชนไว้กับ กทช. ตามกระบวนการออกใบอนุญาต และได้รับสิทธิการทดลองออกอากาศแล้ว
ดังนั้น ประเด็นของใบอนุญาตคงเป็นเพียงข้ออ้างชั้นดีที่ในการปิดการสื่อสารแบบรวดเร็ว ไม่มีปิดได้ทันที แต่ถึงมีก็ยังปิดได้
ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย เล่นงานเป้าหมายทางการเมือง
สุ เทพ วิไลเลิศ เลขาธิการ คปส. ให้ความเห็นว่า เรื่องใบอนุญาตของวิทยุชุมชนนั้นเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน โดยวิทยุชุมชนทั้งหมดที่มาลงทะเบียน 6,000 กว่าแห่งจะได้ใบอนุญาตทดลองออกอากาศ 300 วัน แต่ไม่มีใครได้ใบอนุญาตจริงๆ เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กทช. /กสทช. ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ข่าวล่าสุดแว่วว่าเพิ่งให้ใบอนุญาตออกมา 16 ราย แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด
ที่ ผ่านมา มีเพียงการตั้งคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ เพื่อดำเนินกระบวนการพิจารณา ซึ่งอนุฯ ก็ให้ความสำคัญแต่มิติทางการเมืองเป็นหลัก ต้องการควบคุมเนื้อหาทางการเมืองมากกว่าที่จะตอบรับเงื่อนไขการอนุญาตจริงๆ เป้าหมายที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นการลากให้วิทยุขนาดเล็กประเภทต่างๆ มาลงทะเบียนให้หมด เพื่อจะทราบที่ตั้ง ผู้ดูแลที่จะติดตามตรวจสอบได้
“ภาวะ แบบนี้กลายเป็นว่ารัฐใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นมา เอาไปควบคุมความเห็น อุดมการณ์ที่แตกต่าง” สุเทพกล่าวและว่า หากจะเล่นงานเรื่องใบอนุญาตนั้นก็สามารถเล่นงานได้ทุกสถานี เพราะมีปัญหาคล้ายๆ กันหมด ไม่เฉพาะสถานีวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดง
สุ เทพ เสนอว่า ในเมื่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่ออกใบอนุญาตไม่สามารถดำเนินการได้ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในระหว่างสุญญากาศนี้ก็ควรให้สิทธิสถานีเล็กที่ยังไม่ลงทะเบียนได้มีโอกาส ออกอากาศด้วย เพราะเป็นสิ่งไม่อาจปฏิเสธได้แล้วในสภาพความเป็นจริง ในเมื่อกระบวนการล้มเหลวแทนที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลับไปปกป้องตัวรัฐเองมากกว่า
นอก จากนี้เขายังเห็นว่า รัฐไม่ควรเข้ามาควบคุมอีกแล้วไม่ว่าประการใดๆ แต่ควรมุ่งผลักดันให้เกิดกลไกอิสระให้เกิดขึ้น ส่วนเนื้อหาหากจะมีความผิดประการใด ก็ขอให้ใช้ข้อหานั้นๆ ในการดำเนินคดีกันไปให้ชัดเจนจะดีกว่า
“จะ ได้เกิดความชัดเจนกับสาธารณะด้วย ไม่อย่างนั้น วิทยุชุมชนจะถูกเหมารวมไปหมดว่าประชาชนทำสื่อไม่ได้ ทำแล้วไม่มีวุฒิภาวะ และท้ายที่สุดก็ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพกันหมด” สุเทพกล่าวและว่า คนใช้สื่อการเมืองเองก็ควรต้องรวมตัวกัน ตั้งกติกา ตรวจสอบกันเองด้วยในอีกทางหนึ่ง หากไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาจัดการ
http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34291