แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

ไม้ขีดก้านเดียวที่เปลี่ยนสังคมเกาหลี

ไม้ขีดก้านเดียวที่เปลี่ยนสังคมเกาหลี

การ ประท้วงของชุน เต-อิล คือสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ในเกาหลีใต้แห่งทศวรรษ 2513 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งการปลดแอกชนชั้นกรรมาชีพ

วรรณกรรม ชีวิตและความตายของกรรมกรหนุ่มซึ่งบัดนี้ได้ชื่อภาษาไทยว่า ไม้ขีดก้านเดียวที่เปลี่ยนสังคมเกาหลีได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวรรณกรรมแห่งชนชั้นที่คลาสสิคของเกาหลีใต้เล่มนี้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้รับการแปลในหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทย

พวก เราต้องขอบคุณผู้นำนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ โช ยอง-เร ที่ได้ใช้เวลาถึงสามปีในระหว่างการหนีการจับกุมเพราะเข้าร่วมกิจกรรม นักศึกษา รวบรวมบันทึกของชุน เต-อิล และพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวของชุน จนได้วรรณกรรมกรรมกรเล่มนี้ ที่เป็นหนังสือใต้ดินที่นักเคลื่อนไหวทุกคนในเกาหลีต้องอ่าน

โชว ยอง-เร ศึกษานิติศาสตร์ ที่ใช้ชีวิตระหว่างเรียนเข้าร่วมการประท้วงมากกว่าอยู่ในห้องเรียน ที่เมื่อเรียนจบแล้ว เลือกที่จะรวมกับเพื่อนๆจัดตั้งองค์กรด้านกฎหมาย เพื่อให้ความช่วยเหลือคนที่ถูกละเมิดสิทธิ มากกว่าจะเป็นทนายว่าความค่าตัวแพง

เขาใช้เวลาศึกษาปรัชญาและการ ต่อสู้ของชุนจนเข้าถึงแก่นแท้แห่งปรัชญาของ เขา โช ยอง-เน ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเอาทฤษฎีสังคมนิยมประชาธิปไตยมาอธิบายวิธี คิด มุมมอง และการต่อสู้ของชุน เต-อิล ได้อย่างมีอรรถรสและน่าติดตามยิ่ง หนังสือ ชีวิตและความตายของกรรมกรหนุ่มที่เขียนเสร็จในปี 2519 ท่ามกลางการเมืองร้อนระอุ จึงไม่ได้รับการพิมพ์เผยแพร่่สู่สาธารณชนเกาหลีจนถึงปี 2526” มันถูกแบนโดยทันทีตามที่สำนักพิมพ์คาดการณ์ไว้ แต่มันได้กลายเป็นหนังสือ
ใต้ ดินที่มีผู้ต้องการมากที่สุด แทบจะทันทีที่พิมพ์ออกมา มันเป็นดุจดั่งคำภีร์ที่กรรมกร นักศึกษา และภาคประชาชนเกาหลีต้องอ่าน เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยที่เกาหลีมาร่วมสามทศวรรษ

กระนั้นก็ตาม การต่อต้านสหภาพของพวกนายจ้างที่เกาหลีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทำให้การเป็นนักสหภาพแรงงานที่แท้จริงที่เกาหลีนั้นต้องผ่านบทเรียนการ ต่อสู้อย่างเข้มข้น และยาวนานทั้งชีวิต

เวลาผมรู้สึก ท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ ผมจะไปยังสุสานวีรชน ไปอยู่ที่น่ังเพื่อรำลึกถึงการเสียสละและวีรกรรมของเขานี่คือเสียงสะท้อนจากนักสหภาพหลายคนที่ข้าพเจ้าพบในช่วงที่ไปศึกษาขบวนการ สหภาพแรงงานที่เกาหลีในปี 2535 และในปี 2543

แกนนำที่ เพิ่งออกจากคุกบอกเราว่า การเข้าคุกคืองานหลัก ออกมานอกคุกคืองานอดิเรกแม้แต่คนจบ ดร. อาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อนของข้าพเจ้าก็เข้าคุก 6 เดือนเพราะกิจกรรมนักศึกษา เขาบอกว่า ชุน เต-อิล คือแรงบันดาลใจให้เขาและนักศึกษาเกาหลีใต้

นักกิจกรรมและนักสหภาพแรง งานที่เกาหลีบอกว่า การจะขึ้นมาเป็นประธานสหภาพนั้นดูกันว่าใครเข้าคุกมากี่ครั้ง” “เข้าคุกมากี่ปีใครไม่เคยสู้ ไม่เคยถูกจับเข้าคุก มักไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นประธานสหภาพแรงงาน และตัวคนนั้นเองก็ไม่กล้ารับตำแหน่งประธานสภาพด้วย

>1000+6+1+2+1+77+41+48+91+?????

ประเทศไทยทราบแล้วเปลี่ยน

การ เชื่อมั่นในการต่อสู้ด้วยพลังประชาชน ไม่ปรานีปรานอมกับการเมืองฉ้อฉล และการเชิดชูวีรชนที่เสียสละคือยุทธวิธีที่ผู้นำการปลดแอกทางการเมืองไม่ว่า ในประเทศไหนก็ตามควรจะน้อมนำมาเป็นหนึ่งในหัวใจของการขับเคลื่อนการต่อสู้

ประเทศ ไทยเรามีผู้เสียสละเพื่ออุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อให้รัฐฯ บริหารจัดการงบประมาณเพื่อมุ่งเพื่อประโยชน์อันสูงสุด เพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยเฉพาะคนยากคนจน ในการพยายามต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมนี้ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ที่เป็นตัวเลขทางการที่ข้าพเจ้านำมาร่วมกันในท้ายบทความนี้มีถึง 290 วีรชน นับตั้งแต่ปี 2492 เป็นต้นมา

ปรีดี พนมยงค์ ผู้ที่จุดประกายสังคมนิยมประชาธิปไตยในประเทศไทย ผู้มีความเชื่อในนโยบาย รัฐประชาชน รัฐในฐานะผู้รับผิดชอบต่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนได้สร้างแรงบันดาลใจให้นักการเมืองน้ำดีเข้าสู่สภาฯ หลายคน โดยเฉพาะจากภาคอีสาน แต่สังคมไทยปล่อยให้พวกเขาถูกขบวนการฝ่ายขวาปราบปรามอย่างไร้มนุษยธรรม ไม่นับว่ารัฐมนตรีหลายคนแห่งค่ายสังคมประชาธิปไตย ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด ปรีดี ป๋วย หรือแม้แต่จอมพล ป. สามผู้ที่มีบทบาทนำในการเมืองไทยยุคนั้น ต้องไปเสียชีวิตที่ต่างแดน และไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกเลย

การปล่อยให้การให้ค่าว่า สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี สิ่งใดคือความเป็นไทย สิ่งใดคือความเป็นธรรมถูกใช้เพื่อการปรองดองแห่งชาติ เพื่อความสมานฉันท์มาทุกครั้งหลังจากการปล้นอำนาจประชาชนและสังหารผู้ ประท้วงสัก 30 40 หรือ 100 ศพ คือการไม่ให้คุณค่ากับวีรชน คือการดูถูกชีวิตที่เสียสละ
คือการย้ำยีซ้ำบนซากศพและบนชีวิตคนยากคนจนที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่

เป็น พฤติกรรมที่ไม่ต่างกันเลยไม่ว่าหัวขบวนฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา และเป็นความผิดพลาดหนึ่งของการต่อสู้ของภาคประชาชนไทยนับตั้งแต่ปี 2475 เพราะหัวขบวนปรานีปรานอมระหว่างกัน หัวขบวนต่างอ้างความเป็นผู้มีความรักยิ่งในองค์พระมหากษัตริย์ยิ่งกว่าผู้ใดเหล่าบรรดาหญ้าแพรกที่อดยาก ยากจนทั้งหลายก็แหลกราญ ถูกลืมเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า เหลือเพียงจำนวนตัวเลขไว้ให้เล่าขาน อาทิ การลุกขึ้นสู้ใน 14 ตุลาฯ มีผู้เสียชีวิต 77 คน และบาดเจ็บ 857 คน

แต่น้อยคนที่จะรู้จักชื่อ รู้จักหน้า แม้แต่ในหมู่ครอบครัววีรชน ก็อาจจะไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้รวมตัวสู้ร่วมกันอย่างเข็มแข็ง ไม่ได้กำหนดทิศทางการใช้เงินค่าชดเชยร่วมกัน

การเสียสละของนักต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้ถูกนำมาเป็นขวัญ กำลังใจให้การต่อสู้ของคนรุ่นหลังเท่าที่ควร แต่ถูกพวกฝ่ายขวารอยัลลิสต์หัวเราะเยาะว่าเป็นคนโง่ เอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ คนส่วนใหญ่นำมาปรามลูกหลานว่า เห็นไหม สู้แล้วได้อะไร สู้แล้วก็ตายเปล่า อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า

นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม 78 ปีประชาธิปไตยไทยยังนำมาซึ่งคำถามจากชาวบ้านว่า ปรีดี คือใคร?” และก็คงจะถามว่า ถวิล จำลอง เตียง ป๋วย จิระ ฯลฯ คือใคร? ด้วยเช่นกัน เพราะระดับบิดาของการนำประชาธิปไตยมาสู่ประเทศไทย ก็ไม่ได้รับการยกย่องและแนะนำให้ประชาชนรู้จัก มิหนำซ้ำยังถูกปลักปลำว่าเป็นคอมมิวนิสต์

http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_9712.html

ตุ้มๆ ต่อมๆ ไปกับการลุกขึ้นสู้ของคนเสื้อแดง

การต่อสู้ของ เกาหลีใต้เปลี่ยนผ่านไปได้ในระดับที่ทั่วโลกพอจะถอนหายใจได้ เฮือกใหญ่ แต่ประชาธิปไตยในประเทศไทยยังเป็นเด็กเดินเตาะแตะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่เช่นเดิม หรือนี่อาจจะเป็นยุทธศาสตร์การเมืองโลกต่อประเทศไทย ที่กำกับโดยสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจที่ครอบงำการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้อาจด้วยสภาพภูมิศาสตร์การเมืองของไทยในอินโดจีนและเอเชียตะวันออก จึงถูกวางยาประเทศไทยไว้ไม่ให้เข็มแข็ง ยอมรับเฉพาะรัฐบาลเด็กดี ที่โลกมหาอำนาจเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้?

นัก ทฤษฎีปฏิวัติส่วนใหญ่่ใช้เวลาไม่น้อย หมดไปกับขวดเบียร์ และถกกันทั้งคืนเกี่ยวกับ 100 ปัญหาที่(อาจจะ) เกิดขึ้นเพราะการต่อสู้ มากกว่าจะโฟกัสไปยังยุทธวิธีเดียวที่จะชนะได้ ซึ่งมีบทเรียนมากกมายจากทั่วโลกคือ การขับเคลื่อนร่วมสู้กับมวลชน ให้มวลชนนำหน้า เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะคนที่คิดเรื่องแพ้มากกว่าคิดเรื่องชนะ มักจะสู้ไปถอยไป และก็อาจจะไม่เคยชนะเลยก็ได้

จริง อยู่มันมีความแตกต่างของไทยกับหลายประเทศ ทุกการต่อสู้จะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่เป็นตัวแปรนิดๆ หน่อยๆ เช่น เปรียบเทียบไทยกับเกาหลีใต้ เราก็อาจจะมีข้ออ้าง หรือคำอธิบาย (ที่เป็นเรื่องจริง)ได้ว่า คนเกาหลีใต้โชคดีกว่าไทย ที่สู้กับเฉพาะทหารและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เท่านั้น ไม่เหมือนประเทศไทย ที่สลัดการใช้อำนาจมิชอบของทหารและเหลือบที่เกาะกินยังไม่หลุดเสียที เพราะต้องสู้แบบหนึ่งต่อสี่ ไม่ใช่หนึ่งต่อสองแบบเกาหลีใต้ เพราะเรามีชนชั้นสูงเพิ่มเข้ามาด้วย กลายเป็นการต่อสู้ของประชาชนที่ไม่จัดตั้ง (1) กับ ทหารโง่ (1) +พรรคการเมืองไดโนเสาร์ (2) + ชนชั้นสูงเต่าล้านปี (3) และ + สงครามจิตวิทยามวลชนของสหรัฐฯ (4))

แต่นับตั้งแต่เหตุการณ์ปราบปราม ประชาชนเมื่อเดือนพฤษภาคปีที่ผ่านมา และการเดินหน้าสู้ต่อเนื่องของคนเสื้อแดง ในหลากหลายรูปแบบในเมืองไทย ทำให้นานาชาติจับตามองอย่างไม่กระพริบ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เพราะ พลังประชาชนกว่าล้านคนในประเทศไทย ที่ร่วมขับเคลื่อนกับคนเสื้อแดงมาตลอดสองปี ทำให้นานาชาติเริ่มให้ความสำคัญ ต่อความจริงจังของการต่อสู้ และวิตกกังวลต่อความล่อแหลมที่อาจจะมีความรุนแรงในการเปลี่ยนผ่านทางการ เมืองท้ังในประเทศไทย ทั้งการเมืองเลือกตั้งและการเมืองรัชทายาท ในขณะที่ดูเหมือนกับว่าไม่เคย – Take it seriously – กับประเทศไทยมากเท่านี้มา ซึ่งจากการพูดคุยกับคนต่างชาติ เนื่องเพราะตราบใดที่พวกเขายังมีพื้นที่การท่องเที่ยวโดยไม่ถุกรบกวน การเมืองไทยก็ไม่ใช่ปัญหา และสำหรับคนที่เป็นนักต่อสู้ ก็มองว่าการเมืองไทยเป็นการเมืองที่ ไม่มีกระดูกสันหลัง ลื่นไหลไปได้เรื่อยๆจนไม่มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเข้ามาสนับสนุนการต่อสู้ของคนไทย

แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป . .

การ ต่อสู้ของคนเสื้อแดงอาจจะทำให้การเมืองไทยมีถูกมองว่าไม่มีกระดูกสัน หลัง สามารถสร้างกระดูกสันหลังขึ้นมาก็ได้ ถ้ายึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพราะมันเป็นการลุกขึ้นสู้ครั้งยิ่งใหญ่และต่อเนื่องยาวนานที่สุดใน ประวัติศาสตร์ 100 ปีของไทย นับตั้งแต่การลุกขึ้นสู้ของกลุ่ม ผีบุญในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ ในปี 2444 – 2445 ซึ่งปีนี้ก็ครบรอบ 110 ปี ของผู้กล้า ที่ประวัติศาสตร์ไทยเรียกพวกเขาว่า กบถผีบุญ

กบ ถ ผีบุญ คือการต่อสู้ของชนชั้นล่างกับชนชั้นสูงในอาณาบริเวณที่ถูกเรียกว่าประเทศไทย ในปัจจุบัน เป็นการจุดประกายการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม เสรีภาพ และเรียกร้องแนวนโยบายรัฐที่มุ่งตอบสนองคนชั้นล่าง และต่อต้านระบบการขูดรีดภาษีจากคนจนเพื่อเอามาหล่อเลี้ยงเมืองหลวง โดยที่เงินภาษีกว่า 80% ถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาความอำนวยสะดวกให้เมืองหลวงเท่านั้น โดยปล่อยให้ภูมิภาคอดยาก ยากแค้นและขาดแคลนไปเสียทุกสิ่ง ผ่านไป 110 ปี แนวนโยบายปล้นคนชนบทเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนเมืองก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความจริงที่ภูมิภาคห่างไกลในประเทศไทยต้องทนกล้ำกลืนมาจนถึงบัดนี้

กระนั้นก็ตาม ทั้งคนเสื้อแดงและคนที่เอาใจช่วยคนเสื้อแดง ก็ยังตุ้มๆ ต่อมๆ ไปกับท่าทีของแกนนำเป็นระยะๆ ที่ดูเหมือนว่ามุ่งเรื่องการขับเคลื่อนทางยุทธวีธีมากกว่าจัดขบวนการต่อสู้ให้เป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกันพวกเราก็เอาใจช่วยแกนนอน ที่ไม่กล้านำเพราะเข้าใจดีว่าไม่ควรนำ และเริ่มมีความหวังกับมวลชนคนเสื้อแดง ที่เข็มแข็ง มีวินัย มุ่งมั่น และตาสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมั่นคง จนเริ่มสร้างความหวังลึกๆ ในใจว่า ฤาครั้งนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการลุกขึ้นสู้ของประชาชในประเทศไทยอย่างเต็มภาคภูมิได้เสียที

ยาม นี้ การศึกษาบทเรียนขบวนการต่อสู้ของคนเกาหลีใต้ จนสามารถปลดแอกทหารในทางการเมือง(โดยทางตรง) ได้ในปี 2531 อาจจะมีประโยชน์ที่จะนำมาใช้ศึกษาเทียบเคียงกับการเมืองไทยได้บ้าง เพราะไทยเองก็เคยคิดว่าก้าวพ้นระบบทหารมาได้แล้วเมื่อการลุกขึ้นสู้ในเดือน พฤษภาคม 2535

ก้าวย่างที่ต้องรอบคอบเพื่อชัยชนะอย่างยั่งยืน

คน ต่างชาติไม่สนใจการเมืองไทยอย่างแท้จริงมาก่อน จนกระทั่งเหตุการณ์การลุกขึ้นสู้ของคลื่นคนเสื้อแดงที่เพื่อความเข้มข้นใน ทุกขณะเขาบอกข้าพเจ้าว่า การเมืองไทย ประเทศไทย ไม่มีกระดูกสันหลัง เพราะเขาเห็นว่าไม่มีใครยึดหมั่นในหลักการหรืออุดมการณ์ เล่นการเมืองกันไปหมดไม่ว่าฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายขวา เจราจาและปรานีปรานอมระหว่างกัน หรือที่เริ่มพูดกันมากขึ้นว่ายุทธวิธี สู้ไป กราบไป โดยไม่เคารพในอุดมการณ์และหลักการประชาธิปไตยประชาชน

วิถีการต่อสู้ แบบไทยๆที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จึงสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะในหมู่ประชาขนและนักกิจกรรมใน ประเทศไทยเท่านั้น แต่ในหมู่นักผู้ห่วงใย และนักประชาธิปไตยนานาชาติด้วย เพราะสำหรับเขา เหลืองที่เป็น NGO ที่เขารู้จักก็อ้างว่าทำเพื่อประชาธิปไตยและ แดงที่เริ่มต้นจากค่ายพรรคการเมืองที่เขาเห็นว่าไม่โปรงใส ก็อ้างว่า เพื่อประชาธิปไตย

แต่คนเสื้อแดงกำลังพิสูจน์กับโลกว่าเขาจริงจังในการต่อสู้และนั่นก็ต้องยืนยันกับประชาคมคนไทย และประชาคมโลกด้วยยุทธวิธีที่ตรงไปตรงมา ไม่มองทุกอย่างเป็นเกมส์การเมือง ที่มักบิดเบี้ยว สกปรกและทุกคนเบือนหน้าหนีอีกต่อไป

สุด ท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอมอบหนังสือไม้ขีดก้านเดียวที่เปลี่ยนสังคมเกาหลีที่ข้าพเจ้าจัดทำในรูปแบบ PDF นี้ ให้กับทุกคน และขอคารวะวีรชนคนไทยที่เสียสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไทยตลอด 100 กว่าปี แห่งถนนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขออย่าได้ตัดทอนรายชื่อเหล่านี้ แม้จะกินพื้นที่เวบก็ตาม แต่ขอให้ได้รำลึกถึงพวกเขาในฐานะคนมีชื่อ หรือไม่มีชื่อ ที่ไม่ใช่ตัวเลข 77 41 44 หรือ 91 คน อีกต่อไป

>1000+6+1+2+1+77+41+48+91+?????

http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_9712.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน